รีวิวอัลบั้ม Coldplay - A Head Full of Dream คลี่คลายจากความเศร้า แล้วเคล้าไปกับซาวนด์ฟรุ้งฟริ้ง

กระทู้สนทนา


(หมายเหตุ: คะแนนที่ให้กับความชอบส่วนตัวอาจจะสวนทางกัน เพราะให้คะแนนตามพัฒนาการทางดนตรี จึงไม่นำมาปะปนกับความชอบ)

งานเพลงลำดับที่ 7 ของ Coldplay ที่คริส มาร์ตินนักร้องนำให้คำนิยามไว้ว่าเปรียบเสมือนหนังสือเล่มสุดท้ายของนิยายชุดแฮรี่ พอตเตอร์ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ นี่อาจเป็นอัลบั้มสุดท้ายของวง ประโยคนี้ทำเอาแฟนเพลงบางกลุ่มตกอกตกใจ แต่หากแฟนพันธ์แท้ที่ฟังผลงานของทางวงมานานก็คงรู้ว่าตาคริสปากเปราะแบบนี้เกือบทุกอัลบั้ม

คอนเซปต์ของอัลบั้มชุดนี้คือ "จากที่มืดสู่แสงสว่าง" จากอัลบั้มที่แล้วที่พาเราดาร์กดำดิ่งลงไปสู่ห้วงลึกของความรู้สึกโหยหาคนรักเก่า ก็ได้เวลาหวนกลับมาโจนทะยานโลดแล่นไปกับจังหวะที่จะทำให้เลือดในกายของเหล่าแฟนเพลงดิ้นพล่านอีกครั้ง ส่วนตัวแล้วมองว่าอัลบั้มชุดนี้เป็นส่วนผสมที่ยังไม่ลงตัวระหว่างชุดที่ห้า Mylo Xyloto กับชุดที่หก Ghost Stories คือมีทั้งเพลงในแบบ World Music, เพลงบัลลาดที่หวนให้คิดถึงคนรักเก่า และเพลงให้กำลังใจในแบบ Coldplay

การเรียงลำดับเพลงในลิสต์ยังไม่เป็นเอกภาพนัก หากฟังต่อเนื่องแบบ track-by-track จะรู้สึกว่าสะดุด ไม่ราบเรียบไร้รอยต่อเหมือนอย่างสองชุดหลังที่ผ่านมา ไม่รู้ว่าเพราะเพลงส่วนใหญ่ในชุดนี้เขียนขึ้นระหว่างการโปรโมทอัลบั้มที่แล้วรึเปล่าถึงทำให้รู้สึกว่าแนวเพลงเริ่มขาดความสดใหม่ มันไม่มีอะไรที่ชวนว้าว แน่ล่ะว่ามันคืออัลบั้มที่ทางวงทุ่มฝีมือกันอย่างเต็มที่ โดยหมายมั่นจะให้เป็นอัลบั้มปิดฉากที่สมบูรณ์แบบ แต่น่าเสียดายที่ความแรงของอัลบั้มนี้ยังส่งผลไม่เพียงพอที่จะกระเถิบเข้าใกล้เป้าหมายดังกล่าวได้

เพลงส่วนใหญ่ในอัลบั้มนี้ ผมได้ฟังเวอร์ชัน Live ก่อนเวอร์ชันสตูดิโอและรู้สึกตื่นตาตื่นใจอย่างมาก เพราะมันเพราะพริ้งดิ่งเวหาเสียเหลือเกิน แต่ทว่า ผมกลับลืมไปว่าวงนี้เล่นสดมันกว่าในสตูดิโอเสียอีก ฉะนั้น ความคาดหวังเมื่อได้ฟังทั้งชุดจึงลดหลั่นไปตามลำดับ


1. A Head Full of Dreams
ครั้งแรกที่ฟังเวอร์ชัน Live ของเพลงนี้ ริฟท์กีตาร์ของจอห์นนี่ทำให้ผมนึกถึง The Edge ของวง U2 อย่างเสียไม่ได้ และถ้าจะว่ากันตามตรง หากตัดเสียงตาคริสออกแล้วใส่เสียงบาโน่เข้าไป มันก็คือเพลงในแบบ U2 ดี ๆ นี่เอง ผมแอบรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เพราะเพลงเปิดอัลบั้มของ Coldplay แทบทุกชุดทำออกมาได้อลังการชวนให้ติดตามจนอยากฟังแทร็คต่อ ๆ ไป นี่จึงจัดได้ว่าเป็นเพลงเปิดอัลบั้มที่ไม่น่าประทับใจเท่าใดนัก
★★


2. Birds
แทร็คนี้มีการปรับบีทให้เร็วยิ่งขึ้น ให้จังหวะสนุกสนานคลอเสียงกีตาร์ลอยฟรุ้งฟริ้งคล้ายจะทะยานไปในอากาศดั่งชื่อเพลง ฟังแล้วนึกถึงตัวเองเป็นนกที่โผทะยานเหนือทุ่งหญ้า มีฉากหลังเป็นท้องฟ้าที่แต่งแต้มไปด้วยภาพสะท้อนแบบ Kaleidoscope จังหวะเดินเร็วแบบฉับ ๆ ทำให้นึกถึงแทร็ค "Hurt Like Heaven" จากชุด Mylo Xyloto อย่างเสียไม่ได้ หากแต่ใช้มุกตัดบทเพื่อเปลี่ยนจังหวะไปยังเพลงถัดไปได้ไม่เนียนนัก
★★★


3. Hymn for the Weekend

Drink from me, drink from me
Then we'll shoot across the sky


ท่อนอินโทรเปิดเพลงด้วยเสียงอันทรงเสน่ห์ของบียอนเซ่ ฟังดูราวกับการฟีเจอริ่งเพลงป็อปอันดาษดื่น แต่เมื่อเสียงเปียโนดังระรัวขึ้นพร้อมท่อน Verse ของตาคริส เราก็รู้ได้ในทันทีว่านี่ต้องไม่ใช่เพลงป็อปธรรมดาเป็นแน่ และแล้วก็เป็นเช่นดังคาด เสียงร้องแบบ falsetto สลับเสียงโทนต่ำของคริสทำให้เพลงติดหูและดึงดูดใจในทันที ยิ่งกว่านั้น เสียงของบียอนเซ่ก็ช่วยเพิ่มมิติความลึกให้กับแทร็คนี้อย่างเห็นได้ชัด

คริสตั้งใจให้แทร็คนี้เป็น Night Club Song ซึ่งผมถือว่าเค้าตีโจทย์แตก มันน่าจะเป็นเพลงที่ฉูดฉาดที่สุดของทางวงเลยก็ว่าได้ เพลงนี้ผมถือว่าทำได้ดีในระดับเดียวกับ "Princess of China" ที่วง Duet กับริฮานน่าเลยทีเดียว
★★★★


4. Everglow
ชื่อเพลงมีที่มาจากคำพูดที่เขาได้ยินจากนักเซิร์ฟบอร์ด "Yo dude, I was doing this thing the other day man, it gave me this total everglow!"

นี่เป็นหนึ่งในเพลงช้าที่ดีที่สุดของ Coldplay ผมให้เป็นรองเพียง "The Scientist" เท่านั้น ท่อนเปียโนให้ความรู้สึกโหยหาอย่างน่าประหลาด ซึ่งหากเช็คในเครดิตเพลงก็จะเห็นชื่อของ Gwyneth Paltrow อดีตศรีภรรยาของคริส มาช่วยร้องแบ็คอัพให้ด้วย เพียงแต่ผู้ฟังต้องใช้ความสังเกตอย่างมากจึงจะได้ยิน

so if you love someone, you should let them know
oh the light that you left me will everglow


everglow ในบริบทนี้น่าจะหมายถึง การประทับอยู่ในหัวใจของใครบางคน ประมาณว่าเธอจะสถิต (ส่องสว่าง) อยู่ในใจฉันไปชั่วนิรันดร์ คริสยังคงเขียนเพลงรำลึกถึงคนรักเก่าซึ่งเป็นควันหลงจากชุดที่แล้ว จากเนื้อหา เราจะเห็นว่าคริสดีขึ้นแล้วและพร้อมที่จะเดินหน้าต่อไป ขณะที่ฟัง ผมนึกถึงคำพูดที่ว่า "รักมากจนยอมปล่อยให้เขาคนนั้นเดินไปตามวิถีของตนเองได้" ซึ่งเป็นนิมิตหมายที่ดีของการก้าวข้ามอดีตและการเริ่มต้นใหม่ ขณะที่ท่อนเปียโนปลอบประโลมจิตวิญญาณ เสียงกีตาร์กังวานของจอห์นนี่ก็บาดลึกเสียดเข้าไปในหัวใจให้รู้สึกเคว้งคว้างไประยะหนึ่งเหมือนกัน

และท่อนหนึ่งของเพลงที่เป็นการบรรยายถึงฉากการตกลงใจที่จะจากลาของคู่ก็ทำให้ผมรู้สึกอินตามไปด้วย

and we swore on that night we’d be friends til we die
but the changing of winds, and the way waters flow


(ป.ล. แอบสงสัยว่าทำไมทางวงถึงไม่ตัดเพลงนี้ออกเป็นซิงเกิลแบบ Official เสียที รออยู่นานแล้ว)
★★★★


5. Adventure of a Lifetime
แทร็คป็อปเต้นรำที่มาพร้อมซาวนด์เอฟเฟกต์ที่รกรุงรังน่ารำคาญ แม้จะมีริพท์กีตาร์ที่ฟังติดหู แต่กลับต้องมาแชร์ความเด่นในส่วนนี้กับซาวนด์เอฟเฟกต์ และที่แย่ที่สุดคือริฟท์กีตาร์บางท่อนกลับทำให้นึกถึง Daft Punk ไปซะฉิบ

เพลงนี้ทางวงน่าจะหมายมั่นให้เป็น Arena Anthem ที่เปิดศักราชใหม่ให้กับอัลบั้ม เช่นเดียวกับที่ "Viva la Vida" หรือ "Paradise" เคยทำได้ แต่น่าเสียดายที่มันยังไม่สามารถพีคไปจนถึงจุดนั้น
★★


6. Fun (featuring Tove Lo)
แทร็คนี้มีส่วนผสมจากอัลบั้มชุดที่แล้ว ซึ่งให้ความรู้สึกล่องลอยในแบบ Ambient แทร็คนี้ถือเป็น Divorce Song ที่พูดถึงการจากลาแต่ยังเหลือเยื่อใย และเสียงขับร้องที่เสริมเข้ามาของ Tove Lo นักร้องสาวชาวสวีเดน ยังช่วยให้รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่งดงามด้วยท่อนที่ว่า "Didn't we have fun? Don't say it's all a waste." ส่วนตัวแล้วรู้สึกว่าเพลงนี้ทำออกมาได้กลมกล่อมกว่า Everglow เสียอีก
★★★★


7. Kaleidoscope
แทร็คนี้ให้ความรู้สึกเหมือนกับ Interlude แถมที่คั่นเข้ามา โดยมีอินโทรนำด้วยเสียงเปียโนคลอกับเสียงโอบามาอ่านบทกวี "The Guesthouse" ของ Jellaludin "Mawlana" Rumi ไปจนจบ โดยส่วนตัวแล้วนี่เป็นแทร็คที่ไม่น่าจดจำอะไร เหมือนเป็นส่วนเกินที่ใส่เข้ามา ถึงไม่มีแทร็คนี้ก็ไม่ส่งผลต่อภาพรวมของอัลบั้ม



8. Army of One ("X Marks the Spot")
เพลงป็อปที่มิติทางดนตรีแบนราบ เสียงสังเคราะห์ "ดูวิบ ๆ ๆ" ที่คลอตลอดทั้งเพลงน่ารำคาญมาก ส่วนที่น่าจดจำมีเพียงโทนเสียงเอี้อนสูงแบบ Falsetto อันเป็นเอกลักษณ์ของคริส มาร์ตินเท่านั้น ไป ๆ มา ๆ “X Marks the Spot” ที่เป็น hidden track ยังฟังสนุกกว่าเพลงหลักเสียอีก
★★


9. Amazing Day

Can the Birds in poetry chime?
can there be breaks in the chaos sometimes?


เมโลดี้ที่หวานหยดย้อย ราวกับแฝดคนละฝากับเพลง "True Love" จาก Ghost Stories แต่ส่วนที่เพิ่มเติมเข้ามาคือเนื้อเพลงที่งดงามดั่งบทกวีที่ย้อนรำลึกถึงเรื่องราวดี ๆ ในวันวาน เป็นที่น่าสังเกตว่า "Bird" ดูจะเป็นสัตว์ที่พูดถึงบ่อยในเนื้อเพลงของ Coldplay อย่างมีนัยสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น "Up with the Birds", "Speed of Sound", "Bird" ฯลฯ ซึ่งไม่ทราบว่าตาคริสแกพิสมัยอะไรในสัตว์ประเภทนี้นัก

เพลงนี้แม้จะเพราะหยาดเยิ้มสักเพียงใด แต่ทว่าฟังบ่อยมากนักไม่ได้ เพราะส่วนตัวรู้สึกว่านี่เป็นเพลงโลกสวยที่ทะลึ่งเคลือบน้ำตาลซ้ำอีก เลี่ยนแย่เลย
★★★


10. Colour Spectrum
ดนตรีบรรเลง ไม่มีส่วนให้พูดถึงมากนัก


11. Up & Up
เพลงให้กำลังใจตามแบบฉบับของ Coldplay ที่คริสถึงกับบอกด้วยความภาคภูมิใจว่า นี่เป็นเพลงในแบบที่เรารอคอยมานานกว่า 15 ปีจึงจะแต่งได้

ขนาดนั่นเลย?

มาดูกัน

ด้านเนื้อเพลง อ่านแล้วรู้สึกว่าพรรณนาออกมาได้สวยมาก แต่ในส่วนของภาคดนตรี ยอมรับว่าผิดหวัง มันไม่มีตรงไหนเลยที่ปังนอกจากท่อนโซโล่กีตาร์ที่ฟีเจอริ่งกับโนล อดีตร็อคเกอร์แห่งวงโอเอซิส แม้จะรู้สึกประทับใจกับเทคนิคกีตาร์ของจอห์นนี่ที่แพรวพราวขึ้น แต่ก็นับได้ว่านี่เป็นแทร็คปิดอัลบั้มที่น่าผิดหวังเสียจริง ๆ

ยิ่งกว่านั้น ความสร้างสรรค์ของ MV ยังเด่นมากจนกลบตัวเพลงเสียอีก
★★★


คะแนนทั้งอัลบั้ม: 3/5
ส่วนตัวแล้ว จากที่ฟังวนหลายรอบ ยังเห็นว่าไม่มีเพลงไหนที่พีคเหมือนสามชุดหลัง (Viva la vida, Paradise, Sky full of Star) เลย

รีวิวโดย: Mr.Blue
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่