สวัสดีสาวๆ ทั้งชาวจิ้นและไม่จิ้นค่ะ ทราบกันหรือไม่คะว่า
มะเร็งปากมดลูก เป็นสาเหตุการตายอันดับหนึ่งของผู้หญิงไทย พบในช่วงอายุ 30-70 ปี (พบมากที่สุดในช่วงอายุ 45-55 ปี) ซึ่งส่วนใหญ่มาพบแพทย์เมื่อเป็นมะเร็งระยะลุกลามแล้ว การรักษาเป็นไปได้ยาก ผู้ป่วยมีความทุกข์ทรมาน และมักจะเสียชีวิตจากภาวะแทรกซ้อนจากการรักษา
ผู้ป่วยที่อยู่ระหว่างการรักษามักจะมีปัญหาตามมามากมาย เช่น สภาพร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไป ขาดความเข้าใจของสามีและมักจะมีปัญหาครอบครัว มีผลกระทบด้านการเงิน เพราะไม่สามารถทำงานได้ ค่าใช้จ่ายในการรักษาสูง
รายละเอียดของโรคมะเร็งปากมดลูก ขออนุญาตลงลิ้งของเพจหมอแล็บแพนด้า ให้ได้อ่านกันนะคะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://www.facebook.com/pg/MTlikesara/photos/?tab=album&album_id=547069895499199
สาวๆ ที่ไม่จิ้นทั้งหลาย
แม้จะฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกกันแล้ว ซาร่าก็ยังแนะนำให้ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกกันเป็นประจำนะคะ
วิธีการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกมีกี่แบบ?

การตรวจทางเซลล์วิทยา (Pap Test) มีอยู่ 2 วิธี ได้แก่
1) การตรวจแป๊ปสเมียร์ (Conventional Pap Smear) เป็นการตรวจสอบเซลล์บริเวณปากมดลูกเพื่อหาเซลล์ที่ผิดปกติหรือมีการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ว่าจะกลายไปเป็นเซลล์มะเร็งหรือไม่ โดยแพทย์จะใช้ไม้พายหรือไม้กวาดเล็กๆ เก็บเซลล์บริเวณปากมดลูก จากนั้นป้ายลงบนกระจกแก้ว แล้วนำไปย้อมน้ำยาและตรวจดูด้วยกล้องจุลทรรศน์
2) การตรวจวิธีเซลล์วิทยาอิงของเหลว (Liquid Based Cytology - LBC) เป็นการตรวจสอบเซลล์บริเวณปากมดลูก เพื่อหาเซลล์ที่ผิดปกติ โดยแพทย์จะเก็บเซลล์บริเวณปากมดลูกใส่ลงในน้ำยา รักษาสภาพเซลล์แล้วนำเข้าสู่ขบวนการเตรียมเซลล์บนกระจกแก้ว

การตรวจหาเชื้อเอชพีวีชนิดความเสี่ยงสูง (High-risk HPV DNA Testing) การตรวจหาเชื้อเอชพีวีโดยตรง ที่ให้ความไวในการตรวจที่สูง (ร้อยละ 96-98.7) นั่นคือสามารถตรวจพบเชื้อได้ตั้งแต่ระยะแรกๆ ที่มีการติดเชื้อ เมื่อเทียบกับการตรวจ “แป็ปเสมียร์” เทคนิคนี้จะตรวจหาเชื้อเอชพีวีสายพันธุ์ที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ก่อให้เกิดมะเร็งปากมดลูก และพบว่าการตรวจหาเชื้อเอชพีวีร่วมกับการตรวจแป็ปเสมียร์จะมีความไวสูง ในการวินิจฉัยความผิดปกติของปากมดลูก
ควรตรวจบ่อยแค่ไหน?
• ตรวจทุกปี กรณี Conventional Pap smear ปกติ
• ทุก 2 ปี กรณี Liquid-based Pap smear (Thin Prep หรือ Liqui Pap) ปกติ
• ทุก 3 ปี กรณี Liquid-based Pap smear ปกติและการตรวจหา High-risk HPV ให้ผลลบ
• หลังอายุ 30 ปี ถ้าผลตรวจ Pap smear ปกติติดต่อกัน 3 ปี อาจตรวจทุก 2-3 ปีก็ได้ กรณีที่ความเสี่ยงต่ำ
• กรณีที่มีความเสี่ยงสูง เช่น เป็นผู้ป่วยติดเชื้อ HIV ได้ฮอร์โมน DES ขณะตั้งครรภ์ ได้รับยากดภูมิคุ้มกันภายหลังปลูกถ่ายอวัยวะ ได้เคมีบําบัด หรือ ได้รับยาสเตียรอยด์เป็นระยะเวลายาวนาน แนะนำให้ตรวจทุกปี
ค่าใช้จ่ายเท่าไหร่?
วันนี้ซาร่า รวบรวมแพคเกจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก พร้อมราคา จากร.พ.ต่างๆมาให้เป็นข้อมูลกันค่ะ

ดูภาพขยายใหญ่ที่นี่ค่ะ
http://www.bloggang.com/data/m/madamesara/picture/1480504216.jpg
Credit: Medthai.com, Haamor.com, Thailand Cancer Rehabilitation Club
สำหรับสาวๆที่ยังเวอร์จิ้น อายุตั้งแต่ 9-26 ปี
ไปฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกกันเถอะค่ะ
ขออนุญาตอ้างอิงข้อมูลจากกระทู้เก่า
ทำไมสาวๆที่ยังเวอร์จิ้น และอายุยังไม่เกิน 26 ปีถึงควรฉีด?
เนื่องจากวัคซีนมะเร็งปากมดลูก จะสามารถป้องกันเชื้อได้ผลเต็มที่ ก็ต่อเมื่อยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ ยังไม่เคยได้รับเชื้อ และช่วงอายุ 9-26 ปีเป็นช่วงอายุที่ร่างกายสามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้สูงกว่าผู้ใหญ่ค่ะ ช่วงที่ดีที่สุดคือช่วงอายุ 11-15 ปี เพราะพบว่าเป็นอายุที่เหมาะสมและได้ประโยชน์สูงสุด เนื่องจากเป็นอายุก่อนเริ่มมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก ยังไม่ติดเชื้อ HPV และพบว่ามีระดับภูมิคุ้มกันสูงกว่า 2 เท่าเมื่อเปรียบเทียบกับการฉีดในช่วงอายุ 16-26 ปี
ถ้าอายุยังไม่ถึง 26 ปี แต่ไม่เวอร์จิ้นแล้วล่ะคะ
สำหรับสาวๆที่ไม่เวอร์จิ้นแล้ว ซาร่าแนะนำให้ไปตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกก่อนค่ะ ว่าได้รับเชื้อมาแล้วหรือไม่ ถ้ายังไม่ได้รับเชื้อ ก็ยังสามารถฉีดได้อยู่ค่ะ แต่ถ้าได้รับเชื้อไวรัส HPV มาแล้ว ควรเข้ารับการรักษาก่อนค่ะ สำหรับคนที่เคยติดเชื้อHPV สายพันธุ์เดียวกับวัคซีน ประสิทธิภาพของวัคซีนจะลดลงหรือได้ประโยชน์ไม่สูงเท่าที่ควร
แล้วถ้าอายุเกิน 26 แล้ว แต่ยังเวอร์จิ้นอยู่เลย ยังฉีดได้อยู่หรือไม่คะ
สำหรับสาวๆที่ยังยังเวอร์จิ้นอยู่ อายุเกินแล้ว ก็สามารถฉีดได้อยู่ค่ะ แต่ยังไม่มีข้อมูลด้านประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อสำหรับคนที่มีอายุมากกว่า 26 ปีค่ะ
สำหรับสาวๆที่ไม่เวอร์จิ้น อายุเท่าไรก็ตาม
ถึงจะฉีดวัคซีนแล้ว แต่ยังคงแนะนำให้ ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกเป็นประจำนะคะ เพราะการติดเชื้อส่วนใหญ่มาจากผู้ชายที่มีเชื้อ HPV อยู่ ซึ่งในผู้ชายจะไม่มีอาการผิดปกติค่ะ และวัคซีนเอง ไม่สามารถป้องกันเชื้อได้ทุกสายพันธุ์ ที่เป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูก
วัคซีนมะเร็งปากมดลูก มีกี่ชนิด ต่างกันอย่างไร?
วัคซีนมะเร็งปากมดลูกตอนนี้ มีอยู่ 2 ชนิดค่ะ
1. Cervarix ป้องกัน 2 สายพันธุ์ คือสายพันธุ์ 16 , 18 ซึ่ง 2 สายพันธุ์นี้ เป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูกถึง 70% ค่ะ
2. Gardasil ป้องกัน 4 สายพันธุ์ คือนอกจากสายพันธุ์ 16และ18 ที่เป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูกแล้ว ยังสามารถป้องกันสายพันธุ์ 6 และ 11 ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหูดหงอนไก่ได้อีกด้วย แต่ไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อ HPV หูดหงอนไก่ได้ทุกราย
การฉีด HPV Vaccine ต้องฉีดกี่ครั้ง
การฉีด HPV vaccine ให้ฉีด 0.5 มล. เข้าต้นแขนหรือกล้ามเนื้อสะโพก จำนวน 3 ครั้ง (3 เข็ม) ภายในระยะเวลา 6 เดือน ดังนี้
• ครั้งที่ 1 : ฉีดในวันที่กำหนดเลือก
• ครั้งที่ 2 : ฉีดในเดือนที่ 1-2 หลังจากการฉีดครั้งแรก
• ครั้งที่ 3 : ฉีดในเดือนที่ 6 หลังจากการฉีดครั้งแรก
โดยวัคซีนจะสามารถป้องกันเชื้อได้หลังจากฉีดครั้งที่ 3 ครบ 1 เดือนไปแล้ว
สำหรับน้องๆ อายุ 9-14 ปี สามารถให้วัคซีนเพียง 2 เข็มได้ โดยในต่างประเทศมีการศึกษาและพบว่าการให้วัคซีน HPV แบบ 2 เข็ม น่าจะเพียงพอต่อผู้ที่อายุยังน้อย โดยครั้งที่ 1 ฉีดในวันที่กำหนดเลือก หลังจากนั้นอีก 6 เดือนค่อยไปฉีดเข็มที่ 2
ผลข้างเคียงของการฉีด HPV Vaccine
อาการข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นได้แก่

อาการข้างเคียงบริเวณที่ฉีดวัคซีน เช่น ปวด บวม แดง และคัน ส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรง เป็นอยู่ชั่วคราวและหายไปเอง

อาการทั่วไป เช่น ไข้ พบประมาณร้อยละ 10 ส่วนใหญ่ไม่รุนแรงและหายไปได้เอง อาการอื่น ๆ ที่อาจพบได้ เช่น ปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน อ่อนเพลีย และผื่นคันตามตัว อาการเหล่านี้ไม่รุนแรงและหายไปได้เอง
ข้อควรรู้
1. วัคซีน HPV มีความสามารถในการป้องกันการติดเชื้อ HPV เฉพาะสายพันธุ์ที่ทำวัคซีนเท่านั้น ส่วนสายพันธุ์อื่นๆ อาจป้องกันได้บ้าง
2. ผลในการป้องกันการติดเชื้อจะได้ผลเต็มที่ต่อเมื่อยังไม่เคยได้รับเชื้อ HPV มาก่อน
3. ถึงแม้จะได้รับวัคซีนป้องกันแล้ว แต่การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ก็ยังคงเป็นสิ่งที่จำเป็น เนื่องจากวัคซีนไม่สามารถป้องการการติดเชื้อได้อย่างสมบูรณ์
ขอบคุณข้อมูลจาก Kapook.com
ซาร่าลองรวบรวมราคาแพคเกจวัคซีนมะเร็งปากมดลูกตามโรงพยาบาลต่างๆใน กทม. สำหรับ 3 เข็มมาให้ดูค่ะ
บางโรงพยาบาล ได้รวมค่าพบแพทย์ครั้งแรก และค่าบริการโรงพยาบาลเอาไว้ในแพคเกจแล้ว แต่บางโรงพยาบาลมีค่าแพทย์กับค่าบริการต่างหากค่ะ
บางโรงพยาบาล ไม่มีเป็นราคาแพคเกจ แต่เป็นราคาต่อเข็มแทน รบกวนดูหมายเหตุด้านล่างนะคะ
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลดังกล่าว โรงพยาบาลอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ ยังไงโทรสอบถามกับทางโรงพยาบาลอีกทีนะคะ

ดูภาพขยายใหญ่ที่นี่ค่ะ
http://www.bloggang.com/data/m/madamesara/picture/1479457403.jpg
กระทู้อื่นๆโดย "ซาร่าพาหาหมอ"
ทำเลสิกได้ที่ไหนบ้าง ราคาเท่าไร แต่ละแบบต่างกันอย่างไร เชิญค่ะ
http://pantip.com/topic/35836273
ว่าด้วยเรื่องวัคซีนเด็ก ฉีดอันไหน ยังไง ราคาเท่าไร แม่ซาร่าจัดให้
http://pantip.com/topic/35832567
พาอากงอาม่าไปฉีดวัคซีนกันเถอะ
http://pantip.com/topic/35821891
มะเร็งปากมดลูก สาเหตุการตายอันดับ1 ของหญิงไทย เช็คก่อน รู้ก่อน รักษาทัน เชิญสาวๆเข้ามาดูค่ะ
มะเร็งปากมดลูก เป็นสาเหตุการตายอันดับหนึ่งของผู้หญิงไทย พบในช่วงอายุ 30-70 ปี (พบมากที่สุดในช่วงอายุ 45-55 ปี) ซึ่งส่วนใหญ่มาพบแพทย์เมื่อเป็นมะเร็งระยะลุกลามแล้ว การรักษาเป็นไปได้ยาก ผู้ป่วยมีความทุกข์ทรมาน และมักจะเสียชีวิตจากภาวะแทรกซ้อนจากการรักษา
ผู้ป่วยที่อยู่ระหว่างการรักษามักจะมีปัญหาตามมามากมาย เช่น สภาพร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไป ขาดความเข้าใจของสามีและมักจะมีปัญหาครอบครัว มีผลกระทบด้านการเงิน เพราะไม่สามารถทำงานได้ ค่าใช้จ่ายในการรักษาสูง
รายละเอียดของโรคมะเร็งปากมดลูก ขออนุญาตลงลิ้งของเพจหมอแล็บแพนด้า ให้ได้อ่านกันนะคะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แม้จะฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกกันแล้ว ซาร่าก็ยังแนะนำให้ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกกันเป็นประจำนะคะ
1) การตรวจแป๊ปสเมียร์ (Conventional Pap Smear) เป็นการตรวจสอบเซลล์บริเวณปากมดลูกเพื่อหาเซลล์ที่ผิดปกติหรือมีการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ว่าจะกลายไปเป็นเซลล์มะเร็งหรือไม่ โดยแพทย์จะใช้ไม้พายหรือไม้กวาดเล็กๆ เก็บเซลล์บริเวณปากมดลูก จากนั้นป้ายลงบนกระจกแก้ว แล้วนำไปย้อมน้ำยาและตรวจดูด้วยกล้องจุลทรรศน์
2) การตรวจวิธีเซลล์วิทยาอิงของเหลว (Liquid Based Cytology - LBC) เป็นการตรวจสอบเซลล์บริเวณปากมดลูก เพื่อหาเซลล์ที่ผิดปกติ โดยแพทย์จะเก็บเซลล์บริเวณปากมดลูกใส่ลงในน้ำยา รักษาสภาพเซลล์แล้วนำเข้าสู่ขบวนการเตรียมเซลล์บนกระจกแก้ว
• ตรวจทุกปี กรณี Conventional Pap smear ปกติ
• ทุก 2 ปี กรณี Liquid-based Pap smear (Thin Prep หรือ Liqui Pap) ปกติ
• ทุก 3 ปี กรณี Liquid-based Pap smear ปกติและการตรวจหา High-risk HPV ให้ผลลบ
• หลังอายุ 30 ปี ถ้าผลตรวจ Pap smear ปกติติดต่อกัน 3 ปี อาจตรวจทุก 2-3 ปีก็ได้ กรณีที่ความเสี่ยงต่ำ
• กรณีที่มีความเสี่ยงสูง เช่น เป็นผู้ป่วยติดเชื้อ HIV ได้ฮอร์โมน DES ขณะตั้งครรภ์ ได้รับยากดภูมิคุ้มกันภายหลังปลูกถ่ายอวัยวะ ได้เคมีบําบัด หรือ ได้รับยาสเตียรอยด์เป็นระยะเวลายาวนาน แนะนำให้ตรวจทุกปี
วันนี้ซาร่า รวบรวมแพคเกจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก พร้อมราคา จากร.พ.ต่างๆมาให้เป็นข้อมูลกันค่ะ
ดูภาพขยายใหญ่ที่นี่ค่ะ http://www.bloggang.com/data/m/madamesara/picture/1480504216.jpg
Credit: Medthai.com, Haamor.com, Thailand Cancer Rehabilitation Club
ขออนุญาตอ้างอิงข้อมูลจากกระทู้เก่า
เนื่องจากวัคซีนมะเร็งปากมดลูก จะสามารถป้องกันเชื้อได้ผลเต็มที่ ก็ต่อเมื่อยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ ยังไม่เคยได้รับเชื้อ และช่วงอายุ 9-26 ปีเป็นช่วงอายุที่ร่างกายสามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้สูงกว่าผู้ใหญ่ค่ะ ช่วงที่ดีที่สุดคือช่วงอายุ 11-15 ปี เพราะพบว่าเป็นอายุที่เหมาะสมและได้ประโยชน์สูงสุด เนื่องจากเป็นอายุก่อนเริ่มมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก ยังไม่ติดเชื้อ HPV และพบว่ามีระดับภูมิคุ้มกันสูงกว่า 2 เท่าเมื่อเปรียบเทียบกับการฉีดในช่วงอายุ 16-26 ปี
สำหรับสาวๆที่ไม่เวอร์จิ้นแล้ว ซาร่าแนะนำให้ไปตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกก่อนค่ะ ว่าได้รับเชื้อมาแล้วหรือไม่ ถ้ายังไม่ได้รับเชื้อ ก็ยังสามารถฉีดได้อยู่ค่ะ แต่ถ้าได้รับเชื้อไวรัส HPV มาแล้ว ควรเข้ารับการรักษาก่อนค่ะ สำหรับคนที่เคยติดเชื้อHPV สายพันธุ์เดียวกับวัคซีน ประสิทธิภาพของวัคซีนจะลดลงหรือได้ประโยชน์ไม่สูงเท่าที่ควร
สำหรับสาวๆที่ยังยังเวอร์จิ้นอยู่ อายุเกินแล้ว ก็สามารถฉีดได้อยู่ค่ะ แต่ยังไม่มีข้อมูลด้านประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อสำหรับคนที่มีอายุมากกว่า 26 ปีค่ะ
ถึงจะฉีดวัคซีนแล้ว แต่ยังคงแนะนำให้ ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกเป็นประจำนะคะ เพราะการติดเชื้อส่วนใหญ่มาจากผู้ชายที่มีเชื้อ HPV อยู่ ซึ่งในผู้ชายจะไม่มีอาการผิดปกติค่ะ และวัคซีนเอง ไม่สามารถป้องกันเชื้อได้ทุกสายพันธุ์ ที่เป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูก
วัคซีนมะเร็งปากมดลูกตอนนี้ มีอยู่ 2 ชนิดค่ะ
1. Cervarix ป้องกัน 2 สายพันธุ์ คือสายพันธุ์ 16 , 18 ซึ่ง 2 สายพันธุ์นี้ เป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูกถึง 70% ค่ะ
2. Gardasil ป้องกัน 4 สายพันธุ์ คือนอกจากสายพันธุ์ 16และ18 ที่เป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูกแล้ว ยังสามารถป้องกันสายพันธุ์ 6 และ 11 ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหูดหงอนไก่ได้อีกด้วย แต่ไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อ HPV หูดหงอนไก่ได้ทุกราย
การฉีด HPV vaccine ให้ฉีด 0.5 มล. เข้าต้นแขนหรือกล้ามเนื้อสะโพก จำนวน 3 ครั้ง (3 เข็ม) ภายในระยะเวลา 6 เดือน ดังนี้
• ครั้งที่ 1 : ฉีดในวันที่กำหนดเลือก
• ครั้งที่ 2 : ฉีดในเดือนที่ 1-2 หลังจากการฉีดครั้งแรก
• ครั้งที่ 3 : ฉีดในเดือนที่ 6 หลังจากการฉีดครั้งแรก
โดยวัคซีนจะสามารถป้องกันเชื้อได้หลังจากฉีดครั้งที่ 3 ครบ 1 เดือนไปแล้ว
สำหรับน้องๆ อายุ 9-14 ปี สามารถให้วัคซีนเพียง 2 เข็มได้ โดยในต่างประเทศมีการศึกษาและพบว่าการให้วัคซีน HPV แบบ 2 เข็ม น่าจะเพียงพอต่อผู้ที่อายุยังน้อย โดยครั้งที่ 1 ฉีดในวันที่กำหนดเลือก หลังจากนั้นอีก 6 เดือนค่อยไปฉีดเข็มที่ 2
อาการข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นได้แก่
1. วัคซีน HPV มีความสามารถในการป้องกันการติดเชื้อ HPV เฉพาะสายพันธุ์ที่ทำวัคซีนเท่านั้น ส่วนสายพันธุ์อื่นๆ อาจป้องกันได้บ้าง
2. ผลในการป้องกันการติดเชื้อจะได้ผลเต็มที่ต่อเมื่อยังไม่เคยได้รับเชื้อ HPV มาก่อน
3. ถึงแม้จะได้รับวัคซีนป้องกันแล้ว แต่การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ก็ยังคงเป็นสิ่งที่จำเป็น เนื่องจากวัคซีนไม่สามารถป้องการการติดเชื้อได้อย่างสมบูรณ์
ขอบคุณข้อมูลจาก Kapook.com
ซาร่าลองรวบรวมราคาแพคเกจวัคซีนมะเร็งปากมดลูกตามโรงพยาบาลต่างๆใน กทม. สำหรับ 3 เข็มมาให้ดูค่ะ
บางโรงพยาบาล ได้รวมค่าพบแพทย์ครั้งแรก และค่าบริการโรงพยาบาลเอาไว้ในแพคเกจแล้ว แต่บางโรงพยาบาลมีค่าแพทย์กับค่าบริการต่างหากค่ะ
บางโรงพยาบาล ไม่มีเป็นราคาแพคเกจ แต่เป็นราคาต่อเข็มแทน รบกวนดูหมายเหตุด้านล่างนะคะ
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลดังกล่าว โรงพยาบาลอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ ยังไงโทรสอบถามกับทางโรงพยาบาลอีกทีนะคะ
ดูภาพขยายใหญ่ที่นี่ค่ะ http://www.bloggang.com/data/m/madamesara/picture/1479457403.jpg
กระทู้อื่นๆโดย "ซาร่าพาหาหมอ"
ทำเลสิกได้ที่ไหนบ้าง ราคาเท่าไร แต่ละแบบต่างกันอย่างไร เชิญค่ะ
http://pantip.com/topic/35836273
ว่าด้วยเรื่องวัคซีนเด็ก ฉีดอันไหน ยังไง ราคาเท่าไร แม่ซาร่าจัดให้
http://pantip.com/topic/35832567
พาอากงอาม่าไปฉีดวัคซีนกันเถอะ
http://pantip.com/topic/35821891