ปัญหาเรื่องสำนักธรรมกาย
ความจริงแล้วมันไม่ใช่เรื่องความเสื่อม หรือความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนา
ไม่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาแต่อย่างใด
ประเด็นของเรื่อง มันแค่บุคคลคนหนึ่ง ที่ถูกกล่าวหา ... ขอย้ำว่า ... ถูกกล่าวหานะครับ
ไม่ใช่เรื่องของความผิด ความถูก เพราะยังไม่ได้รับการตัดสินจากกระบวนการของกฏหมาย
เนื่องจากบุคคลผู้นั้น ไม่ยินยอมที่จะเข้าสู่กระบวนการทางกฏหมายบ้านเมือง
เผอิญว่าบุคคลที่ถูกกล่าวหา เป็นนักบวชในพุทธศาสนา มีผู้คนศรัทธามากมาย
กลุ่มผู้ศรัทธา ต่างพากันเชื่อว่า...(เชื่อตามคำบอกเล่า) บุคคลที่ถูกกล่าวหา ไม่ได้ทำความผิด
และระดมผู้คน ทั้งนักบวช และที่ไม่ใช่นักบวช รวมกลุ่ม เพื่อต่อต้าน ผู้รักษากฏหมายบ้านเมือง
ไม่ให้ทำการจับกุม ผู้ที่ถูกกล่าวหาไปดำเนินการตามกฏหมาย
มีการดึงเอาพระพุทธศาสนาเข้ามาเกี่ยวพัน จนปัญหาบานปลาย
ผู้คนที่ร่วมด้วยช่วยประสานเสียง ล้วนแต่เป็นคนที่ไม่มีใครรู้ความจริงแม้แต่คนเดียว...ว่า..
บุคคลที่ถูกกล่าวหา...ทำ..หรือ ...ไม่ได้ทำ (เพราะเป็นพฤติกรรมส่วนบุคคล)
แต่ที่มาชุมนุม ต่อต้าน เรียกร้อง ขยายวงกว้างออกไป โดยเอาพระพุทธศาสนามาอ้างอิง
มันจึงเป็นเหตุให้เกิดความสับสนวุ่นวาย และถูกประณามหยามเหยียดพระพุทธศาสนา จากคนที่ไม่รู้เรื่องราวทั้งหมด
รู้อย่างเดียวว่า เจ้าหน้าที่บ้านเมือง ใช้ความรุนแรงกับสงฆ์ในพระพุทธศาสนา
ตามที่ฝ่ายปกป้องผู้ถูกกล่าวหา ทำการประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง
ประเด็นมันอยู่ที่ว่า...
ทำไม...ไม่แยกแยะปัญหาระหว่างบุคคล...และ ศาสนาออกจากกัน
แล้วปล่อยให้กระบวนการของกฏหมายดำเนินการไปตามระบบที่มีอยู่
ทำไม...ตัวเจ้าของเรื่องที่แท้จริง ไม่กระทำการใดๆ
ปล่อยให้ คนที่ไม่รู้เรื่องดำเนินการไปตามความคิดเห็น ตามความเชื่อส่วนตน
ปัญหาจะจบลงอย่างสวยงาม ถ้าตัวเจ้าของปัญหา
ดำเนินการทุกอย่างด้วยตัวเอง
ขอย้ำให้เข้าใจอีกครั้งว่า...ประเด็นของเรื่องนี้
เป็นเรื่องส่วนบุคคล ไม่ใช่เรื่องของพุทธศาสนา
อย่าเอาพุทธศาสนา มาเป็นกำแพง เพื่อปกป้อง คนเพียงคนเดียว...!!
========================= ปัญหาเรื่องธรรมกายที่แก้ไม่ถูกจุด ===================
ความจริงแล้วมันไม่ใช่เรื่องความเสื่อม หรือความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนา
ไม่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาแต่อย่างใด
ประเด็นของเรื่อง มันแค่บุคคลคนหนึ่ง ที่ถูกกล่าวหา ... ขอย้ำว่า ... ถูกกล่าวหานะครับ
ไม่ใช่เรื่องของความผิด ความถูก เพราะยังไม่ได้รับการตัดสินจากกระบวนการของกฏหมาย
เนื่องจากบุคคลผู้นั้น ไม่ยินยอมที่จะเข้าสู่กระบวนการทางกฏหมายบ้านเมือง
เผอิญว่าบุคคลที่ถูกกล่าวหา เป็นนักบวชในพุทธศาสนา มีผู้คนศรัทธามากมาย
กลุ่มผู้ศรัทธา ต่างพากันเชื่อว่า...(เชื่อตามคำบอกเล่า) บุคคลที่ถูกกล่าวหา ไม่ได้ทำความผิด
และระดมผู้คน ทั้งนักบวช และที่ไม่ใช่นักบวช รวมกลุ่ม เพื่อต่อต้าน ผู้รักษากฏหมายบ้านเมือง
ไม่ให้ทำการจับกุม ผู้ที่ถูกกล่าวหาไปดำเนินการตามกฏหมาย
มีการดึงเอาพระพุทธศาสนาเข้ามาเกี่ยวพัน จนปัญหาบานปลาย
ผู้คนที่ร่วมด้วยช่วยประสานเสียง ล้วนแต่เป็นคนที่ไม่มีใครรู้ความจริงแม้แต่คนเดียว...ว่า..
บุคคลที่ถูกกล่าวหา...ทำ..หรือ ...ไม่ได้ทำ (เพราะเป็นพฤติกรรมส่วนบุคคล)
แต่ที่มาชุมนุม ต่อต้าน เรียกร้อง ขยายวงกว้างออกไป โดยเอาพระพุทธศาสนามาอ้างอิง
มันจึงเป็นเหตุให้เกิดความสับสนวุ่นวาย และถูกประณามหยามเหยียดพระพุทธศาสนา จากคนที่ไม่รู้เรื่องราวทั้งหมด
รู้อย่างเดียวว่า เจ้าหน้าที่บ้านเมือง ใช้ความรุนแรงกับสงฆ์ในพระพุทธศาสนา
ตามที่ฝ่ายปกป้องผู้ถูกกล่าวหา ทำการประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง
ประเด็นมันอยู่ที่ว่า...
ทำไม...ไม่แยกแยะปัญหาระหว่างบุคคล...และ ศาสนาออกจากกัน
แล้วปล่อยให้กระบวนการของกฏหมายดำเนินการไปตามระบบที่มีอยู่
ทำไม...ตัวเจ้าของเรื่องที่แท้จริง ไม่กระทำการใดๆ
ปล่อยให้ คนที่ไม่รู้เรื่องดำเนินการไปตามความคิดเห็น ตามความเชื่อส่วนตน
ปัญหาจะจบลงอย่างสวยงาม ถ้าตัวเจ้าของปัญหา
ดำเนินการทุกอย่างด้วยตัวเอง
ขอย้ำให้เข้าใจอีกครั้งว่า...ประเด็นของเรื่องนี้
เป็นเรื่องส่วนบุคคล ไม่ใช่เรื่องของพุทธศาสนา
อย่าเอาพุทธศาสนา มาเป็นกำแพง เพื่อปกป้อง คนเพียงคนเดียว...!!