คนอีสาน....ในสายตา.......คนกรุงอย่าง cnck ( 1 )

การอวดหยิ่งยะโสของหญิงสาวคนหนึ่งที่ดูจากวัยวุฒิแล้วไม่สงสัยเลยว่า

ไม่มีภูมิความรู้ ไม่รู้ประวัติความเป็นมา ไม่รู้ถึงความเป็นคนอดทน ขยันขันแข็ง ซื่อสัตย์

และไม่ยอมแพ้แก่โชคชะตาที่ให้ร้ายตลอดเวลา
ไม่รู้จักสักนิดเลยว่า

กลุ่มคนที่ตัวดูถูกที่ได้ชื่อว่า "คนอีสาน" มีประวัติความเป็นมาอย่างไร


อีสาน เป็นคำภาษา บาลี สันสกฤต แปลว่า ตะวันออกเฉียงเหนือ

ลักษณะภูมิประเทศ เป็นที่ราบสูง มีเทือกเขา พนมดงรัก กั้นระหว่าง กัมพูชา และภาค ตะวันออก

และมีเทือกเขาเพชรบูรณ์ และเทือกเขา ดงพญาเย็น (ดงพญาไฟ) กั้นอีสานแยกจากภาคกลาง

รูป ดงพญาไฟ (ความน่ากลัวของดงพญาไฟ จะพูดถึงในตอนที่ 2 )






เนื่องจากลักษณะภูมิประเทศดังกล่าว ทำให้ดูเหมือนคนอีสานถูกตัดขาดจากความเจริญ

นั่นทำให้คนอีสานในสมัยก่อนมีนิสัยไม่ชอบย้ายถิ่นฐาน และไม่ชอบแต่งงานกับคนต่างถิ่น



โชคชะตาชีวิต มักเล่นงานคนอีสานไม่ว่าจากภัยธรรมชาติ หรือ ภัยร้ายจากผู้คน

ด้วยความที่ส่วนใหญ่คนอีสานจะเป็นคนซื่อ ใจบุญ และ รักความสงบ ไม่ชอบวิวาทะ

ซึ่งพูดโดยรวมก็คือ "ไม่เรื่องมาก ปกครองง่าย" และด้วยคุณสมบัตินี้

จึงทำให้คนอีสานมักเสียเปรียบคนต่างถิ่นอยู่เสมอๆ


ในช่วงปี พ.ศ 2492 (ค.ศ1949) ประเทศจีน ได้เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบ "คอมมูนิสต์"

ทำให้รัฐบาลไทยในขณะนั้นเกิดหวาดกลัวภัยคอมมูนิสต์ จึงเริ่มทำการจับกลุ่มและกวาดล้าง

คนที่นิยมลัทธิดังกล่าว ทำให้แกนนำส่วนหนึ่งของพรรคคอมมูนิสต์ไทย ได้ไปตั้งหลักเคลื่อนไหว

ในเขตภาคอีสาน โดยเฉพาะที่ นครพนม และ สกลนคร



[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้



ช่วงประมาณเดือนพฤษภาคม 2504 จอมพล สฤษดิ์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ใช้ ม 17 สั่งประหารชีวิต

นาย ครอง จันดาวงค์ ในข้อหาภัยคอมมูนิสต์ สร้างความโกรธแค้นให้กับประชาชนมากขึ้น






ในราวปีพ.ศ 2506 - 2508  การกวาดล้างของรัฐบาลกลางรุนแรงขึ้น พรรคคอมมูนิสต์ไทย

โดยมีแกนนำคือ ลุงคำตัน หรือ พ.ท พโยม จุลานนท์ บิดาของ พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์

องคมนตรี ได้ตัดสินใจตอบโต้ด้วยอาวุธสงคราม

รูป พ.ท พโยม จุลานนท์ และ พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ (แถวยืนที่ 2 จากซ้าย)




และแล้วในวันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ 2508 การปะทะกันด้วยอาวุธสงครามระหว่างรัฐบาลกับพรรคคอมมูนิสต์ไทย

ก็ได้เกิดขึ้นที่ บ้านนาบัว ตำบลโคกหินแฮ่ อำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม ซึ่งเหตุการณ์นี้ต่อมา

ได้ชื่อว่า "วันเสียงปืนแตก"


นับตั้งแต่ "วันเสียงปืนแตก" เป็นต้นมา แผ่นดินอีสานที่เคยสงบสุข ก็ลุกเป็นไฟ

สถานการณ์เลวร้ายลงไปทุกขณะ และเพิ่มถึงขีดสุดช่วงที่กองทัพเวียดนามได้ยึดครอง ลาว และ เขมร

เตรียมพร้อมที่จะยึดประเทศไทยเป็นเป้าหมายต่อไป และถ้าทำสำเร็จภาคอีสานทั้งหมด

ก็จะถูกผนวกเข้ากับประเทศลาว  แต่แผนที่ว่าไม่ประสบความสำเร็จเพราะ

พระปรีชาสามารถของจอมทัพไทยบวกกับความรักชาติหวงแหนแผ่นดินไม่ยอมแพ้ต่ออริราชศัตรูของ

ประชาชนชาวอีสานทำให้ไทยรอดพ้นจากภัยสงครามครั้งนั้น

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้


รูป ลักษณะที่ได้ยกเว้นการเกณฑ์ทหาร






หลังจากรัฐบาลพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ได้ออกคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 66/23 ไม่เอาผิดกับพวกที่ต่อสู้อยู่ในป่า

ทำให้มีคนกลับใจมาร่วมพัฒนาประเทศไทย แผ่นดินอีสานก็กลับมาสู่ความสงบสุขอีกครั้ง

http://www.polsci.chula.ac.th/pitch/modernthaipolitics2012/6623.pdf


แต่เคราะห์ร้ายของคนอีสานยังไม่หมดสิ้น ภัยต่อไปที่คนอีสานต้องเจอคือ ภัยทางธรรมชาติ

ต่อเนื่องจนเป็นทุกข์ภัยทางเศรษฐกิจ


ป.ล ตอนที่ 2 จะเขียนถึงคนอีสานเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจไทยรุ่งเรือง

ป.ล 2  เห็นสลิ่มเริ่มออกมาแถช่วยแล้วอนาถใจ การดูถูกดูแคลนคนชาติเดียวกัน

ทำให้เกิดความแตกแยกเป็นเรื่องที่ไม่ควรบังเกิดขึ้นอีก ประวัติศาสตร์ก็มีให้เรียนรู้

คนรุ่นก่อนเราใช้ความเพียรพยายามในการประสานรอยร้าวความแตกแยก

กว่าจะสำเร็จใช้เวลาหลายสิบปี อย่าให้คำพูดของเด็กไร้วุฒิภาวะมาสร้างความแค้นระหว่างกันให้มากขึ้นอีกเลย

ป.ล 3 วันเสียงปืนแตกฝ่ายคอมมูนิสต์บอกว่าเป็นวันที่ 7 สิงหาคม 2508 แต่ สมศักดิ์ เจียม บอกว่าเป็น

วันที่ 8 สิงหาคม 2508 (ต่างกันวันเดียว) จึงยังไม่มีข้อสรุป


ป.ล 3 กระทู้นี้เจตนาใช้คำสุภาพที่สุด เพราะไม่อยากทำลายบรรยากาศที่คนไทยยังอยู่ในความโศกเศร้า
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 15
ในฐานะคนอีสานคนหนึ่ง    ขอขอบคุณเจ้าของกระทู้สำหรับทัศนะคติดีๆ ที่มีให้คนอีสาน อมยิ้ม17

เรื่องความลำบากนี้  ผมเชื่อว่าคนอีสานส่วนใหญ่สามารถกัดฟันสู้ฝ่าฝันสู้กับมันเต็มที่อยู่แล้ว  สู้ได้ก็สู้ต่อไป   ที่สู้ไม่ได้ก็ยอมรับชะตา  ส่วนเรื่องที่จะไปงอมืองอเท้าขอให้ภาครัฐช่วยนั้นไม่ใช่จุดเด่นของคนอีสานเลย   หรือหากภาครัฐให้ความอนุเคราะห์ช่วยได้เท่าไหร่พอใจเท่านั้น   ไม่มีการเรียกร้องได้คืบจะเอาศอกได้ศอกแล้วจะเอาวา    


บ่อยครั้ง  ที่มาตรวัดความโง่ของคนอีสานถูกนำไปผูกผลการเลือกตั้งของพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง   ถ้าจำนวนสส.พรรคนั้นไม่ถูกเลือกในพื้นที่อีสานมากผลลัพธ์คือคนอีสานโง่(และหลายคนก็เชื่อตามนั้น  ที่น่าสลดก็คือเป็นกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่ามีการศึกษา)  แต่ถ้าปีไหนจำนวนสส. พรรคนั้นมากก็จะไม่มีคำครหาเช่นนี้จากพรรคการเมืองพรรคนั้น


ในแง่การเมืองและเศรษฐกิจ  เกือบจะตลอดมา   คนอีสานแทบจะไม่ได้เรียกร้องหรือขออะไรมากมายเลย   ทั้งๆ ที่มีประชากรจำนวนมากเป็นภาคที่รัฐควรจะใส่ใจเพิ่มขึ้นอีกสักนิด.......แต่ในแง่สังคม   คนอีสานเรียกร้องและขอสังคมก็คือการปรับเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อพวกเขา
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 7
ขอบคุณสำหรับความรู้ด้านประวัติศาสตร์ของคนอีสานครับ

พื้นฐานของคนอีสานเป็นคนน่ารัก อ่อนน้อมถ่อมตน รักถิ่นฐานบ้านเกิด อยู่ง่ายกินง่าย ขยัน  ด้วยในอดีตสภาพความภูมิประเทศที่ค่อนข้างแห้งแล้ง แหล่งน้ำไม่เพียงพอต่อการเกษตรกรรม ผืนดินไม่เอื้ออำนวย จึงได้เกิดโครงการในพระราชดำริอีสานเขียวขึ้นมาประมาณช่วงปี 2530 เพื่อพัฒนาแหล่งน้ำและฟื้นฟูแผ่นดินอันแห้งแล้งให้มีความอุดมสมบูรณ์ขึ้น นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่คนอีสานไม่เคยลืมครับ

ปัจจุบันมีความเจริญทั้งทางด้านวัตถุ ภาคธุรกิจ สถานศึกษา การท่องเที่ยว ควบคู่ไปกับการเกษตรกรรมและศิลปะวัฒนธรรมต่างๆ ที่คนอีสานไม่เคยทิ้งความเป็นอีสานไปจากตัวเอง เป็นเรื่องที่ดีมากๆที่สามารถดึงคนอีสานไว้หลายส่วนไม่ให้ละทิ้งถิ่นฐานบ้านเกิดออกไปแสวงหาหนทางเอาตัวรอดให้กับตนเองและครอบครัว

คนอีสานหลายคนไม่มีพื้นฐานทางครอบครัว ฐานะ และสังคม แต่ด้วยความมุมานะบากบั่นหรือเคยมีชีวิตแบบหลังชนฝา แม้ไม่มีฐานที่ดีดังข้างต้นแต่พวกเขาก็สามารถเอาความสามารถในการทำงาน เอาดีกรีด้านการศึกษา เอาคุณค่าของตัวเองที่มีอยู่ใช้เป็นใบเบิกทางในการประกอบอาชีพหาเลี้ยงตนเองและครอบครัว

ส่วนเรื่องที่คุณเบสท์พยายามสื่อ คนอีสานเขารู้มาก่อนคุณแล้วครับ เพียงแต่เขาไม่ใช่นักพูด หรือเขาไม่มีโอกาสได้พูด ผมคงไม่อยากอธิบายมากในเรื่องนี้ อยากให้ลองไปสังเกตุภาพกิจกรรมในแต่ละจังหวัดทางภาคอีสานที่ได้จัดขึ้นในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา แล้วคุณเบสท์จะเห็นพลังในความจงรักภักดีของคนอีสานว่าเขาไม่ได้มีน้อยไปกว่าคุณหรือสิ่งที่คุณเบสท์พยายามสื่อว่าตัวเองเป็นเลย  มันไม่แปลกที่หลายคนจะเจ็บแค้นกับน้ำเสียง คำพูด และกริยาท่าทางของคุณเบสท์ครับ  จำไว้นะครับ คนอีสานเขาไม่ได้โง่หลายคนเขาปากกัดตีนถีบมามากกว่าคุณ เขารู้เขารักแต่เขาไม่ไปใช้คำพูดว่ารักแล้วคนอื่นจะไม่รักเหมือนกับคุณ ตั้งแต่พวกเขาเกิดมาพวกเขาไม่เคยที่จะไม่รักไม่เคารพสามสถาบันหลักของประเทศไทยครับ
ความคิดเห็นที่ 5
ภาคอิสานมีประวัติศาสตร์ ประเพนีอันดีงามมายาวนาน แต่ภูมิประเทศ ไม่อุดมสมบูรณ์
เท่าภาคอื่น แหล่งน้ำมีน้อย ดินไม่อุ้มน้ำ ทำไห้การทำเกษตรกรรม การทำนาไม่ได้ผลเท่าภาคอื่น
ความยากจน จึงได้รับการศึกษาไม่มากนัก ต้องเข้าทำงานไนกรุงเทพ ความรู้น้อยเลยถูกล้อเรียน เรียกคำว่าเสี่ยว
ก็ยังพอจะอดทนเข้าไจ คนอิสานซื่อตรง รักถิ่นฐาน เมื่อมีคนวัยวุฒิ คุณวุฒิไม่มาก มาพูดจาดูหมิ่นน้ำไจกันอย่างแรงถึงถิ่นจึงยอมรับไม่ได้
ความคิดเห็นที่ 9
ขอมีส่วนร่วมกับ จขกท เรื่องความสำคัญของภาคอีสาน กล่าวคือ

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช  หลังพิธีบรมราชาภิเษก
ได้มีพระราชประสงค์จะเสด็จเยี่ยมราษฎรในภาคอีสานเป็นแห่งแรก
เพราะทรงเห็นว่า  เป็นถิ่นทุรกันดาร  ประชาชนยังประสบความยากลำบาก
และพระองค์ก็เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกที่เสด็จไปเยี่ยมราษฎรในภาคอีสาน  

และการที่พระองค์ทรงสร้างพระตำหนักภูพานราชนิเวศน์  ที่จังหวัดสกลนคร  
ซึ่งเป็นจังหวัดที่ทราบกันว่า เป็นพื้นที่สีชมพู
ก็เป็นกลวิธีที่จะช่วยบรรเทาปัญหาคอมมูนิสต์ในประเทศไทย

อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/report/464934
ความคิดเห็นที่ 17
เล่าให้ฟังนิดหนึ่งนะครับ...

แม่ผมจบป.๒ แกอ่านไม่ออกเขียนไม่เป็น   เคยบอกผมว่า  "ผู้อื่นสิย่องว่าดี  ก๋ะบ่อซั่มแม่เจ้าของป้อยให้ดอก"  แปลว่า  "ถึงคนอื่นเขาจะมาชื่นชมลูกว่าดีขนาดไหน  แต่ก็ไม่เท่ากับแม่ตัวเองด่าหรอก"    ตอนนั้นผมไม่เก็ทเลย   พอโตขึ้นมาถึงตระหนักว่า   คำพูดของคนไร้การศึกษาจากอีสานบ้านนอกคนนี้คมลึกทีเดียว
ความคิดเห็นที่ 12
คำที่ดูหมิ่นคนอีสานมีอยู่หลายคำ คำว่า "ข้าวเหนียว"

ก็มีความหมายในเชิงดูถูกคนอีสาน แม้แต่พรรคการเมืองที่ควรทำหน้าที่ดูแลประชาชน

ก็ไม่วายที่จะดูถูกคนอีสาน และ พรรคการเมืองนั้นคือ "พรรคประชาธิปัตย์"

กล่าวคือ ในช่วงที่นาย ควง อภัยวงค์ หัวหน้าพรรค ปชป เป็นนายกรัฐมนตรี

ส.ส อีสาน คนหนึ่งคิอ นาย ทองอินทร์ ภูริพัฒน์ ได้เสนอร่าง พรบ ที่ชื่อว่า

"ร่างพ.ร.บ ค่าใช้จ่ายประชาชนในภาวะคับขัน"

แต่พลพรรค ปชป กลับ ดูถูก เหยียดหยาม และเรียก พ.ร.บ นี้ว่า

พ.ร.บ ปักป้ายข้าวเหนียว

http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=phonlawat&date=14-12-2007&group=17&gblog=1

ป.ล ถ้าถือตามปัจจุบัน นาย ควง อภัยวงค์ หัวหน้าพรรค ปชป คนแรก ก็คือคนต่างชาติ

เพราะนาย ควง เกิดที่พระตะบอง ซึ่งถือเป็นของ เขมร ในปัจจุบัน

รูป นาย ควง ที่มีฉายาว่า "ตลกหลวง"




cnck
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่