[CR] จิบพม่า ตามหาจอร์จ ออร์เวลล์ : เสน่ห์พม่า จากสายตาคนขาว


หนังสือจิบพม่า ตามหาจอร์จ ออร์เวลล์ ประวัติศาสตร์ระหว่างบรรทัดในร้านน้ำชา

โดยส่วนตัวแล้วฉันไม่ได้รู้จัก จอร์จ ออร์เวลล์ เลยสักนิด เจอชื่อนี้ครั้งแรก เมื่อตอนที่ได้มีโอกาสไปเที่ยวลอนดอนปี พ.ศ. 2553 ตอนนั้นพวกเราเดินเที่ยวกันที่ถนนพอร์ทโทเบลโล อันโด่งดัง ระหว่างที่เดินปล่อยอารมณ์ สูดอากาศเย็นๆ ชื้นๆ ดูตึกรามบ้านเรือนที่ทอดตัวสงบเงียบสวยงามเป็นระเบียบ สายตาก็ไปเจอป้ายหน้าบ้านหลังหนึ่งเขียนว่า “GEORGE ORWELL 1903 - 1950 NOVELLIST & POLITICAL ESSAYIST LIVED HERE” คือ คุณจอร์จ เคยพำนักที่นี่นั่นเอง ตอนนั้นก็สนใจ ว่าคุณจอร์จคงใหญ่น่าดู ไม่งั้นคงไม่ขึ้นป้ายหรา เพื่อเชิดหน้าชูตาเจ้าของใหม่ขนาดนี้แน่นอน

คุ้ยๆค้นๆ กูเกิ้ลตรงหน้าบ้านนั้นว่า จอร์จคือใคร ก็ได้รู้ว่า เขาเป็นนักเขียน และนักกวีแนวเสียดสีและวิพากษ์ระบบสังคมชาวอังกฤษ ที่มีผลงานได้รับการยอมรับนับถือมากมาย ผลงานที่นักอ่านชาวไทย อาจจะคุ้นบ้างก็คือ The Animal Farm (การเมืองเรื่องสรรพสัตว์) และ Burmese Days (พม่ารำลึก) ในประวัติบอกว่าคุณจอร์จ เคยมาใช้ชีวิตสั้นๆ ที่พม่า เลยเขียนเรื่องพม่า จนโด่งดัง จบแค่นี้

วันเวลาผ่านมา 3 ปี ชีวิตได้โคจรมาเจอหนังสือเล่มหนึ่ง จิบพม่า ตามหาจอร์จ ออร์เวลล์ เหมือนมีแรงดึงดูดบางอย่างที่ทำให้อยากหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาอ่าน ไม่น่าเชื่อว่าในที่สุดฉันก็ได้เจอหนังสือที่ชอบมากที่สุดเล่มหนึ่งของตัวเองจิบพม่า ตามหาจอร์จ ออร์เวลล์ เป็นหนังสือที่เขียนขึ้นในปี พ.ศ. 2549 ยุคที่การเมืองในพม่ายังคลุมเคลือ และทุกอย่างอยู่ภายใต้อุ้งเท้ารัฐบาลทหาร ผู้เขียนเป็นนักเขียนและสื่อมวลชน ชาวอเมริกัน เธอใช้ชื่อ (แฝง) ว่า เอ็มม่า ลาร์กิ้น ประวัติที่พอจะหาอ่านได้บอกว่าเธอเติบโตในเอเชีย และเริ่มเรียนภาษาพม่า ที่ ลอนดอน ลาร์กิ้น หลงเสน่ห์ งานเขียนของจอร์จ ออร์เวลล์ ที่เกี่ยวกับพม่าเข้าอย่างจัง ทำให้เธอต้องมาใช้ชีวิตในประเทศไทยนับสิบปีเพื่อไปๆมาๆ ระหว่างไทย พม่า และท่องเที่ยวไปทั่วดินแดนพม่า เพื่อไปตามหาทุกสถานที่ ที่ได้ชื่อว่า จอร์จ ออร์เวลล์ เคยไปพำนักอยู่ชีวิตของจอร์จ ออร์เวลล์ ในพม่า ปรากฏในหนังสือว่า เขาเคยสมัครเข้าเป็นทหารจากเจ้า อาญานิคมอังกฤษเพื่อไปปกครองพม่า 5 ปี ซึ่งยุคนั้นก็ตรงกับรัชสมัยของ รัชกาลที่ 7 แห่งสยาม

หลังจากกลับไปอยู่อังกฤษออร์เวลล์เขียนหนังสือที่ได้รับแรงบันดาลใจจากประสบการณ์ในพม่าคือ Burmese Day, 1984 และ The Animal Farm ซึ่งเป็นหนังสือ ที่เชื่อกันว่า ออร์เวลล์เขียนขึ้นมาเพื่อสะท้อนภาพอนาคตของเหตุการณ์บ้านเมืองในพม่าที่อาจจะเกิดขึ้น เมื่อพม่าได้รับเอกราชจากอังกฤษและไม่น่าเชื่อว่าทุกสิ่งที่เขาเขียนไว้ก่อนล่วงหน้าหลายทศวรรษนั้น จะเหมือนจริงจนน่าขนลุกเพราะการเมืองของพม่าในยุคที่อังกฤษยอมปล่อยมือ มันคือการผ่องถ่ายขั้วอำนาจจากทรราชต่างด้าว ไปสู่เอื้อมมือแห่งทรราชจากมาตุภูมิ คนพม่า จึงเรียกหนังสือเล่มนี้ว่า The Pophet “คำพยากรณ์”

ลาร์กิ้น ใช้แรงจูงใจจากการอ่านและหลงไหลหนังสือเหล่านี้ พาเธอท่องเที่ยวไปท่ัวพม่า ตั้งแต่ ย่างกุ้ง มัณฑะเลย์ อิรวดี กะต่า เมาะลำเลิง เหนือสุด ถึงใต้สุด ผู้หญิงตัวคนเดียวเดินทางท่องไปเพื่อตามหาความจริง และเรียนรู้ สังคม ชีวิต และความรู้สึกนึกคิดของผู้คนในพม่าหลากวัย หลายสถานะที่เธอได้คุยด้วย เปลือกชีวิตของพวกเขาถูกกระเทาะผ่านสายตาชาวต่างชาติ เราได้เรียนรู้ว่าคนหนุ่มสาวพม่าในยุคนั้นกระหายใครรู้เรื่องการอ่านอย่างที่สุด เราได้รับรู้ผ่านเรื่องเล่าของชีวิตผู้หญิงลูกครึ่งใน เมาะละแหม่งว่า ชีวิตใต้การปกครองของรัฐบาลเผ็จการทหาร ไม่ง่าย และยิ่งยากเป็นหลายเท่าเมื่อประชาชนก็ยัง แบ่งแยกกันเอง ลูกครึ่งพม่า-อังกฤษ ถูกปฏิบัติอีกแบบหนึ่ง ชนชาติพม่า มองไม่เห็นค่าในชีวิตของชนกลุ่มน้อยอื่นๆ กลายเป็นปัญหาที่ทำให้พม่าไม่สามารถพัฒนาไปได้อย่างถึงที่สุด

การเล่าระหว่างทาง ลาร์กิ้นเลือกใช้วิธีการเปรียบเทียบ ซ้อนเหลื่อมกันของสถานที่จริง ต่างกรรม ต่างวาระ ระหว่างโลกในหนังสือของจอร์จ ออร์เวลล์ กับโลกแห่งความจริงที่ปรากฏตรงหน้าเธอ ที่หลายๆครั้งมันต่างกัน ราวฟ้ากับเหว โลกที่อิสระเสรีในยุคจอร์จ ออร์เวลล์ กับโลกที่ภูกคุมทุกฝีก้าวจากคนของรัฐบาล ในยุคของลาร์กิ้น ความสอดรับกันของการเล่าเรื่องทำให้เรารู้สึกเหมือนเดินทางท่องเที่ยวไปเมืองนั้นเมืองนี้กับผู้เขียน สัมผัสความสวยงามและมนต์เสน่ห์ของประเทศที่เป็นอู่อารยะธรรมและอาณาจักร์อันยิ่งใหญ่ โดยเหน็บหนังสือของจอร์จ ออร์เวลล์ติดตัวไปด้วยตามทาง และพอถึงจุดที่น่านั่งเล่นนั่งพัก เราก็พักแล้วเอาหนังสือขึ้นมาอ่าน และพอเราอ่านเล่มนี้จนจบ ฉันพบว่าอาจจะเพราะหนังสือเขียนผ่านมุมมองของฝรั่ง ที่มีความหลงใหลในสังคม วัฒนธรรมและความเป็น โลกตะวันออก โดยเฉพาะต่ออาณาจักรพม่าอันอุดมสมบูรณ์ ทำให้หลายๆครั้งที่ผู้เขียนได้พยายามอรรถาธิบาย ถึงความไม่เข้าที่เข้าทางในอะไรหลายๆอย่างของพม่านั้น เราจะสัมผัสได้ว่าผู้เขียนก็ยังคง มองความไม่ลงตัวเหล่านี้ ว่า เป็นเสนห์อย่างหนึ่งของพม่า ซึ่งหาไม่ได้ในสังคมยุโรป อังกฤษ หรือ อเมริกา รากเหง้าแท้ๆของเธอเอง

แต่ ณ วันนั้น คงมีแต่คนพม่า ที่ยังไม่เจอ แง่งามของตัวเอง

ขอบคุณผู้แปลหนังสือเล่มนี้ ที่แปลได้หมดจด ท่านเป็นผู้แปลเดียวกันกับเรื่อง “The King In Exile”   เราชอบสำนวนของเธอ คุณสุภัตรา ภูมิประภาส อดีตคนเดือนตุลา ที่ฝีปากกาคมคาย น้ำคำกลมกล่อม


ส่วนหนึ่งของถนนพอร์ทโทเบลโล่ และ บ้านของจอร์จ ออร์เวลล์ ที่ ลอนดอน
ชื่อสินค้า:   หนังสือ จิบพม่า ตามหาจอร์จ ออร์เวลล์ ประวัติศาสตร์ระหว่างบรรทัดในร้านน้ำชา
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่