รีวิวมหากาพย์การสมัครทุนรัฐบาลญี่ปุ่น (Monbukagakusho): การติดต่อมหาวิทยาลัย

มาถึงขั้นตอนสุดท้ายจริงๆสักที ซึ่งถ้าใครที่มาถึงจุดนี้แล้วกำลังอ่านกระทู้นี้อยู่ผมขอแสดงความยินดีด้วยนะครับ กระทู้นี้ผมจะขอเล่าถึงขั้นตอนที่เหลือหลังจากที่ติดการสอบสัมภาษณ์แล้วซึ่งเราเรียกการคัดเลือกรอบนี้ว่า First selection คือเป็นผู้มีสิทธิ์(อาจ)จะได้รับทุน ซึ่งจำเป็นต้องผ่านการพิจารณาจากกระทรวงศึกษาที่ญี่ปุ่นและจากทางมหาวิทยาลัยอีกถึงจะได้เป็นผู้รับทุนอย่างเต็มตัว บางคนอาจจะกำลังบ่นในใจทำมาแทบตายยังไม่ได้เป็นผู้รับทุนอีกหรอเนี่ย ใจเย็นๆก่อนครับตอนนี้เราก้าวขึ้นมาเตรียมเป็นผู้รับทุนแล้ว 90% อีก 10% ที่เหลือแค่ตั้งใจอ่านกระทู้นี้แล้วทำตามให้ดีก็พอ

    ประมาณช่วงปลายเดือนกรกฎาคมหลังจากที่ประกาศผลสัมภาษณ์ออกมา ทางสถานทูตจะเรียกคนที่ผ่านสัมภาษณ์ทั้งหมดไปคุยพร้อมกับรับเอกสารไปกรอก (ทั้งหมด 4 ชุด) ซึ่งเอกสารในครั้งนี้จะถูกส่งไปยังกระทรวงศึกษาที่ประเทศญี่ปุ่นเพื่อทำการพิจารณาต่อ ผมจะพูดถึงทีละอย่างเลยนะครับ

    1)    ใบสมัคร 4 ชุด: ใบที่ได้มาจะคล้ายกับที่เรากรอกไปตอนแรกเลย ถ้าใครทำ Copy ใบสมัครตอนแรกเอาไว้ ส่วนใหญ่ก็แค่ลอกตามลงไปได้เลยจะมีที่ไม่เหมือนกันอยู่บางข้อ แต่เนื่องจากเราจะต้องส่งทั้งหมดเป็นฉบับจริงดังนั้นเราจึงต้องมานั่งกรอกด้วยมือทั้งหมด 4 ชุดอย่างบรรจง ดังนั้นใครกลัวเขียนผิดจะขอใบสมัครมาสำรองกันเสียอีกชุดก็ได้

    2)    Study plan 4 ชุด: รอบนี้สถานทูตจะเปิดโอกาสให้เราแก้ study plan ของเราได้อีกครั้ง ดังนั้นถ้าเกิดใน study plan อันแรกที่ส่งไปมีจุดที่สะกดผิดหรือมีจุดที่ไม่ชัดเจนเราสามารถปรับแต่งแก้ไขได้ แต่มีข้อแม้ว่าห้ามเปลี่ยนหัวข้อวิจัยไปจากเดิม

    3)    ใบ Placement Preference From ฉบับจริง 1 ใบ สำเนาอีก 1 ใบ: พูดง่ายๆก็คือใบเลือกอันดับอาจารย์ที่ปรึกษา 3 คนที่เราอยากไปอยู่ด้วยมากที่สุดนั่นแหละครับโดย อ. ทั้ง 3 ท่านควรมาจากคนละที่กันด้วย ครั้งนี้ทางสถานทูตจะเปิดโอกาสให้เราเลือกอันดับใหม่ได้อีกรอบ ซึ่งรอบนี้เราต้องคิดให้ดีๆเลยว่าจะเอาที่ไหนบ้างเพราะมันหมายถึงชีวิตของเราในอนาคต แต่ก็ไม่ต้องกังวลไปครับใบนี้สามารถไปขอแก้ไขได้อีกที่สถานทูตจนถึงปลายเดือนกันยายนโน่นเลย

    4)    รูปถ่าย 4.5 x 3.5 ซม. 5 ใบ: ใช้ติดใบสมัคร 4 ใบและอีก 1 ใบติดใน Placement Preference From

    5)    ใบรับรองวุฒิการศึกษาฉบับภาษาอังกฤษ ฉบับจริง 1 ใบ สำเนา 3 ใบ

    6)    Transcript ฉบับจริง 1 ใบ สำเนา 3 ใบ

    7)    จดหมายรับรองจาก อ.ที่ปรึกษา ฉบับจริง 1 ใบ สำเนา 3 ใบ: อันนี้เค้าจะมีแบบฟอร์มให้อยู่แล้ว เรามีหน้าที่แค่เอาไปให้ อ. ช่วยเขียนเฉยๆ ซึ่งใบนี้ควรรีบให้ อ. ก่อนเลยเพื่อให้ อ. ได้มีเวลาเขียนอวยสรรพคุณให้เรา

    8)    ใบตรวจร่างกาย ฉบับจริง 1 ใบ สำเนา 3 ใบ: อันนี้ก็มีแบบฟอร์มมาแล้ว ให้คุณหมอกรอกลงไปในใบได้เลย ซึ่งการตรวจร่างกายนี้ควรรีบทำให้เร็วที่สุดเท่าที่จะรีบได้เพราะเป็นใบที่ไม่ใช่จะได้มาทันที อย่าง จขกท. ไปยื่นตรวจเสร็จกว่าจะได้รับผลก็ปาไปอีก 3 วัน บางทีผลตรวจบางอันไม่ผ่านต้องกลับมาตรวจซ้ำก็มี (ในใบมีบังคับให้ตรวจอุจจาระด้วย มันพีคก็ตรงนี้แหละ TT....ไม่เล่าละกัน เอาไว้ไปเจอเองนะ หึๆ)

    9)    ข้อ 9 นี้เป็นเอกสารที่ไม่บังคับ ใครจะส่งไม่ส่งก็ได้อันได้แก่ Abstract งานวิจัย, รูปถ่ายผลงานทั้งหลายของเรา, ใบผลสอบภาษาต่างๆ

    เอกสารข้อ 1) – 9) นี้จะต้องรีบเตรียมให้เสร็จภายใน 1 สัปดาห์ โดยทางสถานทูตจะนัดวันเวลาส่งของเรามาให้ชัดเจนว่าคนไหนไปส่งเวลาไหน แค่ไปให้ตรงเวลาก็พอ  

   10)     Letter of Acceptance ฉบับจริง 1 ใบ สำเนาอีก 3 ใบ: ในบรรดาเอกสารทั้งหมด ใบนี้เป็นใบที่ลุ้นระทึกที่สุด เพราะจะได้ทุนหรือไม่ได้ทุนก็ขึ้นอยู่ที่ใบนี้นี่แหละ ซึ่งรายละเอียดการได้มาผมจะขอแยกไปพูดอีกย่อหน้าเลยแล้วกันครับ ใบ LOA นี้สามารถส่งช้ากว่าอย่างอื่นได้ประมาณ 2 เดือน นั่นหมายความว่าเรามีเวลาประมาณ 2 เดือนในการติดต่อกับ อ. ที่โน่นนั่นเอง

การติดต่อมหาวิทยาลัย

    เงื่อนไขสำคัญของการได้ทุนนี้คือ ผู้รับทุนจะต้องหามหาวิทยาลัยที่สามารถรับเราเข้าไปเรียนได้ ซึ่งก็หมายถึงต้องหามหาวิทยาลัยที่สามารถออกใบ LOA ให้เราได้ มิเช่นนั้นแล้วก็จะถูกตัดสิทธิ์  ตัวใบ LOA นี้จะมีแบบฟอร์มที่ตายตัวให้เราแสกนส่งทางเมลล์ไปให้ อ. ที่โน่นกรอกแล้วส่งตัวจริงกลับมา นอกจากนั้นแล้วทางสถานทูตจะให้ใบรับรองว่าเราผ่านการคัดเลือกรอบ First selection แล้วมาด้วยเพื่อไว้เป็นหลักฐานยืนยันว่าเราผ่านสัมภาษณ์แล้วจริงๆ เผื่อเวลา อ. ที่โน่นขอดู

    ในการหาอาจารย์ที่จะรับเราได้นั้น สำหรับบางคนอาจจะใช้วิธีถาม อ. ที่ปรึกษาเพื่อให้เค้าช่วยติดต่อกับ อ. ที่โน่นให้เรา ซึ่งกรณีที่มี connection อยู่แล้วแบบนี้เปอร์เซ็นการรับเข้าไปก็จะสูง แต่สำหรับใครที่ต้องเริ่มเองจาก 0 ก็ไม่ต้องตกใจเพราะส่วนใหญ่ก็แบบนี้กันทั้งนั้น โดยผมใช้วิธีการหาจากในเว็ปของมหาวิทยาลัยแต่ละที่เพื่อเลือกดู อ. ที่เราสนใจจะไปทำวิจัยด้วย  จากนั้นก็จดชื่อและอีเมลล์เก็บเอาไว้ ซึ่งผมหารวมๆมาได้ 6 ท่านที่ผมสนใจ หลังจากนั้นจึงส่งอีเมลล์ฉบับแรกไปถามโดยเนื้อหาในอีเมลล์ฉบับนี้จะยังไม่พูดถึง LOA แต่จะเป็นการแนะนำตัวเองสั้นๆ บอกเรื่องที่เราสนใจจะทำ และถามเค้าว่าพอจะรับเราเข้าไปอยู่ด้วยได้มั้ย ซึ่งเนื้อหาโดยรวมจะกว้างๆจึงสามารถก็อปแล้วกระจายส่งไปถาม อ. ทั้ง 6 คนพร้อมๆกันได้ หลังจากนั้นก็รอเค้าตอบกลับมา ซึ่งคำตอบที่ได้มาก็จะหลากหลายต่างกันไป  อ. ที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในมหาวิทยาลัยดังๆส่วนมากก็จะมีคนแย่งกันเข้าไปอยู่ด้วยเยอะ แลปก็จะเต็มตลอดเวลาจึงไม่สามารถรับเราเข้าไปได้ บางคนก็มีเงื่อนไขว่าต้องพูดภาษาญี่ปุ่นได้เท่านั้นถึงจะรับ (ซึ่งผมก็ขอผ่าน 55) บางคนอาจจะขอให้เราส่ง CV หรือส่ง Study plan ไปให้เค้าดูก่อนถึงจะบอกว่ารับไม่รับ หรือบางที อ. เค้าจะขอ Skype มาคุยดูก่อนก็ต้องตามใจเค้าไป เรียกได้ว่า อ. ขอให้ทำอะไรก็ต้องทำ (เป็นช่วงที่รับส่งอีเมลล์กันสนุกสนาน นั่งเฝ้าเมลล์กันทั้งวันมีอีเมลล์แจ้งเตือนทีก็ขนลุกที) คนไหนที่ตอบมาแล้วว่าจะไม่รับก็ตัดออกจากตัวเลือกไป ซึ่งท้ายที่สุดจาก 6 คนนี้มีเพียง อ. คนเดียวจาก Kyoto University เท่านั้นที่ตอบรับมาว่าสามารถรับผมเข้าไปได้ รวมกับอ. จาก Tsukuba ซึ่งผมเคยติดต่อไปแล้วก่อนหน้านี้เป็น 2 คน ซึ่งพอได้ทางเลือกมาแล้วก็ให้เราลองพิจารณาเหตุผลหลายๆอย่างว่าจะเลือกอยู่กับใคร ซึ่งขอบอกเลยว่าเลือกยากมากกกกก ผมลังเลอยู่หลายสัปดาห์ก็ยังเลือกไม่ได้สักที จนต้องไปคุยกับ อ. ที่ปรึกษาของผมทำให้ลงเอยได้ที่ Tsukuba เพราะเป็นเมืองเล็กๆที่เน้นทำวิจัย จึงน่าจะเหมาะกว่า

    หลังจากตกลงปลงใจได้แล้วก็แสกน Letter of Acceptance ไปให้ อ. กรอกและส่ง EMS กลับมาได้เลย บ้านเลขที่ถ้ากลัวเป็นภาษาอังกฤษแล้วไปรษณีย์จะส่งพลาดล่ะก็ พิมพ์แบบภาษาไทยไปให้ อ. ปริ้นออกมาแปะด้วยก็ได้ (ใบนี้สำคัญมากๆ ถ้าส่งพลาดจบเห่เลย) ซึ่งช่วงที่รอผมนี่แทบจะนอนเฝ้าตู้ไปรษณีย์อยู่หน้าบ้านเลยล่ะครับ 555 ตื่นเต้นสุดๆว่าจะมาไม่มา หลังจากได้มาแล้วก็เอาไปส่งที่สถานทูตก็เป็นอันจบพิธี เราจะได้รับประกาศจากกระทรวงศึกษาที่ญี่ปุ่นอีกทีประมาณเดือนพฤษจิกายน และจะได้รับประกาศรอบสุดท้ายว่าติดแน่ๆประมาณช่วงปีใหม่ ซึ่งถ้ามี Letter of Acceptance ส่งไปก็ไม่น่ามีปัญหาอะไรแล้วในส่วนนี้ ที่เหลือคือรอไปยาวๆเลยครับ ก็ถือซะว่าเป็นรางวัลชีวิตให้เราได้หยุดพักทำสิ่งที่เราอยากทำก่อนไปเรียนต่อ ซึ่งผมก็ใช้เวลาช่วงนี้เรียนภาษาญี่ปุ่นเตรียมเอาไว้

    ผมก็ขอจบกระทู้อันยาวยืดของผมเอาไว้แค่นี้แล้วกันนะครับ หวังว่ากระทู้นี้จะช่วยปูทางเดินให้คนที่สนใจไปเรียนต่อประเทศญี่ปุ่นได้ไม่มากก็น้อยนะครับ ^-^
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่