ต่อจาก Part 1 นะค้า Part 1 Narita to Kawaguchiko
http://pantip.com/topic/35857214

หลังจากที่เราไปเที่ยวฟูจิกันมาแล้ว ก็กลับมานอนในโตเกียว 1 คืน เพื่อนที่จะเดินทางต่อไปนิกโก้ มีคำกล่าวที่บอกว่า Nikko is Nippon ถ้ามาญี่ปุ่นไม่มาที่นี่ก็คงจะเสียใจแย่ สำหรับเราแล้วนิกโก้เป็นเมืองในฝันที่อยากไปมาก ๆ อยู่แล้ว ถ้าใครไปช่วงเดือน พ.ย ก็ยังคงจะได้เห็นใบไม้เปลี่ยนสีอยู่ พร้อมแล้วไปเที่ยวนิกโก้กันเลยค่า....
ที่พักในโตเกียวของเราอยู่ใกล้กับสถานี Ikebukuro และ Mejiro จากสองสถานีนี้สามารถนั่ง JR Yamanote Line ไปลงที่สถานี Ueno ได้เลยค่ะ หลังจากนั้นต่อ Ginza Line ไปลงที่สถานี Asakusa ส่วนนี้สังเกตุนิดนึง ถ้าใครดูตามแผนรถไฟที่เค้าติดไว้อาจจะมองพลาดคิดว่าค่ารถไฟ 280 เยน แต่ถ้าสังเกตุดีดีจะเห็นว่าที่ตู้จำหน่ายตั๋วเค้าบอกว่าไป Asasuka 170 เยน เพื่อนเราพลาดจ่าย 280 มาแล้ว ฮ่า ๆ ทั้งสองสายนี้สามารถจ่ายด้วยบัตร Suica ได้เลยค่ะ
เมื่อมาถึงสถานี Asasuka ให้เดินไปตามป้ายที่เขียนว่า Tobu Skytree Line
จะเจอกับ counter ขายตั๋วแบบนี้เลยค่ะ
จากที่หาข้อมูลมา เราตัดสินใจว่าจะซื้อตั๋ว All Nikko Area Pass กัน เพราะตั๋วใบเดียวรวมค่ารถไฟและค่ารถบัสใน Nikko ถือว่าคุ้มและสะดวกมากในราคา 4,520 เยน เคาท์เตอร์ขายตั๋วเปิด 7.20 น. รถรอบแรกออก 6.30 น. ถ้าใครที่อยากไปรอบเช้าสุดสามารถมาซื้อตั๋วล่วงหน้าไว้ก่อนได้เลยค่ะ สมัยก่อนสามารถซื้อได้ที่สนามบินและตามสถานีอื่น ๆได้ แต่ปัจจุบันนี้ต้องมาซื้อที่ Tobu tourist information Center Asakusa เท่านั้นค่ะ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
http://www.tobu.co.jp/foreign/en/pass/
คำถาม : ตอนนี้มีตั๋วแบบ All Nikko Area Pass กับ All Nikko City Pass และมันต่างกันยังไง ?
คำตอบ : All Nikko Area Pass ราคา 4520 เยน มีอายุทั้งหมด 4 วัน เหมาะสำหรับคนที่ต้องการเที่ยวทั้งโซนมรดกโลกและโซนธรรมชาติ เช่นน้ำตกเคะงอน ควรซื้อพาสนี้เลย
All Nikko City Pass ราคา 2670 เยน มีอายุทั้งหมด 2 วัน ใช้ได้เฉพาะโซนมรดกโลกเท่านั้น หรือรถสาย 2B ไม่สามารถไปโซนธรรมชาติด้วย Pass นี้ได้นะคะ
เมื่อซื้อตั๋วเค้าจะมีแผนที่ในนิกโก้และตารางเวลารถให้ด้วย พร้อมอธิบายอย่างละเอียดยิบ ไม่ต้องกลังว่าจะฟังไม่เข้าใจเลยค่ะ เพราะเค้ามีพนักงานคนไทยคอยให้บริการด้วย เก๋ไปอีกกกก
ขออธิบายในส่วนของรูปด้านล่าง เพราะตอนที่เราหาข้อมูลเราสงสัยกับตารางนี้มาก ว่าแต่ล่ะช่องมีความแตกต่างกันยังไงบ้าง
สังเกตุในตรารางจะมีช่องต่าง ๆ และมีทั้งหมด 3 สี ความต่างของ 3 สีนี้คือ
สีฟ้า Rapid เป็นรอบรถที่ซื้อ PASS ของ ALL NIKKO PASS แบบราคา 4,520 เยน ซึ่งเป็นขาไปของเราที่อธิบายไว้ในลำดับด้านล่าง
สีชมพู Limited Express เป็นรอบรถไฟที่ต้องจ่ายเงินเพิ่มในราคา 1,150 เยนต่อเที่ยว/คน ซึ่งรายละเอียดจะอยู่ด้านล่างสำหรับนั่งกลับมาโตเกียว
สีเขียว Limited Express เป็นรอบรถพิเศษที่จะมีในวันหยุด หรือสอบถามรอบรถนี้กับทาง information อีกทีว่าวันที่เราเดินทางมีรอบพิเศษนี้ไหม
ตารางด้านล่างเป็นตารางเวลาของรถที่ไปเที่ยวโซนธรรมชาติ สุดสายที่ Yumato onsen ถ้าจะไปเที่ยวโซนธรรมชาติหรือทะเลสาบให้รอรถที่ป้าย 2B และ 2A
สีฟ้าเป็นตารางเวลารถที่ออกจากสถานี TOBU NIKKO เริ่มต้นที่สถานีที่หมายเลข 2
สีเขียวเป็นตารางเวลารถที่กลับจาก Yumato onsen กลับมาที่สถานี TOBU NIKKO
** ถ้าขึ้นรถป้าย 2A จะไปสิ้นสุดที่ Yumato Onsen ถ้าขึ้นป้าย 2B จะไปสิ้นสุดที่ Chuzenji Onsen ***
ตารางด้านล่างเป็นตารางเวลารถที่วิ่งแค่เฉพาะโซนมรดกโลกเท่านั้น เริ่มต้นจากสถานี TOBU NIKKO ให้รอรถที่ป้าย 2C ( รถจะวิ่งวนเป็นวงกลม ) เท่านั้น
ตารางทั้ง 3 ตารางด้านต้น ต้องถือติดไม้ติดมือไปทุกที่เพราะมันมีประโยชน์ในการวางแผนเที่ยวของเราเป็นอย่างมากค่ะ (ดูจากรูปที่สแกนก็น่าจะรู้ว่าเราถือไปทุกที่จริง มีความยับเยินมาก ฮ่าๆ )
หลังจากที่ได้ตั๋วแล้วก็เดินขึ้นด้านบนไปเลยค่ะ (**** รักษาตั๋วให้ดีดีนะ เพราะไม่ว่าจะขึ้นรถไฟ รถบัส เราต้องใช้ยันวินาทีสุดท้ายที่กลับไปที่ Asakusa**** ) รีบจนลืมถ่ายรูปหน้าตาตั๋วมาให้ดู ต้องขอโทษด้วยจริงๆค่ะ
สำหรับ All nikko Pass จะเป็นรถไฟแบบธรรมดา(rapid) วิ่งตรงไปถึงที่ Nikko เลย โดยไม่มีการเปลี่ยนสาย แต่จะไม่มีการจองที่นั่ง เรียกว่า First Come First Serve ใครมาก่อนได้ก่อนจริง ๆ ค่ะ พอเรารู้ว่าเห้ย..!! ไม่มีการจองทีนั่งและมองไปที่แถวคือคนต่อแถวเยอะมาก เราจึงรีบซื้อข้าวที่ขายบนสถานีอย่างด่วนจี๋ และรีบวิ่งไปต่อแถว ขอแนะนำว่าใครที่มีเวลา หาซื้ออาหารมาจากข้างนอกก็ได้นะคะ เพราะถ้าเข้ามาในสถานีแล้ว จะมีร้านขายของแค่ร้านเดียว จะมีข้าวและแซนวิชด้วยแต่ข้าวเค้าจะแช่เย็น หน้าตาน่าทานมาก รสชาติไม่ถึงกับแย่แต่ก็ค่อยถูกปากเราเท่าไหร่ แฮะ ๆ อาจจะเป็นเพราะมันเย็นเกินไป
สำหรับรถไฟที่จะไปที่ Tobu Nikko ต้องขึ้นที่ตู้เบอร์ 5 และ 6 เท่านั้นนะคะ เมื่อรถไฟมาถึงทุกคนก็รีบขึ้นกันเลยค่ะ นาทีนี้คือดูวุ่นวายมาก ทุกคนต่างแย่งกันจับจองที่นั่งบางคนมาไม่ทันก็ต้องยืน ในส่วนของที่นั่งจะค่อนข้างแคบ ผู้ชายที่ไปด้วยกันแทบนั่งไม่ได้เลยค่ะ เพราะขายาวเกินไป ฮ่า ๆ
พอได้ที่นั่งกันเรียบร้อยแล้วก็ขอเอาข้าวที่เพิ่งซื้อ มากินรองท้องกันซะหน่อย
วิวระหว่างทางที่ไปนิกโก้สวยมากเลย มีทั้งหมู่บ้าน ต้นไม้เปลี่ยนสีและธรรมชาติ ให้ดูหลากหลายมาก แต่น่า่เสียดายที่พวกเราทนความง่วงกันไม่ไหว เลยได้ดูแค่นิดๆหน่อยๆ ก็หลับกับสนิทกันแบบยาวๆ
นั่งรถไฟมาได้ประมาณ 2 ชั่วโมงกว่า ก็มาถึงที่สถานี Tobbu Nikko กันเเล้วค่ะ(หลับก็ได้นะเพราะมันคือสถานีสุดท้ายจอดแช่เลยจ๊ะ) แค่โชว์ตั๋ว All Nikko Pass ก็สามารถเดินผ่านไปได้อย่างง่ายดาย ที่สถานีคนเยอะมากจริง เยอะแบบไม่รู้จะไปทางไหนเลย
และบวกกับยังไม่ได้หาข้อมูลมาว่า โรงแรมอยู่ส่วนไหนของนิกโก้ก็ทำให้ยืนงง ๆ กันพักหนึ่งเลยลอง search ชื่อ โรงแรมในGoogle Mapดู ระยะทางการเดินขึ้น 19 นาที ครั้นจะรอรถก็คิดว่าน่าจะต้องรอกันอีกนานแน่เลย เพราะนอกจากคนจะรอคิวเยอะเเล้ว รถบนถนนก็ติดมากเป็นพิเศษอีกด้วย(เพราะเป็นวันหยุด) งั้นเดินไปเรื่อย ๆ ซึมซับอากาศเย็น ๆ ไปแทนล่ะกัน
พอลองเดินจริง ๆ ประมาณ 10 นาทีนิด ๆ ก็ถึงแล้วค่ะ อยู่ที่ว่าเราเดินเร็วกันแค่ไหน แต่ทางเดินก็ชันเล็กน้อย ถือซะว่าเป็นการบริหารขาไปได้ในตัวเลย ที่นี่สวยมากดูเป็นเมืองเล็ก ๆ ที่มีอารยธรรม ตลอดสองข้างทางเต็มไปด้วยร้านขายกาแฟ อาหาร และของที่ระลึก(เป็นร้านของคนพื้นที่ Nikko เลยนะ)
เดินไปก็ตื่นเต้นกับสิ่งข้างทางไป แปปเดียวก็มาถึงโรงแรมแล้วค่ะ ถ้ามาด้วยรถให้ลงที่สถานีที่ 7 ได้เลยค่ะ โรงแรมของเราวันนี้ชื่อว่า Nikko tokino yuu จองกับ booking.com ราคาคนล่ะ 7940 เยน/คน (คิดเป็นเงินไทย 2700 บาท) เราเลือกที่นี่เพราะดูแล้วน่าจะสะดวกสบายที่สุดในการเดินทาง และมันก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ เรามาถึงโรงแรมตั้งแต่ประมาณ 11 โมง กะว่าจะขอแค่เอากระเป๋าไปฝาก แต่ก็ได้กุญแจห้องเข้าพักได้เลย ดีต่อใจพวกเรามาก ๆ พาไปดูห้องพักคืนนี้ของเรากันก่อนเลยดีกว่าเนอะ ที่เราจองไว้เป็นแบบไม่รวมอาหาร แต่พอมาเช็คอินเค้าบอกว่าห้องเรามีอาหารเช้าด้วยพร้อมให้คูปองอาหารเช้ามาเลย ถือว่าโชคดีมาก พนักงานที่นี่พูดภาษาอังกฤษได้นะคะ การสื่อสารเลยไม่ลำบากเลย ออนเซ็นที่นี่สะอาดมากกกกกกก ถ้ามาแล้วต้องมาแช่กันนะคะ อ่อ แต่ว่าที่นี่เราต้องปูที่นอนเองนะคะ
หลังจากที่พักกันจนหายเหนื่อยแล้ว ก็ได้เวลากางแผนที่เที่ยวกันต่อเลย ซึ่งถ้าดูจากแผนที่แล้วโรงแรมเราอยู่ใกล้กับสะพานแดงหรือสะพานชินเคียวม๊ากกก แค่ข้ามฝั่งและเดินไปไม่ถึง 3 นาที ก็ถึง ถัดจากสะพานแดงแค่ข้ามถนนไป ก็สามารถเดินขึ้นไปโซนมรดกโลกได้เลย วันที่เราไปถึงเป็นวันอาทิตย์ก่อนหน้านี้เจ้าหน้าทีที่ขายตั๋วแนะนำว่า วันอาทิตย์ให้เที่ยวโซนมรดกโลกก่อนและวันจันทร์ค่อยขึ้นไปเที่ยวโซนน้ำตก เพราะรถจะติดมาก เนื่องจากเป็นวันที่คนญี่ปุ่นเองขับรถมาเที่ยวและรถที่นักท่องเที่ยวเช่ามาขับจึงทำให้รถเยอะเป็นพิเศษ งั้นเราไม่รอช้ามุ่งหน้าเดินกันต่อไปค่าา การเที่ยวในบริเวณโซนมรดกโลก ใช้เวลาในการเที่ยวประมาณ 3-4 ชั่วโมง ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่มันมีอะไรที่เราต้องมาสัมผัสและใช้เวลาอยู่กับมันจริง ๆ ในช่วงเดือนนี้พระอาทิตย์จะตกเร็วเป็นพิเศษนะ ประมาณ 4 โมงเย็น ฟ้าก็เริ่มมืดแล้วค่ะ
ก่อนไปชมสะพานแดง ขอเอาภาพจราจรบนท้องถนนมาช่วยยืนยัน ว่ารถติดม๊ากจริงๆค่ะ

[CR] กินแหลกตัวแตกเดินจนเท้าแหกที่เจแปน Part2 ดูใบไม้เปลี่ยนสีเที่ยวชมมรดกโลกที่ Nikko
หลังจากที่เราไปเที่ยวฟูจิกันมาแล้ว ก็กลับมานอนในโตเกียว 1 คืน เพื่อนที่จะเดินทางต่อไปนิกโก้ มีคำกล่าวที่บอกว่า Nikko is Nippon ถ้ามาญี่ปุ่นไม่มาที่นี่ก็คงจะเสียใจแย่ สำหรับเราแล้วนิกโก้เป็นเมืองในฝันที่อยากไปมาก ๆ อยู่แล้ว ถ้าใครไปช่วงเดือน พ.ย ก็ยังคงจะได้เห็นใบไม้เปลี่ยนสีอยู่ พร้อมแล้วไปเที่ยวนิกโก้กันเลยค่า....
ที่พักในโตเกียวของเราอยู่ใกล้กับสถานี Ikebukuro และ Mejiro จากสองสถานีนี้สามารถนั่ง JR Yamanote Line ไปลงที่สถานี Ueno ได้เลยค่ะ หลังจากนั้นต่อ Ginza Line ไปลงที่สถานี Asakusa ส่วนนี้สังเกตุนิดนึง ถ้าใครดูตามแผนรถไฟที่เค้าติดไว้อาจจะมองพลาดคิดว่าค่ารถไฟ 280 เยน แต่ถ้าสังเกตุดีดีจะเห็นว่าที่ตู้จำหน่ายตั๋วเค้าบอกว่าไป Asasuka 170 เยน เพื่อนเราพลาดจ่าย 280 มาแล้ว ฮ่า ๆ ทั้งสองสายนี้สามารถจ่ายด้วยบัตร Suica ได้เลยค่ะ
เมื่อมาถึงสถานี Asasuka ให้เดินไปตามป้ายที่เขียนว่า Tobu Skytree Line
จะเจอกับ counter ขายตั๋วแบบนี้เลยค่ะ
จากที่หาข้อมูลมา เราตัดสินใจว่าจะซื้อตั๋ว All Nikko Area Pass กัน เพราะตั๋วใบเดียวรวมค่ารถไฟและค่ารถบัสใน Nikko ถือว่าคุ้มและสะดวกมากในราคา 4,520 เยน เคาท์เตอร์ขายตั๋วเปิด 7.20 น. รถรอบแรกออก 6.30 น. ถ้าใครที่อยากไปรอบเช้าสุดสามารถมาซื้อตั๋วล่วงหน้าไว้ก่อนได้เลยค่ะ สมัยก่อนสามารถซื้อได้ที่สนามบินและตามสถานีอื่น ๆได้ แต่ปัจจุบันนี้ต้องมาซื้อที่ Tobu tourist information Center Asakusa เท่านั้นค่ะ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.tobu.co.jp/foreign/en/pass/
คำถาม : ตอนนี้มีตั๋วแบบ All Nikko Area Pass กับ All Nikko City Pass และมันต่างกันยังไง ?
คำตอบ : All Nikko Area Pass ราคา 4520 เยน มีอายุทั้งหมด 4 วัน เหมาะสำหรับคนที่ต้องการเที่ยวทั้งโซนมรดกโลกและโซนธรรมชาติ เช่นน้ำตกเคะงอน ควรซื้อพาสนี้เลย
All Nikko City Pass ราคา 2670 เยน มีอายุทั้งหมด 2 วัน ใช้ได้เฉพาะโซนมรดกโลกเท่านั้น หรือรถสาย 2B ไม่สามารถไปโซนธรรมชาติด้วย Pass นี้ได้นะคะ
เมื่อซื้อตั๋วเค้าจะมีแผนที่ในนิกโก้และตารางเวลารถให้ด้วย พร้อมอธิบายอย่างละเอียดยิบ ไม่ต้องกลังว่าจะฟังไม่เข้าใจเลยค่ะ เพราะเค้ามีพนักงานคนไทยคอยให้บริการด้วย เก๋ไปอีกกกก
ขออธิบายในส่วนของรูปด้านล่าง เพราะตอนที่เราหาข้อมูลเราสงสัยกับตารางนี้มาก ว่าแต่ล่ะช่องมีความแตกต่างกันยังไงบ้าง
สังเกตุในตรารางจะมีช่องต่าง ๆ และมีทั้งหมด 3 สี ความต่างของ 3 สีนี้คือ
สีฟ้า Rapid เป็นรอบรถที่ซื้อ PASS ของ ALL NIKKO PASS แบบราคา 4,520 เยน ซึ่งเป็นขาไปของเราที่อธิบายไว้ในลำดับด้านล่าง
สีชมพู Limited Express เป็นรอบรถไฟที่ต้องจ่ายเงินเพิ่มในราคา 1,150 เยนต่อเที่ยว/คน ซึ่งรายละเอียดจะอยู่ด้านล่างสำหรับนั่งกลับมาโตเกียว
สีเขียว Limited Express เป็นรอบรถพิเศษที่จะมีในวันหยุด หรือสอบถามรอบรถนี้กับทาง information อีกทีว่าวันที่เราเดินทางมีรอบพิเศษนี้ไหม
ตารางด้านล่างเป็นตารางเวลาของรถที่ไปเที่ยวโซนธรรมชาติ สุดสายที่ Yumato onsen ถ้าจะไปเที่ยวโซนธรรมชาติหรือทะเลสาบให้รอรถที่ป้าย 2B และ 2A
สีฟ้าเป็นตารางเวลารถที่ออกจากสถานี TOBU NIKKO เริ่มต้นที่สถานีที่หมายเลข 2
สีเขียวเป็นตารางเวลารถที่กลับจาก Yumato onsen กลับมาที่สถานี TOBU NIKKO
** ถ้าขึ้นรถป้าย 2A จะไปสิ้นสุดที่ Yumato Onsen ถ้าขึ้นป้าย 2B จะไปสิ้นสุดที่ Chuzenji Onsen ***
ตารางด้านล่างเป็นตารางเวลารถที่วิ่งแค่เฉพาะโซนมรดกโลกเท่านั้น เริ่มต้นจากสถานี TOBU NIKKO ให้รอรถที่ป้าย 2C ( รถจะวิ่งวนเป็นวงกลม ) เท่านั้น
ตารางทั้ง 3 ตารางด้านต้น ต้องถือติดไม้ติดมือไปทุกที่เพราะมันมีประโยชน์ในการวางแผนเที่ยวของเราเป็นอย่างมากค่ะ (ดูจากรูปที่สแกนก็น่าจะรู้ว่าเราถือไปทุกที่จริง มีความยับเยินมาก ฮ่าๆ )
หลังจากที่ได้ตั๋วแล้วก็เดินขึ้นด้านบนไปเลยค่ะ (**** รักษาตั๋วให้ดีดีนะ เพราะไม่ว่าจะขึ้นรถไฟ รถบัส เราต้องใช้ยันวินาทีสุดท้ายที่กลับไปที่ Asakusa**** ) รีบจนลืมถ่ายรูปหน้าตาตั๋วมาให้ดู ต้องขอโทษด้วยจริงๆค่ะ
สำหรับ All nikko Pass จะเป็นรถไฟแบบธรรมดา(rapid) วิ่งตรงไปถึงที่ Nikko เลย โดยไม่มีการเปลี่ยนสาย แต่จะไม่มีการจองที่นั่ง เรียกว่า First Come First Serve ใครมาก่อนได้ก่อนจริง ๆ ค่ะ พอเรารู้ว่าเห้ย..!! ไม่มีการจองทีนั่งและมองไปที่แถวคือคนต่อแถวเยอะมาก เราจึงรีบซื้อข้าวที่ขายบนสถานีอย่างด่วนจี๋ และรีบวิ่งไปต่อแถว ขอแนะนำว่าใครที่มีเวลา หาซื้ออาหารมาจากข้างนอกก็ได้นะคะ เพราะถ้าเข้ามาในสถานีแล้ว จะมีร้านขายของแค่ร้านเดียว จะมีข้าวและแซนวิชด้วยแต่ข้าวเค้าจะแช่เย็น หน้าตาน่าทานมาก รสชาติไม่ถึงกับแย่แต่ก็ค่อยถูกปากเราเท่าไหร่ แฮะ ๆ อาจจะเป็นเพราะมันเย็นเกินไป
สำหรับรถไฟที่จะไปที่ Tobu Nikko ต้องขึ้นที่ตู้เบอร์ 5 และ 6 เท่านั้นนะคะ เมื่อรถไฟมาถึงทุกคนก็รีบขึ้นกันเลยค่ะ นาทีนี้คือดูวุ่นวายมาก ทุกคนต่างแย่งกันจับจองที่นั่งบางคนมาไม่ทันก็ต้องยืน ในส่วนของที่นั่งจะค่อนข้างแคบ ผู้ชายที่ไปด้วยกันแทบนั่งไม่ได้เลยค่ะ เพราะขายาวเกินไป ฮ่า ๆ
พอได้ที่นั่งกันเรียบร้อยแล้วก็ขอเอาข้าวที่เพิ่งซื้อ มากินรองท้องกันซะหน่อย
วิวระหว่างทางที่ไปนิกโก้สวยมากเลย มีทั้งหมู่บ้าน ต้นไม้เปลี่ยนสีและธรรมชาติ ให้ดูหลากหลายมาก แต่น่า่เสียดายที่พวกเราทนความง่วงกันไม่ไหว เลยได้ดูแค่นิดๆหน่อยๆ ก็หลับกับสนิทกันแบบยาวๆ
นั่งรถไฟมาได้ประมาณ 2 ชั่วโมงกว่า ก็มาถึงที่สถานี Tobbu Nikko กันเเล้วค่ะ(หลับก็ได้นะเพราะมันคือสถานีสุดท้ายจอดแช่เลยจ๊ะ) แค่โชว์ตั๋ว All Nikko Pass ก็สามารถเดินผ่านไปได้อย่างง่ายดาย ที่สถานีคนเยอะมากจริง เยอะแบบไม่รู้จะไปทางไหนเลย
และบวกกับยังไม่ได้หาข้อมูลมาว่า โรงแรมอยู่ส่วนไหนของนิกโก้ก็ทำให้ยืนงง ๆ กันพักหนึ่งเลยลอง search ชื่อ โรงแรมในGoogle Mapดู ระยะทางการเดินขึ้น 19 นาที ครั้นจะรอรถก็คิดว่าน่าจะต้องรอกันอีกนานแน่เลย เพราะนอกจากคนจะรอคิวเยอะเเล้ว รถบนถนนก็ติดมากเป็นพิเศษอีกด้วย(เพราะเป็นวันหยุด) งั้นเดินไปเรื่อย ๆ ซึมซับอากาศเย็น ๆ ไปแทนล่ะกัน
พอลองเดินจริง ๆ ประมาณ 10 นาทีนิด ๆ ก็ถึงแล้วค่ะ อยู่ที่ว่าเราเดินเร็วกันแค่ไหน แต่ทางเดินก็ชันเล็กน้อย ถือซะว่าเป็นการบริหารขาไปได้ในตัวเลย ที่นี่สวยมากดูเป็นเมืองเล็ก ๆ ที่มีอารยธรรม ตลอดสองข้างทางเต็มไปด้วยร้านขายกาแฟ อาหาร และของที่ระลึก(เป็นร้านของคนพื้นที่ Nikko เลยนะ)
เดินไปก็ตื่นเต้นกับสิ่งข้างทางไป แปปเดียวก็มาถึงโรงแรมแล้วค่ะ ถ้ามาด้วยรถให้ลงที่สถานีที่ 7 ได้เลยค่ะ โรงแรมของเราวันนี้ชื่อว่า Nikko tokino yuu จองกับ booking.com ราคาคนล่ะ 7940 เยน/คน (คิดเป็นเงินไทย 2700 บาท) เราเลือกที่นี่เพราะดูแล้วน่าจะสะดวกสบายที่สุดในการเดินทาง และมันก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ เรามาถึงโรงแรมตั้งแต่ประมาณ 11 โมง กะว่าจะขอแค่เอากระเป๋าไปฝาก แต่ก็ได้กุญแจห้องเข้าพักได้เลย ดีต่อใจพวกเรามาก ๆ พาไปดูห้องพักคืนนี้ของเรากันก่อนเลยดีกว่าเนอะ ที่เราจองไว้เป็นแบบไม่รวมอาหาร แต่พอมาเช็คอินเค้าบอกว่าห้องเรามีอาหารเช้าด้วยพร้อมให้คูปองอาหารเช้ามาเลย ถือว่าโชคดีมาก พนักงานที่นี่พูดภาษาอังกฤษได้นะคะ การสื่อสารเลยไม่ลำบากเลย ออนเซ็นที่นี่สะอาดมากกกกกกก ถ้ามาแล้วต้องมาแช่กันนะคะ อ่อ แต่ว่าที่นี่เราต้องปูที่นอนเองนะคะ
หลังจากที่พักกันจนหายเหนื่อยแล้ว ก็ได้เวลากางแผนที่เที่ยวกันต่อเลย ซึ่งถ้าดูจากแผนที่แล้วโรงแรมเราอยู่ใกล้กับสะพานแดงหรือสะพานชินเคียวม๊ากกก แค่ข้ามฝั่งและเดินไปไม่ถึง 3 นาที ก็ถึง ถัดจากสะพานแดงแค่ข้ามถนนไป ก็สามารถเดินขึ้นไปโซนมรดกโลกได้เลย วันที่เราไปถึงเป็นวันอาทิตย์ก่อนหน้านี้เจ้าหน้าทีที่ขายตั๋วแนะนำว่า วันอาทิตย์ให้เที่ยวโซนมรดกโลกก่อนและวันจันทร์ค่อยขึ้นไปเที่ยวโซนน้ำตก เพราะรถจะติดมาก เนื่องจากเป็นวันที่คนญี่ปุ่นเองขับรถมาเที่ยวและรถที่นักท่องเที่ยวเช่ามาขับจึงทำให้รถเยอะเป็นพิเศษ งั้นเราไม่รอช้ามุ่งหน้าเดินกันต่อไปค่าา การเที่ยวในบริเวณโซนมรดกโลก ใช้เวลาในการเที่ยวประมาณ 3-4 ชั่วโมง ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่มันมีอะไรที่เราต้องมาสัมผัสและใช้เวลาอยู่กับมันจริง ๆ ในช่วงเดือนนี้พระอาทิตย์จะตกเร็วเป็นพิเศษนะ ประมาณ 4 โมงเย็น ฟ้าก็เริ่มมืดแล้วค่ะ
ก่อนไปชมสะพานแดง ขอเอาภาพจราจรบนท้องถนนมาช่วยยืนยัน ว่ารถติดม๊ากจริงๆค่ะ
เข้าไปสอบถามพูดคุยกันได้ที่ https://www.facebook.com/getalongwell.net/
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น