ตลกชะมัดที่เราสามารถเดินทางไปที่ไหนก็ได้ในโลกด้วยพุดดิ้ง
คงเป็นความรู้สึกภาคภูมิใจและตลกในใจแปลก ๆ เวลาที่เราคิดอะไรในแบบที่คนอื่นคิดไม่ได้ เวลาที่เราฝังตัวอยู่ในโลกส่วนตัว มองสิ่งต่าง ๆ ผ่านแว่นตาของตัวเอง อาจทำให้เรามองเห็นแต่ตัวเองก็เป็นได้ แต่บางครั้ง มันก็ทำให้เราเกิดความรู้สึกผูกพันกับสิ่งที่เรามอง ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง โดยปราศจากการชักนำหรือจูงใจจากคนอื่นหรือปัจจัยภายนอก สิ่งนี้เองทำให้ผมรู้สึกเชื่อมโยงกับแบร์รี่ อีแกน (Adam Sandler) เขามีลักษณะของความเป็นนักสังเกตการณ์ (Observer) ซึ่งมักหลบเลี่ยงภาวะที่ต้องเกี่ยวข้องกับอารมณ์ที่ซับซ้อน ดำเนินชีวิตโดยวางตัวอยู่ห่าง ๆ คอยสังเกตการณ์มากกว่าจะนำตนเข้าไปข้องแวะ และด้วยทักษะความเป็นคนช่างสังเกตนี่เองที่ทำให้เขาประสบกับเรื่องราวทั้งที่ดีและไม่ดีประเดประดังเข้ามา…
Punch-Drunk Love จัดเป็นหนังตลกร้ายที่ทำให้ผมเผลอนึกถึงหนังไทยยุคหลัง ๆ ที่เคยดู เช่น มนต์รักทรานซิสเตอร์ (2001), เฉิ่ม (2005) ซึ่งตัวเอกต้องเผชิญกับบททดสอบนานาประการที่ถูกจับโยนเข้ามาให้รับมือ การดำเนินเรื่องมีลักษณะคล้ายกับผืนทะเลราบเรียบที่อยู่ ๆ ถูกจู่โจมด้วยพายุลมแรงและกำแพงคลื่นยักษ์ การเล่าเรื่องโดดเด่นด้วยการใช้ภาพและเสียงสื่ออารมณ์ ทั้งยังแฝงไปด้วยสัญลักษณ์ต่าง ๆ ที่ใส่เข้ามาอย่างโจ่งแจ้ง จนบางครั้งมีลักษณะของความเหนือจริง (Surrealism) อยู่บ้าง
ผมยอมรับว่าเสพหนังของ Paul Thomas Anderson น้อยมาก เรื่องที่เคยผ่านตามีเพียง There Will Be Blood (2007) ที่มีบรรยากาศเข้มข้นและชวนอึดอัด แต่เมื่อเทียบกับเรื่องนี้แล้ว Punch-Drunk Love ดูง่ายกว่า และถ้าจะให้คำนิยามสั้น ๆ สำหรับหนังเรื่องนี้ ผมคงจะจำกัดความเอาเองว่า “Earlier escape, end-up enlightened” หนังเล่าเรื่องของแบร์รี่ เจ้าของกิจการที่ปั๊มชักโครก ผู้ประสบปัญหาในการปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง นอกจากจะต้องรับมือกับความรู้สึกไม่พอใจในตัวเองอยู่ลึก ๆ แล้ว เขายังต้องปวดหัวกับความเจ้ากี้เจ้าการของพี่สาวเจ็ดคนอีกด้วย นี่เป็นหนังรอม-คอมที่มีสไตล์เป็นเอกลักษณ์ ด้วยเทคนิคการใช้ภาพและเสียงเป็นองค์ประกอบในการเล่าเรื่องได้อย่างกลมกล่อม
…
สัญลักษณ์เด่น ๆ ที่ปรากฏในหนัง
ฮาโมเนียม (Harmonium: ลักษณะคล้ายเปียโนขนาดเล็ก) อาจสื่อถึง
การสร้างความสัมพันธ์ หลังจากที่รถพลิกคว่ำให้แบร์รี่เห็นต่อหน้าต่อตาแล้ว ก็ปรากฏแท๊กซี่สีแดงอีกคันแล่นมาจอดลงที่หน้าประตูบริษัท นำฮาโมเนียมมาวางทิ้งไว้ แล้วก็จากไป ฉากนี้ผู้ชมจะได้รับประสบการณ์เดียวกันกับแบร์รี่คือ ตะลึงงันว่า เกิดอะไรขึ้น ? ทำไมอยู่ ๆ รถถึงนำฮาโมเนียมมาทิ้งไว้หน้าบริษัท ? ไม่กี่นาที ก็มีรถอีกคันแล่นเข้ามาและมีสตรีชุดแดงนาม ลีนา เลนเนิร์ด (Emily Watson) ลงจากรถ เข้ามาขอจอดทิ้งไว้เพื่อรอให้บริษัทซ่อมมารับไป หลังจากนั้น แทบทุกครั้งที่สองคนนี้พบกัน จะปรากฏฮาโมเนียมตัวนี้เข้าฉากด้วย ราวกับเป็นประจักษ์พยานการสานสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสอง ฮาโมเนียมได้ปรากฏตัวในหลาย ๆ ฉาก เช่น ฉากการพบกันครั้งแรกระหว่างแบร์รี่และลีนา ฉากการสนทนาในห้องทำงานส่วนตัวของเขา หรือกระทั่งในฉากจบ แบร์รี่ก็ยังอุตสาห์แบกฮาโมเนียมไปพบกับลีนาที่หน้าประตูห้องของหล่อน

นอกจากนี้ ฮาโมเนียมอาจสื่อถึงความรักที่จู่ ๆ ก็โผล่มาสร้างสีสันในชีวิตของเขาโดยไม่ทันตั้งตัวเช่นเดียวกับที่มาอันเป็นปริศนาของฮาโมเนียม โดยก่อนหน้านี้ แบร์รี่ลังเลที่จะยกมันมาไว้ในห้องทำงานส่วนตัว จนกระทั่งมีรถบรรทุกคันใหญ่พุ่งเข้ามาจะชนฮาโมเนียมราวกับจะเตือนว่า ถ้าให้แล้วไม่เอา ก็จะริบคืนล่ะ แต่แบร์รี่ก็คว้าโอกาสนั้นไว้ทัน จากนั้นเขาได้ลองซ่อมและเรียนรู้ที่จะกดโน๊ตทีละตัวเพื่อฟังเสียง ซึ่งตรงนี้เองอาจสื่อได้เช่นกันว่าเขาเริ่มเรียนรู้ที่จะสร้างความสัมพันธ์กับสิ่งอื่นนอกเหนือจากตัวเขาเอง
พุดดิ้ง หากสังเกตบทสนทนาในฉากเปิดเรื่อง เราจะเห็นแบร์รี่นั่งคุยโทรศัพท์เกี่ยวกับโบนัสสะสมไมล์สายการบินที่แถมมากับสินค้ากับบริษัทผู้จัดโปรโมชัน เขาไม่ใช่คนชอบเดินทาง แต่ก็ยังเสาะหาโบนัสสายการบินที่เขาคิดว่าคุ้มค่า ซึ่งโบนัสที่แถมมากับพุดดิ้งนี่เองคือสิ่งที่เขาคิดว่าคุ้มทุนที่สุด ในเรื่อง พุดดิ้งมักสื่อ
ความต้องการหลบหนีจากความจริงของแบร์รี่ ซึ่งในเริ่มแรก มันเป็นเพียงสิ่งที่เบี่ยงเบนความสนใจของเขาจากการรังควานของพี่สาวทั้งเจ็ดและความผิดหวังจากเรื่องราวต่าง ๆ ที่ไม่ได้ดั่งใจ แต่หลังจากพบกับลีนาและได้รับรู้ว่างานของเธอเกี่ยวข้องกับการเดินทางไปต่างประเทศบ่อย ๆ แต้มสะสมไมล์จึงเริ่มมีความสำคัญกับแบร์รี่มากขึ้น
ในช่วงกลางเรื่อง แบร์รี่ตั้งใจจะใช้แต้มพุดดิ้งเดินทางไปฮาวายเพื่อหลบเลี่ยงแก๊งมิจฉาชีพที่ตามคุกคามชีวิต แต่เมื่อเขาทราบความจริงจากปากบริษัทพุดดิ้งว่าบริษัทไม่สามารถแลกแต้มสะสมไมล์ได้ทันที เพราะกระบวนดังกล่าวต้องใช้เวลานาน 6-8 สัปดาห์ วินาทีนั้นเขาก็ตัดสินใจไปหาลีนาที่ฮาวายด้วยเงินของตัวเอง ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยนึกอยากหรือริเริ่มที่จะออกนอกประเทศแม้แต่ครั้งเดียว ณ ตอนนั้น เขาเลิกพึ่งพาพุดดิ้งและเข้าควบคุมสถานการณ์ด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นขั้นแรกที่เขาทำลายกำแพงข้ออ้างของตัวเองได้สำเร็จ
โทรศัพท์ เป็นสิ่งที่ยึดโยงกับแบร์รี่ตลอดทั้งเรื่อง แม้ว่าโทรศัพท์จะเป็นเครื่องมือสื่อสาร แต่ขณะเดียวกันก็เป็นกำแพงที่ทำให้เขาไม่สามารถพูดสิ่งที่อยากพูดได้ เขามักเป็นฝ่ายประนีประนอมกับอีกปลายสายอยู่เสมอ ทั้งที่บางครั้ง ในใจอยากตะโกนใส่หูฟังก็ตาม ดังเราจะเห็นได้จากลักษณะการคุยโทรศัพท์ที่นอบน้อมและสุภาพกับพี่สาว สาวไซด์ไลน์ หรือแม้กระทั่งกับหัวหน้าแก๊งที่หลอกกินเงินเขา สำหรับแบร์รี่ โทรศัพท์เป็นสัญลักษณ์ของ
การเชื่อมโยงกับโลกภายนอก ในช่วงต้นเรื่อง เราแทบไม่เห็นเขาอยากออกไปไหน หากไม่ไปที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต เขาก็จะขลุกตัวอยู่แต่ในห้องทำงาน สำหรับเขา การคุยโทรศัพท์ทำให้เขาไม่รู้สึกอึดอัด อาจเป็นเพราะโทรศัพท์ทำให้เขาไม่ต้องคอยสังเกตสีหน้าหรืออ่านปฏิกิริยาของฝ่ายตรงข้ามก็เป็นได้ ฉากหนึ่งที่พี่สาวบอกเขาว่ามีสาวอยากแนะนำให้รู้จักในปาร์ตี้มื้อค่ำ เราจะเห็นเขาแสดงความกังวลออกมา “ผมไม่ชอบให้คนมอง มันอึดอัดน่ะ และผมทำตัวไม่ถูกด้วย”
ในช่วงต้นเรื่อง เราจะเห็นว่าแบร์รี่มีบุคลิกเก็บกดและพร้อมจะระเบิดได้ทุกเมื่อหากถูกสะกิดแรง ๆ หนังเผยให้เห็นถึงด้านที่รุนแรงของเขาอยู่เรื่อย ๆ จากฉากทุบกระจก พังห้องน้ำ หรือต่อยฝาผนัง ซึ่งหากพิจารณาลึก ๆ แล้วเค้าไม่ใช่คนที่มีแนวโน้มโหดร้ายหรือป่าเถื่อน แต่มีลักษณะของการปลดปล่อยอันเกิดจากสภาวะอัดอั้น หาที่ระบายไม่ได้ (ขาดคนรับฟังหรือพูดคุยให้คำปรึกษา) เมื่อถึงจุดระเบิด แบร์รี่จะลงมือกับสิ่งของ แต่ไม่ลงมือกับคน บางครั้งก็ร้องไห้เหมือนเด็กเพราะทำอะไรไม่ได้ ดังนั้น โทรศัพท์จึงเป็นทางออกเพียงอย่างเดียวที่เขาจะระบายความเหงาและความโดดเดี่ยวออกมาได้ ทางเลือกโง่ ๆ ของชายผู้อับจนคือ การใช้บริการเซ็กส์โฟน เขาหวังว่าสาวไซด์ไลน์จะเป็นเพื่อนคุยคลายเหงาได้บ้าง แต่หนังก็ใส่สถานการณ์แบบไดเล็มม่า (Dilemma) เข้ามา เขาถูกบริการเซ็กส์โฟนข่มขู่เอาเงิน การถูกพี่สาวเจ็ดคนคอยตอแยก็แย่พออยู่แล้ว แก๊งมิจฉาชีพที่ตามรังควานจึงเปรียบเสมือนอีกด้านหนึ่งของกำแพงเหล็กที่บีบอัดแบร์รี่ชิดกับกำแพงอีกด้าน

ในช่วงคลี่คลายปมท้ายเรื่อง แบร์รี่หันมาเป็นฝ่ายรุกด้วยการโทรจี้โอเปอเรเตอร์เพื่อขอคุยกับผู้จัดการหรือหัวหน้าแก๊งโดยตรง แต่ทั้งคู่กลับทะเลาะกันจนแตกหักมากขึ้น วินาทีนั้นโทรศัพท์-จากเครื่องมือที่ช่วยเป็นเกาะกำบังจากโลกภายนอกให้แบร์รี่-ได้กลายเป็นส่วนเกินที่ไม่ต้องการ ในสายตาเขา มันทำงานไม่ได้ประสิทธิภาพอีกต่อไป การดึงสายโทรศัพท์จนขาด สื่อว่าเขาเลิกหลบลี้ตนเองจากโลกภายนอกและออกมาเผชิญหน้ากับความเป็นจริง เราจะเห็นเขาถือหูฟังพร้อมสายที่ขาดบินไปถึงยูทาห์เพื่อเคลียร์เรื่องราวกับดีม ทรัมเบลล์ (Philip Seymour Hoffman) ซึ่งเปิดร้านที่นอนบังหน้า ขากลับเขายื่นหูฟังให้กับคนในร้าน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์สื่อว่าเขาเลือกที่จะเชื่อมโยงกับโลกด้วยตัวเองหลังจากที่หลบอยู่หลังโทรศัพท์มานาน
(มีต่อ)
รีวิวหนัง: ปล่อยให้พุดดิ้งพัดพาเราไปใน Punch-Drunk Love (2002)
คงเป็นความรู้สึกภาคภูมิใจและตลกในใจแปลก ๆ เวลาที่เราคิดอะไรในแบบที่คนอื่นคิดไม่ได้ เวลาที่เราฝังตัวอยู่ในโลกส่วนตัว มองสิ่งต่าง ๆ ผ่านแว่นตาของตัวเอง อาจทำให้เรามองเห็นแต่ตัวเองก็เป็นได้ แต่บางครั้ง มันก็ทำให้เราเกิดความรู้สึกผูกพันกับสิ่งที่เรามอง ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง โดยปราศจากการชักนำหรือจูงใจจากคนอื่นหรือปัจจัยภายนอก สิ่งนี้เองทำให้ผมรู้สึกเชื่อมโยงกับแบร์รี่ อีแกน (Adam Sandler) เขามีลักษณะของความเป็นนักสังเกตการณ์ (Observer) ซึ่งมักหลบเลี่ยงภาวะที่ต้องเกี่ยวข้องกับอารมณ์ที่ซับซ้อน ดำเนินชีวิตโดยวางตัวอยู่ห่าง ๆ คอยสังเกตการณ์มากกว่าจะนำตนเข้าไปข้องแวะ และด้วยทักษะความเป็นคนช่างสังเกตนี่เองที่ทำให้เขาประสบกับเรื่องราวทั้งที่ดีและไม่ดีประเดประดังเข้ามา…
Punch-Drunk Love จัดเป็นหนังตลกร้ายที่ทำให้ผมเผลอนึกถึงหนังไทยยุคหลัง ๆ ที่เคยดู เช่น มนต์รักทรานซิสเตอร์ (2001), เฉิ่ม (2005) ซึ่งตัวเอกต้องเผชิญกับบททดสอบนานาประการที่ถูกจับโยนเข้ามาให้รับมือ การดำเนินเรื่องมีลักษณะคล้ายกับผืนทะเลราบเรียบที่อยู่ ๆ ถูกจู่โจมด้วยพายุลมแรงและกำแพงคลื่นยักษ์ การเล่าเรื่องโดดเด่นด้วยการใช้ภาพและเสียงสื่ออารมณ์ ทั้งยังแฝงไปด้วยสัญลักษณ์ต่าง ๆ ที่ใส่เข้ามาอย่างโจ่งแจ้ง จนบางครั้งมีลักษณะของความเหนือจริง (Surrealism) อยู่บ้าง
ผมยอมรับว่าเสพหนังของ Paul Thomas Anderson น้อยมาก เรื่องที่เคยผ่านตามีเพียง There Will Be Blood (2007) ที่มีบรรยากาศเข้มข้นและชวนอึดอัด แต่เมื่อเทียบกับเรื่องนี้แล้ว Punch-Drunk Love ดูง่ายกว่า และถ้าจะให้คำนิยามสั้น ๆ สำหรับหนังเรื่องนี้ ผมคงจะจำกัดความเอาเองว่า “Earlier escape, end-up enlightened” หนังเล่าเรื่องของแบร์รี่ เจ้าของกิจการที่ปั๊มชักโครก ผู้ประสบปัญหาในการปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง นอกจากจะต้องรับมือกับความรู้สึกไม่พอใจในตัวเองอยู่ลึก ๆ แล้ว เขายังต้องปวดหัวกับความเจ้ากี้เจ้าการของพี่สาวเจ็ดคนอีกด้วย นี่เป็นหนังรอม-คอมที่มีสไตล์เป็นเอกลักษณ์ ด้วยเทคนิคการใช้ภาพและเสียงเป็นองค์ประกอบในการเล่าเรื่องได้อย่างกลมกล่อม
…
สัญลักษณ์เด่น ๆ ที่ปรากฏในหนัง
ฮาโมเนียม (Harmonium: ลักษณะคล้ายเปียโนขนาดเล็ก) อาจสื่อถึงการสร้างความสัมพันธ์ หลังจากที่รถพลิกคว่ำให้แบร์รี่เห็นต่อหน้าต่อตาแล้ว ก็ปรากฏแท๊กซี่สีแดงอีกคันแล่นมาจอดลงที่หน้าประตูบริษัท นำฮาโมเนียมมาวางทิ้งไว้ แล้วก็จากไป ฉากนี้ผู้ชมจะได้รับประสบการณ์เดียวกันกับแบร์รี่คือ ตะลึงงันว่า เกิดอะไรขึ้น ? ทำไมอยู่ ๆ รถถึงนำฮาโมเนียมมาทิ้งไว้หน้าบริษัท ? ไม่กี่นาที ก็มีรถอีกคันแล่นเข้ามาและมีสตรีชุดแดงนาม ลีนา เลนเนิร์ด (Emily Watson) ลงจากรถ เข้ามาขอจอดทิ้งไว้เพื่อรอให้บริษัทซ่อมมารับไป หลังจากนั้น แทบทุกครั้งที่สองคนนี้พบกัน จะปรากฏฮาโมเนียมตัวนี้เข้าฉากด้วย ราวกับเป็นประจักษ์พยานการสานสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสอง ฮาโมเนียมได้ปรากฏตัวในหลาย ๆ ฉาก เช่น ฉากการพบกันครั้งแรกระหว่างแบร์รี่และลีนา ฉากการสนทนาในห้องทำงานส่วนตัวของเขา หรือกระทั่งในฉากจบ แบร์รี่ก็ยังอุตสาห์แบกฮาโมเนียมไปพบกับลีนาที่หน้าประตูห้องของหล่อน
นอกจากนี้ ฮาโมเนียมอาจสื่อถึงความรักที่จู่ ๆ ก็โผล่มาสร้างสีสันในชีวิตของเขาโดยไม่ทันตั้งตัวเช่นเดียวกับที่มาอันเป็นปริศนาของฮาโมเนียม โดยก่อนหน้านี้ แบร์รี่ลังเลที่จะยกมันมาไว้ในห้องทำงานส่วนตัว จนกระทั่งมีรถบรรทุกคันใหญ่พุ่งเข้ามาจะชนฮาโมเนียมราวกับจะเตือนว่า ถ้าให้แล้วไม่เอา ก็จะริบคืนล่ะ แต่แบร์รี่ก็คว้าโอกาสนั้นไว้ทัน จากนั้นเขาได้ลองซ่อมและเรียนรู้ที่จะกดโน๊ตทีละตัวเพื่อฟังเสียง ซึ่งตรงนี้เองอาจสื่อได้เช่นกันว่าเขาเริ่มเรียนรู้ที่จะสร้างความสัมพันธ์กับสิ่งอื่นนอกเหนือจากตัวเขาเอง
พุดดิ้ง หากสังเกตบทสนทนาในฉากเปิดเรื่อง เราจะเห็นแบร์รี่นั่งคุยโทรศัพท์เกี่ยวกับโบนัสสะสมไมล์สายการบินที่แถมมากับสินค้ากับบริษัทผู้จัดโปรโมชัน เขาไม่ใช่คนชอบเดินทาง แต่ก็ยังเสาะหาโบนัสสายการบินที่เขาคิดว่าคุ้มค่า ซึ่งโบนัสที่แถมมากับพุดดิ้งนี่เองคือสิ่งที่เขาคิดว่าคุ้มทุนที่สุด ในเรื่อง พุดดิ้งมักสื่อความต้องการหลบหนีจากความจริงของแบร์รี่ ซึ่งในเริ่มแรก มันเป็นเพียงสิ่งที่เบี่ยงเบนความสนใจของเขาจากการรังควานของพี่สาวทั้งเจ็ดและความผิดหวังจากเรื่องราวต่าง ๆ ที่ไม่ได้ดั่งใจ แต่หลังจากพบกับลีนาและได้รับรู้ว่างานของเธอเกี่ยวข้องกับการเดินทางไปต่างประเทศบ่อย ๆ แต้มสะสมไมล์จึงเริ่มมีความสำคัญกับแบร์รี่มากขึ้น
ในช่วงกลางเรื่อง แบร์รี่ตั้งใจจะใช้แต้มพุดดิ้งเดินทางไปฮาวายเพื่อหลบเลี่ยงแก๊งมิจฉาชีพที่ตามคุกคามชีวิต แต่เมื่อเขาทราบความจริงจากปากบริษัทพุดดิ้งว่าบริษัทไม่สามารถแลกแต้มสะสมไมล์ได้ทันที เพราะกระบวนดังกล่าวต้องใช้เวลานาน 6-8 สัปดาห์ วินาทีนั้นเขาก็ตัดสินใจไปหาลีนาที่ฮาวายด้วยเงินของตัวเอง ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยนึกอยากหรือริเริ่มที่จะออกนอกประเทศแม้แต่ครั้งเดียว ณ ตอนนั้น เขาเลิกพึ่งพาพุดดิ้งและเข้าควบคุมสถานการณ์ด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นขั้นแรกที่เขาทำลายกำแพงข้ออ้างของตัวเองได้สำเร็จ
โทรศัพท์ เป็นสิ่งที่ยึดโยงกับแบร์รี่ตลอดทั้งเรื่อง แม้ว่าโทรศัพท์จะเป็นเครื่องมือสื่อสาร แต่ขณะเดียวกันก็เป็นกำแพงที่ทำให้เขาไม่สามารถพูดสิ่งที่อยากพูดได้ เขามักเป็นฝ่ายประนีประนอมกับอีกปลายสายอยู่เสมอ ทั้งที่บางครั้ง ในใจอยากตะโกนใส่หูฟังก็ตาม ดังเราจะเห็นได้จากลักษณะการคุยโทรศัพท์ที่นอบน้อมและสุภาพกับพี่สาว สาวไซด์ไลน์ หรือแม้กระทั่งกับหัวหน้าแก๊งที่หลอกกินเงินเขา สำหรับแบร์รี่ โทรศัพท์เป็นสัญลักษณ์ของการเชื่อมโยงกับโลกภายนอก ในช่วงต้นเรื่อง เราแทบไม่เห็นเขาอยากออกไปไหน หากไม่ไปที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต เขาก็จะขลุกตัวอยู่แต่ในห้องทำงาน สำหรับเขา การคุยโทรศัพท์ทำให้เขาไม่รู้สึกอึดอัด อาจเป็นเพราะโทรศัพท์ทำให้เขาไม่ต้องคอยสังเกตสีหน้าหรืออ่านปฏิกิริยาของฝ่ายตรงข้ามก็เป็นได้ ฉากหนึ่งที่พี่สาวบอกเขาว่ามีสาวอยากแนะนำให้รู้จักในปาร์ตี้มื้อค่ำ เราจะเห็นเขาแสดงความกังวลออกมา “ผมไม่ชอบให้คนมอง มันอึดอัดน่ะ และผมทำตัวไม่ถูกด้วย”
ในช่วงต้นเรื่อง เราจะเห็นว่าแบร์รี่มีบุคลิกเก็บกดและพร้อมจะระเบิดได้ทุกเมื่อหากถูกสะกิดแรง ๆ หนังเผยให้เห็นถึงด้านที่รุนแรงของเขาอยู่เรื่อย ๆ จากฉากทุบกระจก พังห้องน้ำ หรือต่อยฝาผนัง ซึ่งหากพิจารณาลึก ๆ แล้วเค้าไม่ใช่คนที่มีแนวโน้มโหดร้ายหรือป่าเถื่อน แต่มีลักษณะของการปลดปล่อยอันเกิดจากสภาวะอัดอั้น หาที่ระบายไม่ได้ (ขาดคนรับฟังหรือพูดคุยให้คำปรึกษา) เมื่อถึงจุดระเบิด แบร์รี่จะลงมือกับสิ่งของ แต่ไม่ลงมือกับคน บางครั้งก็ร้องไห้เหมือนเด็กเพราะทำอะไรไม่ได้ ดังนั้น โทรศัพท์จึงเป็นทางออกเพียงอย่างเดียวที่เขาจะระบายความเหงาและความโดดเดี่ยวออกมาได้ ทางเลือกโง่ ๆ ของชายผู้อับจนคือ การใช้บริการเซ็กส์โฟน เขาหวังว่าสาวไซด์ไลน์จะเป็นเพื่อนคุยคลายเหงาได้บ้าง แต่หนังก็ใส่สถานการณ์แบบไดเล็มม่า (Dilemma) เข้ามา เขาถูกบริการเซ็กส์โฟนข่มขู่เอาเงิน การถูกพี่สาวเจ็ดคนคอยตอแยก็แย่พออยู่แล้ว แก๊งมิจฉาชีพที่ตามรังควานจึงเปรียบเสมือนอีกด้านหนึ่งของกำแพงเหล็กที่บีบอัดแบร์รี่ชิดกับกำแพงอีกด้าน
ในช่วงคลี่คลายปมท้ายเรื่อง แบร์รี่หันมาเป็นฝ่ายรุกด้วยการโทรจี้โอเปอเรเตอร์เพื่อขอคุยกับผู้จัดการหรือหัวหน้าแก๊งโดยตรง แต่ทั้งคู่กลับทะเลาะกันจนแตกหักมากขึ้น วินาทีนั้นโทรศัพท์-จากเครื่องมือที่ช่วยเป็นเกาะกำบังจากโลกภายนอกให้แบร์รี่-ได้กลายเป็นส่วนเกินที่ไม่ต้องการ ในสายตาเขา มันทำงานไม่ได้ประสิทธิภาพอีกต่อไป การดึงสายโทรศัพท์จนขาด สื่อว่าเขาเลิกหลบลี้ตนเองจากโลกภายนอกและออกมาเผชิญหน้ากับความเป็นจริง เราจะเห็นเขาถือหูฟังพร้อมสายที่ขาดบินไปถึงยูทาห์เพื่อเคลียร์เรื่องราวกับดีม ทรัมเบลล์ (Philip Seymour Hoffman) ซึ่งเปิดร้านที่นอนบังหน้า ขากลับเขายื่นหูฟังให้กับคนในร้าน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์สื่อว่าเขาเลือกที่จะเชื่อมโยงกับโลกด้วยตัวเองหลังจากที่หลบอยู่หลังโทรศัพท์มานาน
(มีต่อ)