การฟังธรรมแล้วบรรลุธรรมโดยฉับพลัน จริงหรือ???

การฟังธรรมแล้วบรรลุธรรมโดยฉับพลันที่เกิดขึ้นในครั้งพุทธกาล เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้จริง ย่อมต้องมีเหตุมีผลรองรับในการที่บรรลุอย่างฉับพลันนั้น เสมือนบุรุษผู้ฝึกม้ามาอย่างโชกโชนชำนาญแล้ว สามารถปราบพยศม้าที่เจอหน้ากันครั้งแรกได้ฉันใด เช่นเดียวกับบุคคลผู้ฝึกฝนอบรมจิตที่ได้สั่งสมมาอย่างพากเพียรชำนาญในการเข้าออกรูปฌาน-อรูปฌานจนเป็นวสี เมื่อพบเจอสัมมาฌาน(สัมมาสมาธิ) ย่อมเข้าถึงและบรรลุได้โดยฉับพลันฉันนั้นเช่นกัน

ย่อมเชื่อถือเรื่องนี้ได้อย่างหมดหัวใจ แบบไม่ต้องสงสัย ถ้าเราเชื่อว่าพระพุทธองค์ทรงเป็นบุคคลแรกที่บรรลุธรรมฉับพลันด้วยการทำสัมมาสมาธิเพียงครั้งเดียวในคืนวันเพ็ญเดือน ๖ ใต้ต้นสาระ ...

แต่ก่อนหน้านั้น พระพุทธองค์ได้ทรงเพียรอบรม "จิต" มาอย่างยิ่งยวด พากเพียรอย่างมากมายมาหลายภพหลายชาติ โดยเฉพาะพระชาติสุดท้ายที่จะเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยแล้ว ทรงออกแสวงหาโมกขธรรมจากครูบาอาจารย์ทั้งหลาย โดยเฉพาะอาจารย์อาฬารดาบส อาจารย์อุทกดาบล ที่มีความชำนาญอย่างยิ่งในอรูปฌานที่ ๗ และ ๘ เมื่อพระพุทธองค์ทรงเข้าสำนักท่านไป เพียงแค่ฟังครั้งเดียวก็ทำได้ชำนาญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าอาจารย์เลย

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต่อมาไม่นาน เราเรียนธรรมนั้นได้รวดเร็ว ชั่วขณะหุบปากเจรจาปราศรัยเท่านั้น เราก็กล่าวญาณวาทและเถรวาทได้"

จนอาจารย์ออกปากชมและชวนให้อยู่ช่วยสอนในสำนัก

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาฬารดาบส กาลามโคตร อุทกดาบส รามบุตร ทั้งที่เป็นอาจารย์ของเรา ก็ยกย่องเราผู้เป็นศิษย์ให้สม่ำเสมอกับตน และบูชาเราอย่างโอฬาร ด้วยประการฉะนี้"

เมื่อตอนสำเร็จเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใหม่ๆ ทรงเล็งพระญาณว่าจะมีใครบรรลุธรรมได้บ้าง ทรงระลึกถึงอาจารย์ทั้งสอง

"พระผู้มีพระภาคได้ทรงพระดำริว่า เราจะพึงแสดงธรรม แก่ใครก่อนหนอ ใครจักรู้ทั่วถึงธรรมนี้ได้ฉับพลัน ครั้นแล้วทรงพระดำริต่อไปว่า อาฬารดาบส กาลามโคตร,อุทกดาบส รามบุตรและนี้แลเป็นผู้ฉลาด เฉียบแหลม มีปัญญา มีธุลีคือกิเลสในจักษุน้อยเป็นปกติมานาน ถ้ากระไร เราพึงแสดงธรรมแก่อาฬารดาบส กาลามโคตร,อุทกดาบส รามบุตรก่อน เธอจักรู้ทั่วถึงธรรมนี้ได้ฉับพลัน"

พระพุทธองค์ทรงได้ออกปากกล่าวไว้ว่า อาจารย์ทั้งสองได้ "ฉิบหา..." ไปจากกุศล (ธรรม) อันยิ่งใหญ่แล้ว เพราะถ้าเพียงแค่ได้ฟังจากพระพุทธองค์ก็บรรลุธรรมได้โดยฉับพลัน

แต่ในปัจจุบันมักชอบมีการแอบอ้างการบรรลุธรรมแบบฉับพลัน ทั้งที่ขาดเหตุผลมารองรับ ผู้ฟังก็มักเชื่อเพียงเพราะเป็นบุคคลที่น่าเชื่อถือ บุคลิกดี พูดจาไพเราะ แอบอ้างพ่อแม่ครูบาอาจารย์มารับรองตน มักอ้างในสิ่งไม่สามารถพิสูจน์ได้ เช่น มีบุญเก่าสั่งสมมาแล้วหลายภพหลายชาติ ทั้งๆ ที่ในชาติปัจจุบันที่รู้อยู่เห็นอยู่ตำตา ยังไม่สามารถอธิบายเรื่องการปฏิบัติธรรมกรรมฐานสัมมาสมาธิได้อย่างถูกต้อง เพียงอาศัยอ้างปัญญาที่ตนเองมี ฉลาดในการพูดเท่านั้น ก็บรรลุได้นั้น เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อถือ เพราะขาดเหตุผลอย่างยิ่ง

โดยเมื่อเปรียบเทียบกับพระพุทธองค์ที่ทรงบรรลุธรรมในพระชาติสุดท้ายที่ต้องพากเพียรด้วยความยากลำบากแล้ว ดูเหมือนบุคคลที่แอบอ้างเหล่านั้นได้ลบหลู่ภูมิปัญญาของพระพุทธองค์ว่าด้อยกว่าตนเองเสียอีก ...เวรกรรมมีจริง

ธรรมใดถ้าไม่ทำก็ไร้ค่า

เจริญในธรรมทุกๆท่านครับ
ธรรมภูต

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่