ไบโพล่าร์ เป็นได้ ก็หายได้ แชร์จากประสบการณ์ของเราที่(ใกล้)หายแล้ว

เมื่อวานหนูไปหาจิตแพทย์.....

ย้อนกลับไปเราเป็นคนนึงที่มีนิสัยเอาแต่ใจมาแต่ไหนแต่ไร เป็นคนชอบเที่ยวทำอะไรตามใจ ใช้ชีวิตเหมือนฝรั่งที่แบบว่า อะไรไม่ถูก ไม่ใช่ ฉันไม่ยอม!!!! จนเข้าใจว่าสิ่งนั้น คือ "นิสัย"  จนวันนึงเกิดเหตุการณ์หลายๆอย่างที่ทำให้เรากลับมาทบทวนว่า เรา "ไม่ปกติ"

เราจะไม่ใช้คำว่ามีปัญหานะคะ แต่เราไม่ค่อยลงรอยกับที่บ้านสักเท่าใหร่ ระยะแรกก็แค่ไม่พอใจ ระยะหลังคือหงุดหงิด จะหงุดหงิดมาก อารมณ์เสียง่ายมาก จนเราคิดว่า เมืองไทยคงไม่ใช้แล้วล่ะ อยู่ไกลให้คิดถึงกัน ดีกว่าอยู่ใกล้แล้วทะเลาะกัน ร้อนใจ ไม่มีความสุข ช่วง สาม สี่ปีก่อน ที่อาการเริ่มแสดง เกิดจากการที่เราอกหักค่ะ อกหักจากคนที่คิดว่าชีวิตนี้เราจะได้ใช้ชีวิตร่วมกัน ไม่ว่าต้องข้ามน้ำข้ามทะเลไปอยู่ที่ไหนก็ตาม (คนเรามีความเปราะบางในเรื่องเดียวกันที่ต่างกัน กรุณาอย่าคิดว่าเรื่องแค่นี้จะทำให้ ชีวิตเราพังยับ ขนาดเป็นไบโพล่าได้ยังไง) พอเราอ่อนแอ กลายเป็นเรายิ่งโดนซ้ำเติม ทำให้เก็บอาการเหล่านั้นไว้ในใจตลอดมา โดยคิดว่าตัวเอง "ไม่เป็นอะไร"

พยายามมีความสุข มันก็เป็นความสุขที่พยายามจนบางทีเราเหนื่อย ที่ต้องทำให้ทุกคนรู้ว่า เราไม่เป็นอะไร พออกหักก็เริ่มหันมาตั้งเป้าหมายในชีวิต ล้มลุกคลุกคลาน ทำธุรกิจแล้วไปไม่รอด แม้สมัครแอร์แล้วตกรอบไฟนอลตลอด ระหว่างช่วงชีวิตตอนนี่ ก็มีคนซ้ำเติมตลอด แต่สิ่งที่เราต้องการที่สุดคือกำลังใจจากคนในครอบครัว และเพื่อนสนิท

แต่ตอนนั้น ก็ยังไม่มีคนเข้าใจเราจริง บางทีแค่อยากได้คนรับฟัง เรากลายเป็นคนหลงทางไม่รู้ชีวิตจะไปทางไหนดีอยู่เป็นปี ทุกคนบอกให้สู้ แต่ไม่มีใครเข้าใจว่าเราสู้แล้ว สู้มาตลอด สู้จนไม่อยากสู้ แล้วเราก็เริ่มเข้าสู่สภาวะหดหู่ค่ะ

ชีวิตสับสน โทษตัวเอง ทำอะไรก็ไม่สำเร็จสักอย่าง
แต่ในสภาวะนั้นคนที่ประสบกับเหตุการณ์เหมือนเรา เค้าจะมีคนคนนึงเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ คนที่เข้าใจ คนที่รับฟัง  เราก็มีค่ะ ตอนแรกเป็นพี่สาว แต่ด้วยนิสัย และ "อาการ" ของโรคไบโพล่าที่บางครั้งเราก็แยกไม่ออก ว่านี่คืออะไร ทำให้ เราทะเลาะกับพี่สาว จนเหลือที่พึ่งสุดท้าย เพื่อนสนิทที่อเมริกา

ตอนนั้นเราสมัครแอร์อีกครั้งค่ะ พร้อมกับเตรียมทำเรื่องติดต่อโรงเรียนที่นิวยอร์ค เหมือนชีวิตต้องเลือก ซ้ายกับขวา เท่านั้น ไม่มีตรงกลาง

โชคชะตาเล่นตลกให้เราได้ไปนิวยอร์ค เราซื้อตั๋วไปขาเดียว เพราะคิดเสมอว่า เราจะไม่กลับมาเมืองไทยอีกแล้ว เราจะไปตายที่นั่น แล้วเราจะต้องรอด นั่นคือสิ่งที่คิด (ชีวิต จริงมันลำบากกว่านั้นค่ะ แล้วเราก็ไม่ได้แข็งแรงพอที่จะต่อสู้กับมัน) ต้องบอกก่อนว่า เราไม่ได้มาจากครอบครัวมั่งคั่ง ชีวิตที่นิวยอร์คของเราเลยต้องดิ้นรน ใช้ชีวิตให้ผ่านไป...
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่