ดาวรุ่งมุ่งจัดหนัก
Intro
.
.
1 ปี 3 เดือนผ่านไปไวตดยังไม่ทันหายเหม็น สตูดิโออัลบั้มชุดที่ 3 อย่าง
Starboy ของ The Weeknd ก็ออกมาให้แฟนเพลงได้สดับฟังกันพร้อมหน้าพร้อมตา หลังจากที่ Beauty Behind The Madness ประสบความสำเร็จอย่างสูงทั้งยอดขายและรางวัล ซิงเกิ้ลไม่ว่าจะเป็น
The Hills , Can't Feel My Face , Earned It และ In The Night ถือเป็นใบเบิกทางครั้งสำคัญที่นำไปสู่การเป็นศิลปินแบบเมนสตรีมเต็มสูบก็เป็นไปได้ เมื่อต้นปีอัลบั้ม BTBM ทำให้เขากวาดรางวัลจากสถาบันต่างๆมากมาย รวมถึง Grammy Award สถาบันสูงสุดของวงการเพลง แค่นี้ก็เป็นตัวบ่งชี้ความสำเร็จและจุดสูงสุดของวงการเพลงได้ไม่มากก็น้อย ทิ้งช่วงชื่นชมความสำเร็จได้ไม่นาน ไม่รอช้าคลอดอัลบั้มใหม่ให้ได้ฟังก่อนปีใหม่ทันที ถึงผู้เขียนจะรู้สึกไม่ตื่นเต้นมากเท่าไหร่นัก เนื่องจากไวเกินไปและ Abel ยังมีผลงานไปฟีทกับชาวบ้านมาให้ฟังเรื่อยๆ แต่ด้วยอัตลักษณืของตัวศิลปินที่มักจะชอบนำเสนองานเพลงที่ออกไปในทางดาร์ค ลึกลับ มันจึงน่าพิสมัยพอที่จะทำให้เราฉงนสนเท่ห์ผลงานชุดใหม่อยู่ดี ครั้งนี้จัดหนักมาตั้ง 18 แทร็คถือว่าโหดมากๆ workaholic น่าดู ภาพรวมของงานชุดนี้แตกต่างจากสามชุดที่ผ่านมาตรงที่ ปรับความเป็นอิเล็กโทรนิกส์ให้ดูจัดจ้านขึ้น แต่ยังคงไม่ทิ้งความดาร์กอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
1
.
.
ครึ่งอัลบั้มแรกมีเพลงเด็ดๆสุมอยู่เยอะพอสมควร เปิดอัลบั้มก็มี Title Track เป็นตัวชูโรง บอกทิศทางของอัลบั้มได้อย่างชัดเจนที่สุด Abel กำลังบอกว่าชุดนี้กำลังปูทางเข้าสู่โหมด electronic แบบเต็มสูบ ซาวน์ดอิเล็กโทรสุดหวือหวาอันเป็นซิกเนเจอร์หลักของ Daft Punk ผนวกกับโทนดาร์คของเจ้าของเพลงจัดว่าลงตัวสุดๆ
Starboy จึงเป็นซิกเนเจอร์อันใหม่ของ Abel ยิ่งมีท่อนฮุก I'm motherin' Starboy เป็นวลีเด็ดติดปากด้วย Starboy ก็กลายเป็นกิตติศัพท์ประดับยศเอเบลไปโดยปริยาย
Party Monster เพลงปาร์ตี้อีดีเอ็มสไตล์เฮียสุดสัปดาห์ จะให้เป็นอีดีเอ็มทำนองสวยๆไบร์ทไซต์แบบ David Guetta หรือ Avicii มันก็ไม่ใช่ปะ มันต้องดาร์กไซต์ดิวะ เป็นแทร็คอีดีเอ็มที่เถื่อนและหลอนโคตรๆ เหมาะกับเอาไปเปิดในปาร์ตี้ฮาโลวีนกับผับที่ชอบเปิดไฟสลัวๆได้สบายๆ
False Alarm ดับเสต็บจังหวะบีบคั้นและเร่งเร้าโคตรๆ
Rockin' ก็เช่นกัน ดับเสต็บจังหวะล้ำๆซับซ้อน โคตรชอบท่อน Pre-Hook มากๆ ติดหูจริงจัง ได้ Max Martin ที่เคยร่วมงานในเพลง
Can't Feel My Face มาโปรดิวซ์ให้ด้วย ลดระดับความเถื่อนนิดนึงด้วยเพลง
Secrets มาในสไตล์ New Waves/Soul มาด้วยน้ำเสียงเข้มๆติดความเป็นคันทรี่นิดนึง ผิดกับหลายเพลงที่ผ่านมาที่มักจะใช้เสียงสู๊งงงงงงงงงงงง จัดเป็นเพลงที่มีความแตกต่างและโดดเด่นจากเพลงอื่นๆเป็นพิเศษ แถมเจ้าตัวเผยว่า เพลงนี้คือเพลงโปรดที่สุดในอัลบั้มชุดนี้ด้วย
2
.
.
ในครึ่งแรกอัลบั้มชุดนี้นอกจากจะมีเพลงจังหวะมันส์สร้างความสะใจให้แฟนเพลงแล้ว ยังมีเพลงที่เผยมุมมองส่วนตัวในเรื่องต่างๆด้วย โดยเฉพาะ
Reminder เป็นการตอกย้ำจุดยืนการทำเพลงดาร์กของตัวเอง รวมถึงการปรับความเข้าใจใหม่ให้กับแฟนเพลงที่มักจะเข้าใจผิดว่า เพลง Can't Feel My Face เป็นเพลงรัก จนได้รางวัลเพลงป็อบยอดเยี่ยมจาก Teen Choice Award แต่อันที่จริงแล้วมันเป็นเพลงที่เกี่ยวกับพี้โคเคนตั้งหาก โคตรชอบเฮียสุดสัปดาห์เข้าใช้เพลงเป็นเครื่องมือสื่อสารในการเปิดอกคุยเนี่ยแหละ มันเลยทำให้เพลงจังหวะธรรมดาอย่างเพลงนี้กลายเป็นเพลงที่ไม่ธรรมดา แทร็คนี้ถูกชะตาอย่างแรง เบรคความจัดจ้านไว้ที่เพลง
True Colors เพลงจังหวะช้าๆ แต่บรรยากาศดูไม่ชอบมาพากลอยู่ดี เป็นการเรียนรู้ดูใจหญิงว่าที่จริงแล้วเธอผู้นั้นต้องการอะไรจากเขากันแน่
Sidewalk แร็พเคล้าริฟกีตาร์เท่ห์ๆ พูดถึงชีวิตอันยากลำบากในวัยเยาว์ก่อนที่จะโด่งดังถึงทุกวันนี้ อันนี้โคตรน่าสนใจ ได้เคนดริกมาร่วมงานด้วย ชอบตรงที่ทั้งสองมันมีสตอรี่คล้ายๆกัน คนนึงอยู่ Scarborough, Ontario แคนาดา คนนึงอยู่คอมป์ตัน ซึ่งเมืองเกิดของทั้งคู่ล้วนเป็นเมืองที่มีการก่ออาชญากรอันดับต้นๆของโลก ถือเป็นแทร็คที่เด็ดดวง ไม่ควรพลาดเช่นกัน ทั้งนี้เฮียสุดสัปดาห์ก็ไม่ลืมที่จะชวน
Lana Del Rey ขั้วแม่เหล็กคนสำคัญเลยก็ว่าได้ มาร่วมแจมเป็นครั้งที่สองในเพลงสั้นๆ
Stargirl (Interlude) เป็นการเติมมุมมองผู้หญิงเพิ่มมิติที่แตกต่างออกไป ผมเชื่อว่านี่เป็นการทิ้งจิ๊กซอว์ไว้ให้ติดตามกันต่อไปในภายภาคหน้า ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่า ทั้งคู่อาจได้ร่วมงานกันอีก เพราะเฮียสุดสัปดาห์เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า เพลงของเขากับเพลงของเจ๊ลานนาเหมือนกำลังสื่อสารบางสิ่งบางอย่างร่วมกัน ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องจริงครับ เธอผู้นี้แหละเป็นผู้หญิงที่เหมาะสมที่สุดจะไปอยู่ในเพลงของ The Weeknd เคมีเข้ากันจริงๆ

3
.
.
ครึ่งหลังอัลบั้ม ดูกลวงไปนิดนึง เหมือนหมดมุขจะนำเสนอ ประเด็นที่นำเสนอออกแนวจำเจ รู้สึกเฉยมากๆ มีเพลงที่น่าสนใจแค่ 3-4 เพลง อาทิเช่น
Ordinary Life บีทจังหวะกลางๆที่พูดถึงการพยายามในการละทิ้งไลฟสไตล์ที่เต็มไปด้วยอบายมุขของตัวเอง
All I Know ท่อนโหยหวนเปิดเพลงทำให้นึกถึง
The Zone อยู่ไม่น้อย หนักๆหลอนๆ ว่าด้วยความพยายามรักผู้หญิงคนนึง แต่เธอคนนั้นกลับไม่ไว้ใจในตัวเขา เพราะเขาเป็นแบดบอย ได้ Future มาร่วมแชร์ประสบการณ์จริง หลังเลิกกับเมียเก่า Ciara ก็ไม่มีหญิงคนไหนกล้าสานสัมพันธ์กับเฮียอนาคตอีกต่อไป
Die For You เพลงอกหักของจริง เจ็บจริง เป็นเพลงที่แต่งเสร็จเป็นเพลงสุดท้าย หนึ่งสัปดาห์ก่อนวางแผงอัลบั้ม ซึ่งนั่นมีความเป็นไปได้ว่าเพลงนี้แต่งให้กับ
Bella Hadid ที่เพิ่งเลิกราก่อนอัลบั้มจะวางแผงเสียด้วย เป็นเพลงอกหักที่กระชากอารมณ์ สมกับชื่อยอมตายเพื่อเธอเลยทีเดียว ปิดท้ายอัลบั้มด้วยอีกหนึ่งงานฟีทกับ Daft Punk อย่าง
I Feel It Coming ว่าที่ซิงเกิ้ลถัดไป เป็นเพลงโทนสว่างที่สุดในชุดนี้ที่ผมชอบมากๆ กรูฟเพลงโคตรเท่ห์ เมโลดี้สวย เป็นมิตรกับวิทยุมากกว่าหลายเพลงที่ผ่านมา เนื้อหาออกแนวไม่อยากจะจบกับเธอแค่ One Night Stand อยากสานสัมพันธ์ยาวขึ้น แต่ยังไม่ทิ้งลายสองแง่สามง่ามตามสไตล์พ่อหนุ่มด้านมืดคนนี้
Outro
.
.
18 Tracks จัดว่าเยอะ สะใจแฟนเพลง แต่ก็เหน็ดเหนื่อยที่จะฟังครบทุกแทร็ค เป็นจุดอ่อนที่ The Weeknd นั้นพลาดในงานชุดนี้ สองงานก่อนหน้านั้นอย่าง Kiss Land และ BTBM จำนวนแทร็คพอดี ภาคดนตรีกลมกล่อมมากกว่า ซึ่งมันทำให้เรานั้นฟังได้ตลอดรอดฝั่งทั้งอัลบั้ม ในขณะที่ Starboy ช่วงครึ่งแรกใส่ทีเด็ดไว้เยอะพอแล้ว ทั้งภาคดนตรีก็ดี บีทก็แปลกใหม่ เนื้อหาก็น่าสนใจ พอมาถึงครึ่งหลังเลยกลับตัน ธรรมดาเหมือนเส้นตรง ให้อารมณ์ยัดๆไปให้เต็ม ขาดความน่าสนใจทันที แทร็คที่น่าสนใจมีส่วนน้อยมากในครึ่งหลัง เลยทำให้ขาดน้ำหนักความเป็น Starboy ไปเยอะ การปล่อยผลงานที่ถี่จนเกินไปน่าจะเป็นส่วนนึงที่ทำให้ไม่ได้มีเวลามากพอในการไตร่ตรองที่จะเพิ่มหรือตัดบางเพลงออก เพื่อให้เกิดความกลมกล่อมทางผลงาน ผลลัพธ์ที่ได้คือความเลี่ยนที่เกินความจำเป็น
การทิ้งช่วงแค่ 1 ปีจึงนับว่าเร็วเกินไปที่จะบ่มเพาะสิ่งทีใช่ใส่ในผลงาน
Top Tracks : Sidewalk , Secrets , I Feel It Coming , Starboy , Reminder , Rockin' , Party Monster, All I Know
Give 7/10
ฝากเพจรีวิวเพลงด้วยครับ >>>
https://www.facebook.com/fungpaifungma/?fref=nf
[CR] [รีวิวอัลบั้ม] Starboy - The Weeknd
Intro
.
.
1 ปี 3 เดือนผ่านไปไวตดยังไม่ทันหายเหม็น สตูดิโออัลบั้มชุดที่ 3 อย่าง Starboy ของ The Weeknd ก็ออกมาให้แฟนเพลงได้สดับฟังกันพร้อมหน้าพร้อมตา หลังจากที่ Beauty Behind The Madness ประสบความสำเร็จอย่างสูงทั้งยอดขายและรางวัล ซิงเกิ้ลไม่ว่าจะเป็น The Hills , Can't Feel My Face , Earned It และ In The Night ถือเป็นใบเบิกทางครั้งสำคัญที่นำไปสู่การเป็นศิลปินแบบเมนสตรีมเต็มสูบก็เป็นไปได้ เมื่อต้นปีอัลบั้ม BTBM ทำให้เขากวาดรางวัลจากสถาบันต่างๆมากมาย รวมถึง Grammy Award สถาบันสูงสุดของวงการเพลง แค่นี้ก็เป็นตัวบ่งชี้ความสำเร็จและจุดสูงสุดของวงการเพลงได้ไม่มากก็น้อย ทิ้งช่วงชื่นชมความสำเร็จได้ไม่นาน ไม่รอช้าคลอดอัลบั้มใหม่ให้ได้ฟังก่อนปีใหม่ทันที ถึงผู้เขียนจะรู้สึกไม่ตื่นเต้นมากเท่าไหร่นัก เนื่องจากไวเกินไปและ Abel ยังมีผลงานไปฟีทกับชาวบ้านมาให้ฟังเรื่อยๆ แต่ด้วยอัตลักษณืของตัวศิลปินที่มักจะชอบนำเสนองานเพลงที่ออกไปในทางดาร์ค ลึกลับ มันจึงน่าพิสมัยพอที่จะทำให้เราฉงนสนเท่ห์ผลงานชุดใหม่อยู่ดี ครั้งนี้จัดหนักมาตั้ง 18 แทร็คถือว่าโหดมากๆ workaholic น่าดู ภาพรวมของงานชุดนี้แตกต่างจากสามชุดที่ผ่านมาตรงที่ ปรับความเป็นอิเล็กโทรนิกส์ให้ดูจัดจ้านขึ้น แต่ยังคงไม่ทิ้งความดาร์กอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
1
.
.
ครึ่งอัลบั้มแรกมีเพลงเด็ดๆสุมอยู่เยอะพอสมควร เปิดอัลบั้มก็มี Title Track เป็นตัวชูโรง บอกทิศทางของอัลบั้มได้อย่างชัดเจนที่สุด Abel กำลังบอกว่าชุดนี้กำลังปูทางเข้าสู่โหมด electronic แบบเต็มสูบ ซาวน์ดอิเล็กโทรสุดหวือหวาอันเป็นซิกเนเจอร์หลักของ Daft Punk ผนวกกับโทนดาร์คของเจ้าของเพลงจัดว่าลงตัวสุดๆ Starboy จึงเป็นซิกเนเจอร์อันใหม่ของ Abel ยิ่งมีท่อนฮุก I'm motherin' Starboy เป็นวลีเด็ดติดปากด้วย Starboy ก็กลายเป็นกิตติศัพท์ประดับยศเอเบลไปโดยปริยาย Party Monster เพลงปาร์ตี้อีดีเอ็มสไตล์เฮียสุดสัปดาห์ จะให้เป็นอีดีเอ็มทำนองสวยๆไบร์ทไซต์แบบ David Guetta หรือ Avicii มันก็ไม่ใช่ปะ มันต้องดาร์กไซต์ดิวะ เป็นแทร็คอีดีเอ็มที่เถื่อนและหลอนโคตรๆ เหมาะกับเอาไปเปิดในปาร์ตี้ฮาโลวีนกับผับที่ชอบเปิดไฟสลัวๆได้สบายๆ False Alarm ดับเสต็บจังหวะบีบคั้นและเร่งเร้าโคตรๆ Rockin' ก็เช่นกัน ดับเสต็บจังหวะล้ำๆซับซ้อน โคตรชอบท่อน Pre-Hook มากๆ ติดหูจริงจัง ได้ Max Martin ที่เคยร่วมงานในเพลง Can't Feel My Face มาโปรดิวซ์ให้ด้วย ลดระดับความเถื่อนนิดนึงด้วยเพลง Secrets มาในสไตล์ New Waves/Soul มาด้วยน้ำเสียงเข้มๆติดความเป็นคันทรี่นิดนึง ผิดกับหลายเพลงที่ผ่านมาที่มักจะใช้เสียงสู๊งงงงงงงงงงงง จัดเป็นเพลงที่มีความแตกต่างและโดดเด่นจากเพลงอื่นๆเป็นพิเศษ แถมเจ้าตัวเผยว่า เพลงนี้คือเพลงโปรดที่สุดในอัลบั้มชุดนี้ด้วย
2
.
.
ในครึ่งแรกอัลบั้มชุดนี้นอกจากจะมีเพลงจังหวะมันส์สร้างความสะใจให้แฟนเพลงแล้ว ยังมีเพลงที่เผยมุมมองส่วนตัวในเรื่องต่างๆด้วย โดยเฉพาะ Reminder เป็นการตอกย้ำจุดยืนการทำเพลงดาร์กของตัวเอง รวมถึงการปรับความเข้าใจใหม่ให้กับแฟนเพลงที่มักจะเข้าใจผิดว่า เพลง Can't Feel My Face เป็นเพลงรัก จนได้รางวัลเพลงป็อบยอดเยี่ยมจาก Teen Choice Award แต่อันที่จริงแล้วมันเป็นเพลงที่เกี่ยวกับพี้โคเคนตั้งหาก โคตรชอบเฮียสุดสัปดาห์เข้าใช้เพลงเป็นเครื่องมือสื่อสารในการเปิดอกคุยเนี่ยแหละ มันเลยทำให้เพลงจังหวะธรรมดาอย่างเพลงนี้กลายเป็นเพลงที่ไม่ธรรมดา แทร็คนี้ถูกชะตาอย่างแรง เบรคความจัดจ้านไว้ที่เพลง True Colors เพลงจังหวะช้าๆ แต่บรรยากาศดูไม่ชอบมาพากลอยู่ดี เป็นการเรียนรู้ดูใจหญิงว่าที่จริงแล้วเธอผู้นั้นต้องการอะไรจากเขากันแน่ Sidewalk แร็พเคล้าริฟกีตาร์เท่ห์ๆ พูดถึงชีวิตอันยากลำบากในวัยเยาว์ก่อนที่จะโด่งดังถึงทุกวันนี้ อันนี้โคตรน่าสนใจ ได้เคนดริกมาร่วมงานด้วย ชอบตรงที่ทั้งสองมันมีสตอรี่คล้ายๆกัน คนนึงอยู่ Scarborough, Ontario แคนาดา คนนึงอยู่คอมป์ตัน ซึ่งเมืองเกิดของทั้งคู่ล้วนเป็นเมืองที่มีการก่ออาชญากรอันดับต้นๆของโลก ถือเป็นแทร็คที่เด็ดดวง ไม่ควรพลาดเช่นกัน ทั้งนี้เฮียสุดสัปดาห์ก็ไม่ลืมที่จะชวน Lana Del Rey ขั้วแม่เหล็กคนสำคัญเลยก็ว่าได้ มาร่วมแจมเป็นครั้งที่สองในเพลงสั้นๆ Stargirl (Interlude) เป็นการเติมมุมมองผู้หญิงเพิ่มมิติที่แตกต่างออกไป ผมเชื่อว่านี่เป็นการทิ้งจิ๊กซอว์ไว้ให้ติดตามกันต่อไปในภายภาคหน้า ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่า ทั้งคู่อาจได้ร่วมงานกันอีก เพราะเฮียสุดสัปดาห์เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า เพลงของเขากับเพลงของเจ๊ลานนาเหมือนกำลังสื่อสารบางสิ่งบางอย่างร่วมกัน ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องจริงครับ เธอผู้นี้แหละเป็นผู้หญิงที่เหมาะสมที่สุดจะไปอยู่ในเพลงของ The Weeknd เคมีเข้ากันจริงๆ
3
.
.
ครึ่งหลังอัลบั้ม ดูกลวงไปนิดนึง เหมือนหมดมุขจะนำเสนอ ประเด็นที่นำเสนอออกแนวจำเจ รู้สึกเฉยมากๆ มีเพลงที่น่าสนใจแค่ 3-4 เพลง อาทิเช่น Ordinary Life บีทจังหวะกลางๆที่พูดถึงการพยายามในการละทิ้งไลฟสไตล์ที่เต็มไปด้วยอบายมุขของตัวเอง All I Know ท่อนโหยหวนเปิดเพลงทำให้นึกถึง The Zone อยู่ไม่น้อย หนักๆหลอนๆ ว่าด้วยความพยายามรักผู้หญิงคนนึง แต่เธอคนนั้นกลับไม่ไว้ใจในตัวเขา เพราะเขาเป็นแบดบอย ได้ Future มาร่วมแชร์ประสบการณ์จริง หลังเลิกกับเมียเก่า Ciara ก็ไม่มีหญิงคนไหนกล้าสานสัมพันธ์กับเฮียอนาคตอีกต่อไป Die For You เพลงอกหักของจริง เจ็บจริง เป็นเพลงที่แต่งเสร็จเป็นเพลงสุดท้าย หนึ่งสัปดาห์ก่อนวางแผงอัลบั้ม ซึ่งนั่นมีความเป็นไปได้ว่าเพลงนี้แต่งให้กับ Bella Hadid ที่เพิ่งเลิกราก่อนอัลบั้มจะวางแผงเสียด้วย เป็นเพลงอกหักที่กระชากอารมณ์ สมกับชื่อยอมตายเพื่อเธอเลยทีเดียว ปิดท้ายอัลบั้มด้วยอีกหนึ่งงานฟีทกับ Daft Punk อย่าง I Feel It Coming ว่าที่ซิงเกิ้ลถัดไป เป็นเพลงโทนสว่างที่สุดในชุดนี้ที่ผมชอบมากๆ กรูฟเพลงโคตรเท่ห์ เมโลดี้สวย เป็นมิตรกับวิทยุมากกว่าหลายเพลงที่ผ่านมา เนื้อหาออกแนวไม่อยากจะจบกับเธอแค่ One Night Stand อยากสานสัมพันธ์ยาวขึ้น แต่ยังไม่ทิ้งลายสองแง่สามง่ามตามสไตล์พ่อหนุ่มด้านมืดคนนี้
Outro
.
.
18 Tracks จัดว่าเยอะ สะใจแฟนเพลง แต่ก็เหน็ดเหนื่อยที่จะฟังครบทุกแทร็ค เป็นจุดอ่อนที่ The Weeknd นั้นพลาดในงานชุดนี้ สองงานก่อนหน้านั้นอย่าง Kiss Land และ BTBM จำนวนแทร็คพอดี ภาคดนตรีกลมกล่อมมากกว่า ซึ่งมันทำให้เรานั้นฟังได้ตลอดรอดฝั่งทั้งอัลบั้ม ในขณะที่ Starboy ช่วงครึ่งแรกใส่ทีเด็ดไว้เยอะพอแล้ว ทั้งภาคดนตรีก็ดี บีทก็แปลกใหม่ เนื้อหาก็น่าสนใจ พอมาถึงครึ่งหลังเลยกลับตัน ธรรมดาเหมือนเส้นตรง ให้อารมณ์ยัดๆไปให้เต็ม ขาดความน่าสนใจทันที แทร็คที่น่าสนใจมีส่วนน้อยมากในครึ่งหลัง เลยทำให้ขาดน้ำหนักความเป็น Starboy ไปเยอะ การปล่อยผลงานที่ถี่จนเกินไปน่าจะเป็นส่วนนึงที่ทำให้ไม่ได้มีเวลามากพอในการไตร่ตรองที่จะเพิ่มหรือตัดบางเพลงออก เพื่อให้เกิดความกลมกล่อมทางผลงาน ผลลัพธ์ที่ได้คือความเลี่ยนที่เกินความจำเป็น
Top Tracks : Sidewalk , Secrets , I Feel It Coming , Starboy , Reminder , Rockin' , Party Monster, All I Know
Give 7/10
ฝากเพจรีวิวเพลงด้วยครับ >>> https://www.facebook.com/fungpaifungma/?fref=nf