ที่มา :
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1480762937
หากมองแบบใช้มุมคิดดั้งเดิม ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ถูกแสนถูกในระดับ 40 กว่าดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลที่คงระดับนี้มานานพอสมควร น่าจะดีต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจโลก เพราะนั่นหมายถึงผู้บริโภคจะมีเงินเหลือในกระเป๋าเพื่อไปจับจ่ายใช้สอยอย่างอื่นมากขึ้น แต่หากมองอีกมุม ราคาน้ำมันต่ำยาวนานเช่นนี้กลับส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจโลก
เมื่อเร็ว ๆ นี้ ก่อนการประชุมกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ (โอเปก) ครั้งล่าสุด โกลด์แมน แซกส์ ออกรายงานระบุว่า ราคาน้ำมันที่สูงอาจส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโลกที่ซบเซาอยู่ในขณะนี้ เพราะราคาน้ำมันที่สูงจะทำให้คลื่นเงินทุนไหลเข้าสู่ประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ อย่างเช่น ซาอุดีอาระเบีย เมื่อประเทศผู้ค้าน้ำมันมีเงินมากก็จะส่งเงินออมส่วนเกินกลับไปสู่ระบบการเงินโลก (ซึ่งก็คือธนาคารต่าง ๆ)
จากนั้นธนาคารจะนำเงินไปปล่อยกู้ เมื่อตลาดมีสภาพคล่องมาก ดอกเบี้ยจะต่ำลง มูลค่าสินทรัพย์สูงขึ้น ผู้บริโภคก็จะมีความเชื่อมั่นมากขึ้น
ประเมินว่าช่วงปี 2001-2014 อันเป็นช่วงที่ราคาน้ำมันสูงมาก มีเงินออมส่วนเกินดังกล่าวนอกสหรัฐรวมกันระหว่าง 1-7 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งผลักดันให้ราคาสินทรัพย์สูงขึ้น
ข้อสรุปของ โกลด์แมน แซกส์ คล้ายกับทีมนักเศรษฐศาสตร์ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ที่เคยแสดงความเห็นไว้เมื่อต้นปีนี้ ที่ว่าข้อสันนิษฐานเดิมของไอเอ็มเอฟที่คิดว่าราคาน้ำมันต่ำจะช่วยเพิ่มการเติบโตของจีดีพี เพราะทำให้ผู้บริโภคมีเงินในกระเป๋ามากขึ้นนั้น อาจไม่เป็นอย่างที่เคยคิดไว้
แต่เดิมนักวิเคราะห์หลายคนรวมทั้งไอเอ็มเอฟเคยสันนิษฐานว่า ถึงแม้ประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่อย่างซาอุดีอาระเบียจะได้รับความเสียหายจากราคาน้ำมันต่ำ แต่ประโยชน์ที่เกิดกับประเทศผู้นำเข้าหรือบริโภคน้ำมันจะมากเพียงพอที่จะชดเชยความสูญเสียของประเทศผู้ผลิตและสุดท้ายดีต่อเศรษฐกิจโลก
อย่างไรก็ตาม ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มีแนวโน้มใหม่ที่น่าประหลาดใจเกิดขึ้น นั่นคือ ตลาดหุ้นมักเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับราคาน้ำมัน จากที่ในอดีตเราคุ้นเคยกันว่าสองอย่างนี้มักเคลื่อนไหวตรงข้ามกัน กล่าวคือ ถ้าราคาน้ำมันปรับขึ้น ตลาดหุ้นจะปรับตัวลง
สาเหตุที่ราคาน้ำมันและตลาดหุ้นเคลื่อนไหวไปในทางเดียวกัน เป็นเพราะนโยบายการเงินของธนาคารกลางทั่วโลก ในอดีตธนาคารกลางต่าง ๆ รวมทั้งสหรัฐ จะตอบสนองต่อราคาน้ำมันที่ตกต่ำด้วยการลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ปัจจุบันด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำใกล้ศูนย์ ธนาคารกลางไม่เหลือเครื่องมือทรงพลังในการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกต่อไป ขณะที่ราคาน้ำมันตกต่ำก่อให้เกิดภาวะ "เงินฝืด" ผลคือราคาสินทรัพย์ลดลง และในเมื่อไม่มีการปรับลดดอกเบี้ยเพราะไม่เหลืออะไรให้ปรับแล้วก็เท่ากับว่าอัตราดอกเบี้ยแท้จริงสูง ส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจ
ด้วยเหตุนี้ไอเอ็มเอฟจึงเห็นด้วยว่า ราคาน้ำมันที่สูงจะช่วยผลักดันให้ราคาสินทรัพย์สูงขึ้น และถ้าธนาคารกลางทั่วโลกพยายามไม่ขึ้นดอกเบี้ย อาจส่งผลบวกต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ
ที่ผ่านมาสาเหตุหนึ่งที่ราคาน้ำมันตกต่ำยาวนานมา 2 ปี โดยลดลงกว่าครึ่งนับจากกลางปี 2557 เพราะกลุ่มโอเปกไม่ยอมลดกำลังการผลิต เนื่องจากต้องการสกัดบริษัทน้ำมันสหรัฐที่ค้นพบเทคโนโลยีเจาะน้ำมันจากชั้นหินดินดาน (Shale Oil) ด้วยต้นทุนที่ถูก จนสามารถผลิตน้ำมันใช้เองจำนวนมาก โอเปกเกรงว่าหากราคาน้ำมันสูงจะกระตุ้นให้บริษัทสหรัฐผลิตน้ำมันออกมามาก
อย่างไรก็ตาม การประชุมโอเปกครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน โอเปกมีมติลดกำลังการผลิตเหลือวันละ 32.5 ล้านบาร์เรล จากเดิม 33.64 ล้านบาร์เรล หรือลดลงวันละ 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน ถือเป็นการปรับลงครั้งแรกในรอบ 8 ปี ซึ่งตลาดตอบสนองอย่างตื่นเต้น ทำให้ราคาน้ำมันดิบไลต์สวีตของสหรัฐพุ่งขึ้น 4.21 ดอลลาร์หรือ 9.3% ไปอยู่ที่ 49.44 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเบรนต์พุ่งสู่ระดับ 50.45 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 4.4 ดอลลาร์หรือ 8.8% และยังดีดส่งดัชนีดาวโจนส์ทำสถิติใหม่ที่ 19,123.58 จุด
นักวิเคราะห์คาดว่า ราคาจะขยับในช่วงขาขึ้นต่อไปสู่ระดับ 50-55 ดอลลาร์ แต่บางคนก็เชื่อว่าอาจขยับขึ้นชั่วคราวเพียงระยะสั้นอย่างจำกัด เพราะตลาดอาจระมัดระวังเนื่องจากต้องรอดูสถานการณ์ไประยะหนึ่งก่อน เพราะอาจเป็นไปได้ที่สมาชิกโอเปกบางรายอาจ "เบี้ยว" ไม่ทำตามข้อตกลง นอกจากนี้หากราคาน้ำมันสูงถึงระดับหนึ่งที่ทำให้บริษัทน้ำมันของสหรัฐถึงจุดคุ้มทุนหรือได้กำไร ก็จะผลิตน้ำมันออกมาสู่ตลาดมากเช่นเดิม
โลกต้องการ "น้ำมันแพง" "ตัวช่วย" พลิกฟื้นเศรษฐกิจ
หากมองแบบใช้มุมคิดดั้งเดิม ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ถูกแสนถูกในระดับ 40 กว่าดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลที่คงระดับนี้มานานพอสมควร น่าจะดีต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจโลก เพราะนั่นหมายถึงผู้บริโภคจะมีเงินเหลือในกระเป๋าเพื่อไปจับจ่ายใช้สอยอย่างอื่นมากขึ้น แต่หากมองอีกมุม ราคาน้ำมันต่ำยาวนานเช่นนี้กลับส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจโลก
เมื่อเร็ว ๆ นี้ ก่อนการประชุมกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ (โอเปก) ครั้งล่าสุด โกลด์แมน แซกส์ ออกรายงานระบุว่า ราคาน้ำมันที่สูงอาจส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโลกที่ซบเซาอยู่ในขณะนี้ เพราะราคาน้ำมันที่สูงจะทำให้คลื่นเงินทุนไหลเข้าสู่ประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ อย่างเช่น ซาอุดีอาระเบีย เมื่อประเทศผู้ค้าน้ำมันมีเงินมากก็จะส่งเงินออมส่วนเกินกลับไปสู่ระบบการเงินโลก (ซึ่งก็คือธนาคารต่าง ๆ)
จากนั้นธนาคารจะนำเงินไปปล่อยกู้ เมื่อตลาดมีสภาพคล่องมาก ดอกเบี้ยจะต่ำลง มูลค่าสินทรัพย์สูงขึ้น ผู้บริโภคก็จะมีความเชื่อมั่นมากขึ้น
ประเมินว่าช่วงปี 2001-2014 อันเป็นช่วงที่ราคาน้ำมันสูงมาก มีเงินออมส่วนเกินดังกล่าวนอกสหรัฐรวมกันระหว่าง 1-7 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งผลักดันให้ราคาสินทรัพย์สูงขึ้น
ข้อสรุปของ โกลด์แมน แซกส์ คล้ายกับทีมนักเศรษฐศาสตร์ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ที่เคยแสดงความเห็นไว้เมื่อต้นปีนี้ ที่ว่าข้อสันนิษฐานเดิมของไอเอ็มเอฟที่คิดว่าราคาน้ำมันต่ำจะช่วยเพิ่มการเติบโตของจีดีพี เพราะทำให้ผู้บริโภคมีเงินในกระเป๋ามากขึ้นนั้น อาจไม่เป็นอย่างที่เคยคิดไว้
แต่เดิมนักวิเคราะห์หลายคนรวมทั้งไอเอ็มเอฟเคยสันนิษฐานว่า ถึงแม้ประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่อย่างซาอุดีอาระเบียจะได้รับความเสียหายจากราคาน้ำมันต่ำ แต่ประโยชน์ที่เกิดกับประเทศผู้นำเข้าหรือบริโภคน้ำมันจะมากเพียงพอที่จะชดเชยความสูญเสียของประเทศผู้ผลิตและสุดท้ายดีต่อเศรษฐกิจโลก
อย่างไรก็ตาม ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มีแนวโน้มใหม่ที่น่าประหลาดใจเกิดขึ้น นั่นคือ ตลาดหุ้นมักเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับราคาน้ำมัน จากที่ในอดีตเราคุ้นเคยกันว่าสองอย่างนี้มักเคลื่อนไหวตรงข้ามกัน กล่าวคือ ถ้าราคาน้ำมันปรับขึ้น ตลาดหุ้นจะปรับตัวลง
สาเหตุที่ราคาน้ำมันและตลาดหุ้นเคลื่อนไหวไปในทางเดียวกัน เป็นเพราะนโยบายการเงินของธนาคารกลางทั่วโลก ในอดีตธนาคารกลางต่าง ๆ รวมทั้งสหรัฐ จะตอบสนองต่อราคาน้ำมันที่ตกต่ำด้วยการลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ปัจจุบันด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำใกล้ศูนย์ ธนาคารกลางไม่เหลือเครื่องมือทรงพลังในการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกต่อไป ขณะที่ราคาน้ำมันตกต่ำก่อให้เกิดภาวะ "เงินฝืด" ผลคือราคาสินทรัพย์ลดลง และในเมื่อไม่มีการปรับลดดอกเบี้ยเพราะไม่เหลืออะไรให้ปรับแล้วก็เท่ากับว่าอัตราดอกเบี้ยแท้จริงสูง ส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจ
ด้วยเหตุนี้ไอเอ็มเอฟจึงเห็นด้วยว่า ราคาน้ำมันที่สูงจะช่วยผลักดันให้ราคาสินทรัพย์สูงขึ้น และถ้าธนาคารกลางทั่วโลกพยายามไม่ขึ้นดอกเบี้ย อาจส่งผลบวกต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ
ที่ผ่านมาสาเหตุหนึ่งที่ราคาน้ำมันตกต่ำยาวนานมา 2 ปี โดยลดลงกว่าครึ่งนับจากกลางปี 2557 เพราะกลุ่มโอเปกไม่ยอมลดกำลังการผลิต เนื่องจากต้องการสกัดบริษัทน้ำมันสหรัฐที่ค้นพบเทคโนโลยีเจาะน้ำมันจากชั้นหินดินดาน (Shale Oil) ด้วยต้นทุนที่ถูก จนสามารถผลิตน้ำมันใช้เองจำนวนมาก โอเปกเกรงว่าหากราคาน้ำมันสูงจะกระตุ้นให้บริษัทสหรัฐผลิตน้ำมันออกมามาก
อย่างไรก็ตาม การประชุมโอเปกครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน โอเปกมีมติลดกำลังการผลิตเหลือวันละ 32.5 ล้านบาร์เรล จากเดิม 33.64 ล้านบาร์เรล หรือลดลงวันละ 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน ถือเป็นการปรับลงครั้งแรกในรอบ 8 ปี ซึ่งตลาดตอบสนองอย่างตื่นเต้น ทำให้ราคาน้ำมันดิบไลต์สวีตของสหรัฐพุ่งขึ้น 4.21 ดอลลาร์หรือ 9.3% ไปอยู่ที่ 49.44 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเบรนต์พุ่งสู่ระดับ 50.45 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 4.4 ดอลลาร์หรือ 8.8% และยังดีดส่งดัชนีดาวโจนส์ทำสถิติใหม่ที่ 19,123.58 จุด
นักวิเคราะห์คาดว่า ราคาจะขยับในช่วงขาขึ้นต่อไปสู่ระดับ 50-55 ดอลลาร์ แต่บางคนก็เชื่อว่าอาจขยับขึ้นชั่วคราวเพียงระยะสั้นอย่างจำกัด เพราะตลาดอาจระมัดระวังเนื่องจากต้องรอดูสถานการณ์ไประยะหนึ่งก่อน เพราะอาจเป็นไปได้ที่สมาชิกโอเปกบางรายอาจ "เบี้ยว" ไม่ทำตามข้อตกลง นอกจากนี้หากราคาน้ำมันสูงถึงระดับหนึ่งที่ทำให้บริษัทน้ำมันของสหรัฐถึงจุดคุ้มทุนหรือได้กำไร ก็จะผลิตน้ำมันออกมาสู่ตลาดมากเช่นเดิม