เพื่อนๆมีความเห็นอย่างไรกับบทความนี้บ้างคะ ?

กระทู้สนทนา
คุณคิดเห็นอย่างไรก็บทความนี้

    ดิฉันเคยคิดว่า  ประเทศของเราดีไม่เท่ากับประเทศของคนอื่นเขาในหลายๆด้าน  ดิฉันรู้สึกอิจฉาคนที่ได้เกิดในประเทศที่เจริญแล้วเหล่านั้นว่าเขามีชีวิตที่สุขสบายมากกว่าประเทศของฉัน  แต่พอมาวันหนึ่งฉันลองมาคิดลึกๆดูแล้ว  ฉันก็รู้สึกว่าที่แท้จริงแล้วฉันก็ไม่ได้ “ขาด” อะไร  หรือเพราะมันอาจเป็นเพราะความไม่รู้จักพอของฉันทำให้ฉันมองข้ามสิ่งที่ฉัน“มีอยู่”
และมัวแต่ขวนขวายสิ่งที่ฉันไม่มี  ฉันไม่ได้หมายถึงว่าความทะเยอทะยานเป็นสิ่งที่ไม่ดี  แน่นอนว่ามันทำให้เราพัฒนาไปสู่สิ่งที่เจริญและสะดวกสบายขึ้น  แต่ฉันแค่อยากให้เรามามองดูสิ่งที่เรามีอยู่ตอนนี้ว่าเรารู้ถึง “คุณค่า”ที่แท้จริงของมันแล้วหรือยัง


    มันอาจเป็นความรู้สึกของฉันไปเองว่าตอนนี้สังคมของเรามีแต่คนที่อยากได้แต่ไม่เคย “ให้”  ทำไมเราถึงคิดว่าหลักการที่ว่า “ ก็ฉันเกิดเป็นคนในประเทศนี้  ก็ต้องเป็นหน้าที่ของประเทศในการพัฒนาการให้ฉันอยู่ดีกินดี  สะดวกสบาย  มีหน้ามีตาต่อประเทศอื่นๆด้วยสิ”  ถึงใช้ได้กับตัวเราหล่ะ   เคยลองย้อนกลับมามองดูตัวของพวกเราบ้างไหม ว่าเราเคยทำอะไรที่ดี “ให้”  แก่ประเทศของเราแล้วหรือยัง  ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่สังคมเรามีแต่คนอยากเป็นแต่ผู้”รับ”แต่ฝ่ายเดียว  ทั้งๆที่ไม่เคย”ให้”ไป


    ทำไมเรามัวแต่ไปสนใจด้วยเล่าว่าคนอื่นเขาคิดยังไง  ไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครรัก หรือ เห็นค่าเราก็ไม่เป็นไร  ทำไมเราไม่หันกลับมารัก”ประเทศของเรา”  หรืออย่างน้อยที่สุดก็รัก “ตัวเอง” ให้มากกว่านี้บ้างเล่า  ถ้าเราอยากให้สังคมของเราดีขึ้นๆจริงๆทำไมเราไม่ลงมือทำด้วยตัวเองบ้างหล่ะ  ดิฉันเชื่อว่าเด็กรุ่นใหม่สมัยนี้มีความรู้ความสามารถมากมายที่สามารถช่วยพัฒนาประเทศของเราให้เจริญขึ้นเหมือนประเทศอื่นๆได้เหมือนกัน


    คำว่า”ประเทศ” คือการรวมคนหลายๆคนเอาไว้ด้วยกัน  อาจจะเป็นแสน ล้าน สิบล้าน ร้อนล้าน หรือมากไปกว่านั้น  หากเราต้องการให้ประเทศของเราดีขึ้นจริงๆ  เราก็ต้องช่วยกันสิ คนแค่บางคนหรือบางกลุ่มที่เก่งๆอาจทำให้ประเทศของเราดีขึ้นได้  แต่หากเราไม่ช่วยกันทั้งประเทศมันไม่มีทางดีลงไปถึง “รากฐาน” ได้หรอก


    ดิฉันเคยอ่าน(ไม่ได้แปลเองนะคะ) บทกลอนของภาษาจีนที่มีผู้แปลในอินเทอร์เน็ตเป็นไทยว่า “เขียวมรกตถูกหลอมรวมจากทองแดง  กระป๋องแต้มสนิมสะพรั่งดั่งบุปผา  ไขมันทอเป็นไหมเงาอุจาดตา  แสงอุษาจากเชื้อห่าทอประการ  บึงโสมมกลั่นตัวเป็นสุราเขียว มุกซีดเซียวเกิดจากฟองฟอดสีขาว  เหล่ามุกน้อยมันหัวร่อรัวระนาว  ถูกยุงโฉบเจาะดูดฟองสลายไป  โถเจ้าแหล่งน้ำนิ่งสิ้นศรัทธา  ยังปากกล้าอวดว่าข้อยังสดใส  บอกว่าหากกบตัวน้อยนั้นเหงาใจ  จะห่วงใยพร้อมบรรเลงเพลงให้ฟัง
นี่คือแหล่งน้ำเสียไร้ความหวัง! ไร้กระทั่งสิ่งสวยงามอยู่อาศัย! ให้เหล่าอสูรเดรัจฉานมันอยู่ไป!  โลกแบบใดที่พวกมันจักสร้างมา!!”


    สิ่งที่ฉันต้องการให้ทุกคนสนใจไม่ใช่คำก้นด่าเหล่านั้นแต่เป็น ประโยคที่ว่า “ให้เหล่าอสูรเดรัจฉานมันอยู่ไป!  โลกแบบใดที่พวกมันจักสร้างมา!!”  ว่ามันสะท้อนอะไรออกมา มันไม่ใช่ว่าสังคมที่พวกเราอยู่กันทุกวันนี้มันไม่ใช่เกิดจากสังคมที่พวกเราสร้างขึ้นมาเองทั้งนั้นหรอกหรือ  หรือพวกเรายังคิดว่าตัวเองเป็น “ดอกไม้ในกองหญ้า” หรือ “หงส์ในหมู่กา” อยู่อีก  สังคมที่พวกเราเห็นมันก็สะท้อนตัวตนของตัวเราเอง หรือ คนส่วนมากออกมาทั้งนั้น  มันก็เหมือนสุภาษิตไทยที่ว่า  “ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น” นั้นแหละ


    แล้วคุณคิดว่าสังคมที่เราเป็นอยู่ในตอนนี้มันดีแล้วหรือยังหล่ะ ถ้าหากว่ามันยังไม่ดี ทำไมเราไม่เริ่มทำให้มันดีจากที่ตัวเรา ยิ้ม
ปล. นี่เป็นแค่ความเห็นส่วนตัวหากทำให้บุคคลใดรู้สึกไม่ดี หรือ ไม่สบายใจ ดิฉันขออภัยไว้ ณ ที่นี่ด้วย



หลังจากอ่านบทความนี้แล้วคุณมีความคิดเห็นอย่างไรกับบทความนี้บ้าง คนๆนี้คิดผิด คิดมากไปหรือปล่าว ลองแสดงความคิดเห็นกันดูค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่