3) การสอบข้อเขียน
หลังจากที่เตรียมเอกสารและ Study plan กันเรียบร้อยแล้ว กระทู้นี้จะพูดถึงการสอบข้อเขียนบ้างนะครับ ก่อนอื่นเรามาดูกันก่อนเลยว่าเราจะต้องสอบวิชาอะไรบ้างซึ่งในแต่ละสาขาจะบังคับสอบไม่เหมือนกัน ตัวข้อสอบทุกวิชาคำถามจะเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด
- R1A สาขาทางด้านศิลป์ภาษา กฎหมาย สังคมศาสตร์จะบังคับสอบวิชาภาษาอังกฤษแค่วิชาเดียว แต่อย่าคิดว่าจะชิวได้นะครับ เพราะว่าชีวิตของเราต้องหมดจะต้องฝากไว้ที่วิชาอังกฤษวิชาเดียว ไม่มีวิชาอื่นมาช่วยดึงขึ้น ดังนั้นคะแนนจึงเฉือนกันโหดพอสมควร
- R1B สาขาทางด้านศิลป์คำนวณจะบังคับสอบ 2 วิชาคือ วิชาภาษาอังกฤษและวิชาคณิตศาสตร์ 1 (สำหรับสายศิลป์)
- R2 สาขาสายวิทยาศาสตร์จะบังคับสอบ 3 วิชาคือ วิชาภาษาอังกฤษ, วิชาคณิตศาสตร์ 2 (สำหรับสายวิทย์)และ วิชาฟิสิกส์/เคมี/ชีวะ (เลือกมาแค่ 1 วิชา) อันนี้มีคนเคยถามว่าสมมติถ้าจะไปเรียนวิศวะแต่คิดว่าน่าจะทำคะแนนสอบวิชาชีวะได้ดีกว่าวิชาฟิสิกส์จะเลือกสอบชีวะแทนได้มั้ย .......อันนี้ผมเห็นมาหลายคนแล้วครับที่สอบไม่ตรงสายที่จะเรียนก็ไม่เห็นเค้าจะมีปัญหาอะไร เลยคิดว่าใน 3 วิชานี้เลือกสอบอะไรไปก็ได้แหละเอาที่คิดว่าตัวเองจะทำคะแนนได้ดีที่สุดก็พอ
สำหรับวิชาภาษาญี่ปุ่นเค้าไม่บังคับสอบครับ จะสอบไม่สอบก็ได้ เพราะคะแนนภาษาญี่ปุ่นจะไม่เอาไปคิดรวมครับจึงไม่มีผลต่อการติดไม่ติดรอบข้อเขียน แต่ถ้าทำคะแนนดีๆจะมีผลต่อการพิจารณาของกรรมการในรอบสัมภาษณ์ เช่นถ้ามีผู้สมัคร 2 คน จะไปทำวิจัยเรื่องเดียวกัน คะแนนวิชาอื่นก็ได้พอๆกัน คนที่ได้ภาษาญี่ปุ่นก็ต้องได้เปรียบว่าแน่นอน (อย่างผมเองก็ไม่ได้สอบเหมือนกันครับ)
ในการสอบแต่ละวิชานั้นจะมีเวลาในการสอบเพียงแค่ 1 ชม. ซึ่งค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับจำนวนข้อสอบ ทำให้การทำข้อสอบให้ทัน(และถูก) เป็นเรื่องยากพอสมควรหากไม่เคยซ้อมทำข้อสอบแบบจับเวลามาก่อน ดังนั้นการซ้อมทำข้อสอบเก่าเยอะๆจึงเป็นเรื่องสำคัญมากๆๆๆๆ การทำข้อสอบเก่าไม่ใช่แค่เป็นการฝึกบริหารเวลาแต่เพราะว่า หลักสูตรที่เรียนในระดับม.ปลายของที่ญี่ปุ่นกับไทยนั้นไม่เหมือนกัน การอ่านแนวข้อสอบเก่าจึงทำให้รู้ว่าเนื้อหาที่โน่นเค้าเน้นตรงไหนเรื่องไหนที่เค้าเรียนกันที่ญี่ปุ่นแต่เราไม่ได้เรียน ข้อสอบเก่าหาโหลดไม่ยากในเว็ปของสถานทูตก็มีให้โหลดครับ อย่างตอนผมเตรียมสอบผมมีเวลาแค่ประมาณ 2 อาทิตย์ผมใช้วิธีก็ทำข้อสอบเก่าตั้งแต่ปี 2007-2010 พอเจอเรื่องไหนที่ทำไม่ได้หรือยังไม่เคยเรียนก็จดไว้แล้วไปหาหนังสืออ่านเพิ่ม เรื่องไหนพอรู้แล้วก็อ่านทวนผ่านๆ ซึ่งถ้าทำตามนี้จะช่วงลดเวลาในการเตรียมตัวลงได้เยอะ (แต่ทางที่ดีผมแนะนำว่าควรเตรียมตัวอ่านสัก 1 เดือนก่อนสอบจะกำลังสวย) คะแนนที่จะผ่านนั้นไม่ตายตัวครับเพราะเป็นการกำหนดเกณฑ์โดยอิงกลุ่ม โดยแต่ละสาขาแต่ละทุนก็ใช้คนละเกณฑ์ในการคัดคนผ่าน
สำหรับผมผมอยู่ในกลุ่ม R2 ซึ่งต้องสอบ 3 วิชาคือ อังกฤษ, เลข แล้วก็วิชาเลือกซึ่งผมเลือกสอบชีวะไป กระทู้นี้ผมจะรีวิวหลักๆแค่วิชาอังกฤษกับชีวะนะครับ เลขผมไม่ถูกกับมันจริงๆ 55 คงช่วยอะไรมากไม่ได้
วิชาภาษาอังกฤษ
ตอนแรกผมตั้งใจจะไม่อ่านวิชานี้ไปสอบด้วยซ้ำเพราะระดับภาษาอังกฤษของผมก็ไม่ได้แย่อะไรมาก ประกอบกับความคิดที่ว่าข้อสอบภาษาอังกฤษของที่ญี่ปุ่นมันจะไปยากอะไร.......จนได้ลองทำข้อสอบปีเก่าๆดูจึงได้ค้นพบความจริง55 เพราะว่ามันเป็นข้อสอบอังกฤษสไตล์ญี่ปุ่นนี่แหละมันเลยยาก (ใครได้ลองทำจะพอเข้าใจ) สอบภาษาอังกฤษมาก็เยอะนะ แต่มี grammar และศัพท์หลายตัวที่ผมไม่เคยพบไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนในชีวิตในข้อสอบที่นี่ มีแกรมม่าบางอันเป็นแกรมม่าขึ้นหิ้งจริงๆครับ55
โดยรวมแล้วข้อสอบจะมีแนวโน้มเหมือนกันทุกปี ทั้งจำนวนข้อและเนื้อหาที่ออก (จะมีแปลกว่าเพื่อนก็ปี 2010 ซึ่งเราควรเตรียมไปด้วย) ข้อสอบปี 2016 ที่ผ่านมาก็ยังคงมีรูปแบบใกล้เคียงกับแนวข้อสอบเก่า จำนวนข้อสอบมีทั้งหมด 50 ข้อ แต่ละข้อมีน้ำหนักเท่ากันคือ 2 คะแนน เนื้อหาที่สอบแบ่งออกเป็น 5 ส่วนตามนี้ครับ
- Sentence completion 1: มีจำนวนข้อ 10 ข้อ ข้อสอบในส่วนนี้จะเน้นการวัดความรู้แกรมม่าของเรา ควรเสียเวลากับพาร์ทนี้ให้น้อยที่สุด (ไม่ควรเกิน 5 นาที) เพราะเป็นพาร์ทที่ง่ายที่สุด แกรมม่าที่ออกเป็นแกรมม่าทั่วไปและสามารถมองตอบได้ทันที
- Sentence completion 2: มีจำนวนข้อ 10 ข้อ ข้อสอบในส่วนนี้จะวัดทั้ง แกรมม่า คำศัพท์ และอาจมี idiom ด้วย ไม่ควรเสียเวลากับส่วนนี้เยอะเช่นกัน สำหรับแกรมม่าที่ชอบออกได้แก่ Negative adverbial inversion, subjunction (ปีผมก็ออก), Word choice ก็ชอบออกครับประเภทให้ศัพท์ที่ความหมายคล้ายๆกันมาแล้วให้เราเลือก
- (มหา) Error: มีจำนวนข้อ 10 ข้อ ส่วนนี้นับเป็นส่วนที่ยากที่สุดและใช้เวลาในการทำนานที่สุดในบรรดาข้อสอบทั้งหมด อย่าคิดว่า error ที่นี่จะเหมือนที่เราเคยเจอมา ที่ขีดเส้นใต้เป็นคำๆ 4 คำให้เราเลือก แต่ข้อสอบที่นี่จะขีดเส้นใต้มาให้ยาวๆ “ทั้งประโยค” แล้วให้เรามางมหาเอาเองว่าจุดผิดมันอยู่ตรงไหน ซึ่งกว่าจะหาเจอนั้นปวดตาสุดๆ จขกท. แนะนำว่าควรเก็บพาร์ทนี้ไว้ทำเป็นพาร์ทสุดท้ายจะดีกว่า เพราะมีหลายคนที่ทำส่วนนี้ “เพลิน” จนทำส่วนอื่นไม่ทัน ทั้งๆที่ส่วนอื่นมีน้ำหนักเท่ากันแต่เก็บแต้มได้ง่ายกว่าเยอะ
- Cloze test: มีจำนวนข้อ 10 ข้อ มีทั้งวัดคำศัพท์และแกรมม่า โดยรวมแล้วค่อนข้างง่าย ไม่ต่างจาก Cloze test ทั่วไปมากไม่ควรเสียเวลากับส่วนนี้มากเช่นกัน
- Reading comprehension: มี 2 passages แต่ละ passage จะมีคำถามตามมาอีก 5 ข้อ ความยาวแต่ละ passage จะประมาณ 1 หน้ากระดาษ ความยากถือว่าอยู่ในระดับปานกลางถ้าเทียบกับข้อสอบปีเก่าๆ (2007-2008 ซึ่งผมทำไม่ได้เลย 55) ควรใช้เวลาแต่ละ passage ประมาณไม่เกิน 10 นาที
ในเวลา 1 ชม. จขกท. แนะนำให้ทำไล่ไปตามนี้
Sentence completion 1 (ไม่เกิน 5 นาที) --> Sentence completion 2 (ไม่เกิน 5 นาที) --> Cloze test (ไม่เกิน10 นาที) --> Reading comprehension (ไม่เกิน 20 นาที) --> Error (เวลาที่เหลือ)
หากทำตามนี้ จะทำให้เรามีเวลามานั่งงมจุดผิดใน Error ได้อย่างสบายใจ
วิชาชีววิทยา
วิชานี้เป็นวิชาที่ผมคาดหวังค่อนข้างมากเพราะผมเองจบชีววิทยามาโดยตรง จึงตั้งใจจะใช้วิชานี้มาช่วยฉุดคะแนนรวมขึ้น สำหรับเนื้อหาที่นำมาออกนั้นมีบางส่วนที่ต่างจากหลักสูตรที่สอนกันในบ้านเราอยู่บ้าง วิชาไบโอบ้านเราจะเน้นพวกกายวิภาคและสรีรวิทยาของคน ระบบต่างๆทำนองนี้ใช่มั้ยครับ แต่ที่ญี่ปุ่นเค้าจะให้ความสำคัญกับวิชาสายธรรมชาติวิทยามากกว่าเช่นวิชาพวก Biodiversity, Evolution, Ecology, Botany, developmental biology จะมีแนวโน้มที่จะออกเยอะและลึก
ข้อสอบมีทั้งแบบวิเคราะห์และแบบจำครับ (มีแบบพึ่งดวงด้วยนะ) แบบวิเคราะห์เค้าก็จะให้กราฟกับข้อมูลมาให้เราครบหน้าที่ของเราคือแค่ค่อยแก้โจทย์ ซึ่งส่วนตัวผมชอบแบบนี้มากกว่า ส่วนแบบจำก็จำโลกแตกเลยครับ555 คนญี่ปุ่นชอบตัวเลขครับ แล้วก็ชอบจำชื่อครับทั้งชื่อนักวิทยาศาสตร์ ปีค.ศ.นี้ใครทำการทดลองอะไร ชื่อสัตว์ ชื่อต้นไม้ (คนญี่ปุ่นถือว่าการรู้ชื่อพืชชื่อสัตว์เป็นเรื่องจำเป็นพอๆกับการท่องสูตรคูณอะไรแบบนั้นเลย) ซึ่งผมแนะนำว่าให้จำไปบ้างก็ดีครับแต่ถ้าจำไม่ได้ก็พึ่งดวงเอาก็ได้ ออกไม่เยอะหรอก
แนวข้อสอบก็จะคล้ายๆกันในแต่ละปี (ยกเว้นปี 2010 ที่ต่างจากเพื่อนอีกตามเคย) คือแบ่งออกเป็น 5 พาร์ท โดยแต่ละพาร์ทจะมีจำนวนข้อและคะแนนต่างกันไปแต่รวมๆแล้วจะได้ 100 คะแนนเต็มพอดี
- พาร์ท 1 และ 2 จะคล้ายๆ cloze test เลยครับคือมี passage ยาวๆแล้วให้คำมาเพื่อให้เราเลือกไปเติมในช่องว่าง ผิดกันแค่ว่าคำที่เอาไปเติมนั้นเป็น technical terms ทางชีววิทยาแทนแค่นั้นเอง ซึ่งสองพาร์ทนี้ความยากง่ายจะขึ้นกับ passage ว่าเป็นเรื่องอะไร.......อย่างปีผม passage แรกเป็นเรื่อง plant breeding ซึ่งผมไม่เคยเรียนมาเลยยยย ขนาดผมจบไบโอมาตรงๆนะ ส่วน passage สองเป็นเรื่อง photosynthesis ซึ่งใช้ความรู้ ม.ปลายมาตอบได้ อันนี้เป็นดวงครับว่าจะเจอเรื่องอะไรเข้า
- พาร์ท 3 และ 4 จะเป็น multiple choices โดยโจทย์จะให้สถานการณ์มาให้เราอ่านแล้วก็ตอบคำถาม อย่างปีผมพาร์ท 3 จะให้ผลการทดลองวัด membrane potential ใน neuron และ nerve มาแล้วให้เราแปลผล ส่วนพาร์ท 4 เป็นการทดลองในเอ็มบริโอ ส่วนตัวผมชอบทำอันนี้ผมว่าสนุกดี ......อันนี้ก็ดวงอีกแหละครับว่าจะเป็นการทดลองง่ายหรือยาก พาร์ทนี้ควรเก็บไว้คิดหลังสุด
- พาร์ท 5 เป็นพาร์ทที่ง่ายและคู่ควรกับการเก็บแต้มมากที่สุดคือจะเป็น multiple choices ข้อย่อยๆ 5-6 ข้อให้เราเลือกกากบาท คำถามจะอารมณ์ ม.ปลายมากๆ ผมแนะนำว่าควรเก็บพาร์ทนี้ก่อนเลย
สำหรับลำดับการทำวิชาชีวะ ผมแนะนำให้ทำไล่ตามนี้ครับ
พาร์ท 5 (ไม่เกิน 2-3 นาที) --> พาร์ท 1และ2 (ไม่เกิน 30 นาที) --> พาร์ท 4และ5 (เวลาที่เหลือ)
ต่อไปนี้เป็นสรุปเนื้อหาที่ออกข้อสอบตั้งแต่ปี 2007-2010 นะครับลองอ่านดูจะได้รู้ว่าควรเน้นเรื่องอะไร อย่างปีเก่าๆพวกระบบร่างกายแทบจะไม่มีโผล่มาเลย

ดอกจันทร์ (*) หมายถึงเป็นความรู้ที่เกินเนื้อหา ม.ปลายนะครับ
วิชาคณิตศาสตร์
เนื่องด้วยเป็นวิชาที่ไม่ถนัดนะครับ ผมทิ้งเลขมานานมากกกกก เจอกันครั้งสุดท้ายตอนแอตมิตชั่น เสร็จแล้วก็บัยย ตอนนี้แค่ไปกินข้าวกับเพื่อนยังต้องกดเครื่องคิดเลขว่าต้องจ่ายเท่าไหร่ เลยขอพูดถึงนิดหน่อยพอ55
หลักๆแล้วข้อสอบจะมี 2 ตอนใหญ่ๆคือ ตอนแรกจะเป็นเติมคำตอบประมาณ 5 ข้อ โจทย์ในส่วนนี้จะไม่ยากมากซึ่งถ้าจำสูตรได้บ้างก็พอจะมีลุ้น น้ำหนักคะแนนส่วนนี้ประมาณ 50 คะแนน ส่วนตอนที่ 2 จะเป็นแสดงวิธีทำ 2 ข้อใหญ่ซึ่งยากมากๆๆๆๆมีน้ำหนักคะแนนอีกประมาณ 50 คะแนน ถึงแม้ข้อแสดงวิธีทำจะยากนรกยังไงน้ำหนักมันก็แค่ 50% ยังมีอีก 50% ที่มันสมองโง่ๆของผมยังพอจะเก็บได้ ผมจึงตั้งใจว่าจะต้องทำส่วนเติมคำตอบให้ได้ ซึ่งอย่างน้อยๆก็ได้ไปแล้ว 50% ส่วนแสดงวิธีทำตอนสอบจริงถ้าโชคดีทำได้ก็เป็นกำไรถ้าไม่ได้ก็เท!!
สำหรับหัวข้อที่ออกคือ
- จำนวนจริง (การแยกตัวประกอบ)
- อสมการ
- ภาคตัดกรวย
- ตรีโกณมิติ
- Expo & log
- เวกเตอร์
- ลำดับและอนุกรม
- แคลคูลัส (ต้องอ่านเนื้อหาระดับมหาวิทยาลัยไปด้วยนะครับ งั้นไม่รอด)
และแล้วก็มาถึงวันสอบ..ปีนี้ผมสอบที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ สอบร่วมกับน้องๆ ม. ปลาย บรรยากาศเลยคึกคักมากเหมือนกลับไปสอบแอตมิตชั่นอีกรอบเลย ก่อนสอบก็พยายามทำใจร่มๆไม่กดกันตัวเองครับ ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็คิดว่ามาลองแนวข้อสอบเฉยๆ วิชาแรกที่สอบตอนเช้าคือภาษาอังกฤษครับ พอสอบจริงรู้สึกว่าเวลาเดินเร็วมาก ใช้ความรู้สึกคุ้นกาๆไปซะเยอะไม่ค่อยผ่านสมองเท่าไหร่ ต่อมาคือวิชาเลข ซึ่งสายวิทย์มีวิศวะมาสอบกันเยอะมาก (ที่นั่งรอบตัวผมนี่วิศวะหมดเลย) แต่ละคนตอนสอบดูชิวกันมากเหมือนเอาดินสอสะกิดกระดาษเบาๆก็สามารถเนรมิตคำตอบออกมาได้ มีผมนี่แหละครับนั่งกุมหัวไปทำข้อสอบไป ทดวนไปวนมาจนงง ถึงจะทำใจมาก่อนแล้วว่าจะเอาแค่ 50% ก็เถอะนะ TT ตอนบ่ายเป็นไบโอครับ ก็ตามที่เล่าไปแล้วว่าข้อสอบเป็น passage เหมือนเข้าไปแข่งอ่านวรรณกรรมอะไรแบบนั้น ซึ่งถึงแม้ข้อสอบจะไม่ยากอะไรมากมายแต่วิชาชีวะนั้นดูดพลังงานชีวิตสุดๆครับ พอสอบเสร็จผมก็รีบหนีออกมาทันที บริเวณหน้าห้องสอบหลังสอบเสร็จเป็นโซนที่อันตรายต่อจิตใจมาก - - การประกาศผลสอบรอบข้อเขียนจะใช้เวลาประมาณ 2 อาทิตย์หลังสอบ ระหว่างนั้นจะเป็นช่วงเวลาที่ทรมานมาก T^T
=> กระทู้หน้าเป็นการสอบสัมภาษณ์นะครับ
รีวิวมหากาพย์การสมัครทุนรัฐบาลญี่ปุ่น (Monbukagakusho): การสอบข้อเขียน
หลังจากที่เตรียมเอกสารและ Study plan กันเรียบร้อยแล้ว กระทู้นี้จะพูดถึงการสอบข้อเขียนบ้างนะครับ ก่อนอื่นเรามาดูกันก่อนเลยว่าเราจะต้องสอบวิชาอะไรบ้างซึ่งในแต่ละสาขาจะบังคับสอบไม่เหมือนกัน ตัวข้อสอบทุกวิชาคำถามจะเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด
- R1A สาขาทางด้านศิลป์ภาษา กฎหมาย สังคมศาสตร์จะบังคับสอบวิชาภาษาอังกฤษแค่วิชาเดียว แต่อย่าคิดว่าจะชิวได้นะครับ เพราะว่าชีวิตของเราต้องหมดจะต้องฝากไว้ที่วิชาอังกฤษวิชาเดียว ไม่มีวิชาอื่นมาช่วยดึงขึ้น ดังนั้นคะแนนจึงเฉือนกันโหดพอสมควร
- R1B สาขาทางด้านศิลป์คำนวณจะบังคับสอบ 2 วิชาคือ วิชาภาษาอังกฤษและวิชาคณิตศาสตร์ 1 (สำหรับสายศิลป์)
- R2 สาขาสายวิทยาศาสตร์จะบังคับสอบ 3 วิชาคือ วิชาภาษาอังกฤษ, วิชาคณิตศาสตร์ 2 (สำหรับสายวิทย์)และ วิชาฟิสิกส์/เคมี/ชีวะ (เลือกมาแค่ 1 วิชา) อันนี้มีคนเคยถามว่าสมมติถ้าจะไปเรียนวิศวะแต่คิดว่าน่าจะทำคะแนนสอบวิชาชีวะได้ดีกว่าวิชาฟิสิกส์จะเลือกสอบชีวะแทนได้มั้ย .......อันนี้ผมเห็นมาหลายคนแล้วครับที่สอบไม่ตรงสายที่จะเรียนก็ไม่เห็นเค้าจะมีปัญหาอะไร เลยคิดว่าใน 3 วิชานี้เลือกสอบอะไรไปก็ได้แหละเอาที่คิดว่าตัวเองจะทำคะแนนได้ดีที่สุดก็พอ
สำหรับวิชาภาษาญี่ปุ่นเค้าไม่บังคับสอบครับ จะสอบไม่สอบก็ได้ เพราะคะแนนภาษาญี่ปุ่นจะไม่เอาไปคิดรวมครับจึงไม่มีผลต่อการติดไม่ติดรอบข้อเขียน แต่ถ้าทำคะแนนดีๆจะมีผลต่อการพิจารณาของกรรมการในรอบสัมภาษณ์ เช่นถ้ามีผู้สมัคร 2 คน จะไปทำวิจัยเรื่องเดียวกัน คะแนนวิชาอื่นก็ได้พอๆกัน คนที่ได้ภาษาญี่ปุ่นก็ต้องได้เปรียบว่าแน่นอน (อย่างผมเองก็ไม่ได้สอบเหมือนกันครับ)
ในการสอบแต่ละวิชานั้นจะมีเวลาในการสอบเพียงแค่ 1 ชม. ซึ่งค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับจำนวนข้อสอบ ทำให้การทำข้อสอบให้ทัน(และถูก) เป็นเรื่องยากพอสมควรหากไม่เคยซ้อมทำข้อสอบแบบจับเวลามาก่อน ดังนั้นการซ้อมทำข้อสอบเก่าเยอะๆจึงเป็นเรื่องสำคัญมากๆๆๆๆ การทำข้อสอบเก่าไม่ใช่แค่เป็นการฝึกบริหารเวลาแต่เพราะว่า หลักสูตรที่เรียนในระดับม.ปลายของที่ญี่ปุ่นกับไทยนั้นไม่เหมือนกัน การอ่านแนวข้อสอบเก่าจึงทำให้รู้ว่าเนื้อหาที่โน่นเค้าเน้นตรงไหนเรื่องไหนที่เค้าเรียนกันที่ญี่ปุ่นแต่เราไม่ได้เรียน ข้อสอบเก่าหาโหลดไม่ยากในเว็ปของสถานทูตก็มีให้โหลดครับ อย่างตอนผมเตรียมสอบผมมีเวลาแค่ประมาณ 2 อาทิตย์ผมใช้วิธีก็ทำข้อสอบเก่าตั้งแต่ปี 2007-2010 พอเจอเรื่องไหนที่ทำไม่ได้หรือยังไม่เคยเรียนก็จดไว้แล้วไปหาหนังสืออ่านเพิ่ม เรื่องไหนพอรู้แล้วก็อ่านทวนผ่านๆ ซึ่งถ้าทำตามนี้จะช่วงลดเวลาในการเตรียมตัวลงได้เยอะ (แต่ทางที่ดีผมแนะนำว่าควรเตรียมตัวอ่านสัก 1 เดือนก่อนสอบจะกำลังสวย) คะแนนที่จะผ่านนั้นไม่ตายตัวครับเพราะเป็นการกำหนดเกณฑ์โดยอิงกลุ่ม โดยแต่ละสาขาแต่ละทุนก็ใช้คนละเกณฑ์ในการคัดคนผ่าน
สำหรับผมผมอยู่ในกลุ่ม R2 ซึ่งต้องสอบ 3 วิชาคือ อังกฤษ, เลข แล้วก็วิชาเลือกซึ่งผมเลือกสอบชีวะไป กระทู้นี้ผมจะรีวิวหลักๆแค่วิชาอังกฤษกับชีวะนะครับ เลขผมไม่ถูกกับมันจริงๆ 55 คงช่วยอะไรมากไม่ได้
วิชาภาษาอังกฤษ
ตอนแรกผมตั้งใจจะไม่อ่านวิชานี้ไปสอบด้วยซ้ำเพราะระดับภาษาอังกฤษของผมก็ไม่ได้แย่อะไรมาก ประกอบกับความคิดที่ว่าข้อสอบภาษาอังกฤษของที่ญี่ปุ่นมันจะไปยากอะไร.......จนได้ลองทำข้อสอบปีเก่าๆดูจึงได้ค้นพบความจริง55 เพราะว่ามันเป็นข้อสอบอังกฤษสไตล์ญี่ปุ่นนี่แหละมันเลยยาก (ใครได้ลองทำจะพอเข้าใจ) สอบภาษาอังกฤษมาก็เยอะนะ แต่มี grammar และศัพท์หลายตัวที่ผมไม่เคยพบไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนในชีวิตในข้อสอบที่นี่ มีแกรมม่าบางอันเป็นแกรมม่าขึ้นหิ้งจริงๆครับ55
โดยรวมแล้วข้อสอบจะมีแนวโน้มเหมือนกันทุกปี ทั้งจำนวนข้อและเนื้อหาที่ออก (จะมีแปลกว่าเพื่อนก็ปี 2010 ซึ่งเราควรเตรียมไปด้วย) ข้อสอบปี 2016 ที่ผ่านมาก็ยังคงมีรูปแบบใกล้เคียงกับแนวข้อสอบเก่า จำนวนข้อสอบมีทั้งหมด 50 ข้อ แต่ละข้อมีน้ำหนักเท่ากันคือ 2 คะแนน เนื้อหาที่สอบแบ่งออกเป็น 5 ส่วนตามนี้ครับ
- Sentence completion 1: มีจำนวนข้อ 10 ข้อ ข้อสอบในส่วนนี้จะเน้นการวัดความรู้แกรมม่าของเรา ควรเสียเวลากับพาร์ทนี้ให้น้อยที่สุด (ไม่ควรเกิน 5 นาที) เพราะเป็นพาร์ทที่ง่ายที่สุด แกรมม่าที่ออกเป็นแกรมม่าทั่วไปและสามารถมองตอบได้ทันที
- Sentence completion 2: มีจำนวนข้อ 10 ข้อ ข้อสอบในส่วนนี้จะวัดทั้ง แกรมม่า คำศัพท์ และอาจมี idiom ด้วย ไม่ควรเสียเวลากับส่วนนี้เยอะเช่นกัน สำหรับแกรมม่าที่ชอบออกได้แก่ Negative adverbial inversion, subjunction (ปีผมก็ออก), Word choice ก็ชอบออกครับประเภทให้ศัพท์ที่ความหมายคล้ายๆกันมาแล้วให้เราเลือก
- (มหา) Error: มีจำนวนข้อ 10 ข้อ ส่วนนี้นับเป็นส่วนที่ยากที่สุดและใช้เวลาในการทำนานที่สุดในบรรดาข้อสอบทั้งหมด อย่าคิดว่า error ที่นี่จะเหมือนที่เราเคยเจอมา ที่ขีดเส้นใต้เป็นคำๆ 4 คำให้เราเลือก แต่ข้อสอบที่นี่จะขีดเส้นใต้มาให้ยาวๆ “ทั้งประโยค” แล้วให้เรามางมหาเอาเองว่าจุดผิดมันอยู่ตรงไหน ซึ่งกว่าจะหาเจอนั้นปวดตาสุดๆ จขกท. แนะนำว่าควรเก็บพาร์ทนี้ไว้ทำเป็นพาร์ทสุดท้ายจะดีกว่า เพราะมีหลายคนที่ทำส่วนนี้ “เพลิน” จนทำส่วนอื่นไม่ทัน ทั้งๆที่ส่วนอื่นมีน้ำหนักเท่ากันแต่เก็บแต้มได้ง่ายกว่าเยอะ
- Cloze test: มีจำนวนข้อ 10 ข้อ มีทั้งวัดคำศัพท์และแกรมม่า โดยรวมแล้วค่อนข้างง่าย ไม่ต่างจาก Cloze test ทั่วไปมากไม่ควรเสียเวลากับส่วนนี้มากเช่นกัน
- Reading comprehension: มี 2 passages แต่ละ passage จะมีคำถามตามมาอีก 5 ข้อ ความยาวแต่ละ passage จะประมาณ 1 หน้ากระดาษ ความยากถือว่าอยู่ในระดับปานกลางถ้าเทียบกับข้อสอบปีเก่าๆ (2007-2008 ซึ่งผมทำไม่ได้เลย 55) ควรใช้เวลาแต่ละ passage ประมาณไม่เกิน 10 นาที
ในเวลา 1 ชม. จขกท. แนะนำให้ทำไล่ไปตามนี้
Sentence completion 1 (ไม่เกิน 5 นาที) --> Sentence completion 2 (ไม่เกิน 5 นาที) --> Cloze test (ไม่เกิน10 นาที) --> Reading comprehension (ไม่เกิน 20 นาที) --> Error (เวลาที่เหลือ)
หากทำตามนี้ จะทำให้เรามีเวลามานั่งงมจุดผิดใน Error ได้อย่างสบายใจ
วิชาชีววิทยา
วิชานี้เป็นวิชาที่ผมคาดหวังค่อนข้างมากเพราะผมเองจบชีววิทยามาโดยตรง จึงตั้งใจจะใช้วิชานี้มาช่วยฉุดคะแนนรวมขึ้น สำหรับเนื้อหาที่นำมาออกนั้นมีบางส่วนที่ต่างจากหลักสูตรที่สอนกันในบ้านเราอยู่บ้าง วิชาไบโอบ้านเราจะเน้นพวกกายวิภาคและสรีรวิทยาของคน ระบบต่างๆทำนองนี้ใช่มั้ยครับ แต่ที่ญี่ปุ่นเค้าจะให้ความสำคัญกับวิชาสายธรรมชาติวิทยามากกว่าเช่นวิชาพวก Biodiversity, Evolution, Ecology, Botany, developmental biology จะมีแนวโน้มที่จะออกเยอะและลึก
ข้อสอบมีทั้งแบบวิเคราะห์และแบบจำครับ (มีแบบพึ่งดวงด้วยนะ) แบบวิเคราะห์เค้าก็จะให้กราฟกับข้อมูลมาให้เราครบหน้าที่ของเราคือแค่ค่อยแก้โจทย์ ซึ่งส่วนตัวผมชอบแบบนี้มากกว่า ส่วนแบบจำก็จำโลกแตกเลยครับ555 คนญี่ปุ่นชอบตัวเลขครับ แล้วก็ชอบจำชื่อครับทั้งชื่อนักวิทยาศาสตร์ ปีค.ศ.นี้ใครทำการทดลองอะไร ชื่อสัตว์ ชื่อต้นไม้ (คนญี่ปุ่นถือว่าการรู้ชื่อพืชชื่อสัตว์เป็นเรื่องจำเป็นพอๆกับการท่องสูตรคูณอะไรแบบนั้นเลย) ซึ่งผมแนะนำว่าให้จำไปบ้างก็ดีครับแต่ถ้าจำไม่ได้ก็พึ่งดวงเอาก็ได้ ออกไม่เยอะหรอก
แนวข้อสอบก็จะคล้ายๆกันในแต่ละปี (ยกเว้นปี 2010 ที่ต่างจากเพื่อนอีกตามเคย) คือแบ่งออกเป็น 5 พาร์ท โดยแต่ละพาร์ทจะมีจำนวนข้อและคะแนนต่างกันไปแต่รวมๆแล้วจะได้ 100 คะแนนเต็มพอดี
- พาร์ท 1 และ 2 จะคล้ายๆ cloze test เลยครับคือมี passage ยาวๆแล้วให้คำมาเพื่อให้เราเลือกไปเติมในช่องว่าง ผิดกันแค่ว่าคำที่เอาไปเติมนั้นเป็น technical terms ทางชีววิทยาแทนแค่นั้นเอง ซึ่งสองพาร์ทนี้ความยากง่ายจะขึ้นกับ passage ว่าเป็นเรื่องอะไร.......อย่างปีผม passage แรกเป็นเรื่อง plant breeding ซึ่งผมไม่เคยเรียนมาเลยยยย ขนาดผมจบไบโอมาตรงๆนะ ส่วน passage สองเป็นเรื่อง photosynthesis ซึ่งใช้ความรู้ ม.ปลายมาตอบได้ อันนี้เป็นดวงครับว่าจะเจอเรื่องอะไรเข้า
- พาร์ท 3 และ 4 จะเป็น multiple choices โดยโจทย์จะให้สถานการณ์มาให้เราอ่านแล้วก็ตอบคำถาม อย่างปีผมพาร์ท 3 จะให้ผลการทดลองวัด membrane potential ใน neuron และ nerve มาแล้วให้เราแปลผล ส่วนพาร์ท 4 เป็นการทดลองในเอ็มบริโอ ส่วนตัวผมชอบทำอันนี้ผมว่าสนุกดี ......อันนี้ก็ดวงอีกแหละครับว่าจะเป็นการทดลองง่ายหรือยาก พาร์ทนี้ควรเก็บไว้คิดหลังสุด
- พาร์ท 5 เป็นพาร์ทที่ง่ายและคู่ควรกับการเก็บแต้มมากที่สุดคือจะเป็น multiple choices ข้อย่อยๆ 5-6 ข้อให้เราเลือกกากบาท คำถามจะอารมณ์ ม.ปลายมากๆ ผมแนะนำว่าควรเก็บพาร์ทนี้ก่อนเลย
สำหรับลำดับการทำวิชาชีวะ ผมแนะนำให้ทำไล่ตามนี้ครับ
พาร์ท 5 (ไม่เกิน 2-3 นาที) --> พาร์ท 1และ2 (ไม่เกิน 30 นาที) --> พาร์ท 4และ5 (เวลาที่เหลือ)
ต่อไปนี้เป็นสรุปเนื้อหาที่ออกข้อสอบตั้งแต่ปี 2007-2010 นะครับลองอ่านดูจะได้รู้ว่าควรเน้นเรื่องอะไร อย่างปีเก่าๆพวกระบบร่างกายแทบจะไม่มีโผล่มาเลย
ดอกจันทร์ (*) หมายถึงเป็นความรู้ที่เกินเนื้อหา ม.ปลายนะครับ
วิชาคณิตศาสตร์
เนื่องด้วยเป็นวิชาที่ไม่ถนัดนะครับ ผมทิ้งเลขมานานมากกกกก เจอกันครั้งสุดท้ายตอนแอตมิตชั่น เสร็จแล้วก็บัยย ตอนนี้แค่ไปกินข้าวกับเพื่อนยังต้องกดเครื่องคิดเลขว่าต้องจ่ายเท่าไหร่ เลยขอพูดถึงนิดหน่อยพอ55
หลักๆแล้วข้อสอบจะมี 2 ตอนใหญ่ๆคือ ตอนแรกจะเป็นเติมคำตอบประมาณ 5 ข้อ โจทย์ในส่วนนี้จะไม่ยากมากซึ่งถ้าจำสูตรได้บ้างก็พอจะมีลุ้น น้ำหนักคะแนนส่วนนี้ประมาณ 50 คะแนน ส่วนตอนที่ 2 จะเป็นแสดงวิธีทำ 2 ข้อใหญ่ซึ่งยากมากๆๆๆๆมีน้ำหนักคะแนนอีกประมาณ 50 คะแนน ถึงแม้ข้อแสดงวิธีทำจะยากนรกยังไงน้ำหนักมันก็แค่ 50% ยังมีอีก 50% ที่มันสมองโง่ๆของผมยังพอจะเก็บได้ ผมจึงตั้งใจว่าจะต้องทำส่วนเติมคำตอบให้ได้ ซึ่งอย่างน้อยๆก็ได้ไปแล้ว 50% ส่วนแสดงวิธีทำตอนสอบจริงถ้าโชคดีทำได้ก็เป็นกำไรถ้าไม่ได้ก็เท!!
สำหรับหัวข้อที่ออกคือ
- จำนวนจริง (การแยกตัวประกอบ)
- อสมการ
- ภาคตัดกรวย
- ตรีโกณมิติ
- Expo & log
- เวกเตอร์
- ลำดับและอนุกรม
- แคลคูลัส (ต้องอ่านเนื้อหาระดับมหาวิทยาลัยไปด้วยนะครับ งั้นไม่รอด)
และแล้วก็มาถึงวันสอบ..ปีนี้ผมสอบที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ สอบร่วมกับน้องๆ ม. ปลาย บรรยากาศเลยคึกคักมากเหมือนกลับไปสอบแอตมิตชั่นอีกรอบเลย ก่อนสอบก็พยายามทำใจร่มๆไม่กดกันตัวเองครับ ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็คิดว่ามาลองแนวข้อสอบเฉยๆ วิชาแรกที่สอบตอนเช้าคือภาษาอังกฤษครับ พอสอบจริงรู้สึกว่าเวลาเดินเร็วมาก ใช้ความรู้สึกคุ้นกาๆไปซะเยอะไม่ค่อยผ่านสมองเท่าไหร่ ต่อมาคือวิชาเลข ซึ่งสายวิทย์มีวิศวะมาสอบกันเยอะมาก (ที่นั่งรอบตัวผมนี่วิศวะหมดเลย) แต่ละคนตอนสอบดูชิวกันมากเหมือนเอาดินสอสะกิดกระดาษเบาๆก็สามารถเนรมิตคำตอบออกมาได้ มีผมนี่แหละครับนั่งกุมหัวไปทำข้อสอบไป ทดวนไปวนมาจนงง ถึงจะทำใจมาก่อนแล้วว่าจะเอาแค่ 50% ก็เถอะนะ TT ตอนบ่ายเป็นไบโอครับ ก็ตามที่เล่าไปแล้วว่าข้อสอบเป็น passage เหมือนเข้าไปแข่งอ่านวรรณกรรมอะไรแบบนั้น ซึ่งถึงแม้ข้อสอบจะไม่ยากอะไรมากมายแต่วิชาชีวะนั้นดูดพลังงานชีวิตสุดๆครับ พอสอบเสร็จผมก็รีบหนีออกมาทันที บริเวณหน้าห้องสอบหลังสอบเสร็จเป็นโซนที่อันตรายต่อจิตใจมาก - - การประกาศผลสอบรอบข้อเขียนจะใช้เวลาประมาณ 2 อาทิตย์หลังสอบ ระหว่างนั้นจะเป็นช่วงเวลาที่ทรมานมาก T^T
=> กระทู้หน้าเป็นการสอบสัมภาษณ์นะครับ