ประสบการณ์ที่คงจะต้องจดจำไปอีกนานสำหรับผม กับธนาคารสีเขียวครับ

รายละเอียดเยอะหน่อยนะครับ แต่อยากลงไว้เป็นประสบการณ์ครับ

ครอบครัวผมทำธุรกิจส่วนตัวครับ ไม่ได้จดทะเบียนบริษัท แล้วช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ประสบปัญหาทางธุรกิจอย่างมาก
รายรับไม่พอกับรายจ่ายมาตลอดครับ จึงมีภาระหนี้สินมากพอควรเลยครับ

คุณพ่อและคุณแม่ของผม เป็นลูกค้าของแบงค์สีเขียว และมีสินเชื่ออยู่หลายบัญชีครับ
ไม่ว่าจะเป็น เงินกู้, O/D, บัตรเครดิต, บัตรกดเงินสด รวมๆ แล้วก็เป็นหนี้อยู่หลายล้านบาทครับ

พอไม่ได้ส่งหนี้ทางธนาคารจึงมีการฟ้องร้องในที่สุด
คุณพ่อ และคุณแม่ผมจึงตัดสินใจขายหลักประกันที่ได้ค้ำประกันสินเชื่อไว้เพื่อมาชำระหนี้
ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้ (ตัวเลขจำนวนเงินผมเอาที่ใกล้เคียงเป็นตัวเลขกลมๆ นะครับ)

คุณแม่ผม มีสินเชื่อบัญชีเดี่ยวเป็น O/D 1 บัญชี

ที่เหลือเป็นบัญชีร่วมกับคุณพ่อ อีก 9 บัญชีครับ เป็น O/D 5 บัญชี
และ เงินกู้ 4 บัญชีครับ(ผมขอเรียกว่าบัญชี A – J นะครับ)

บัญชีกู้เดี่ยวของคุณแม่ บัญชี A วงเงิน 3 ลบ.

บัญชีกู้ร่วม บัญชี B วงเงิน 9 แสนบาท, บัญชี C วงเงิน 5 แสนบาท, บัญชี D วงเงิน 3 แสนบาท,
บัญชี E วงเงิน 1 ลบ., บัญชี F วงเงิน 2.6 ลบ., บัญชี G วงเงิน 8 แสนบาท, บัญชี H วงเงิน 2 แสนบาท,
บัญชี I วงเงิน 3 ลบ., และบัญชี J วงเงิน 3 แสนบาท,

โดยคุณพ่อ และคุณแม่ได้นำโฉนดที่ดินจำนองไว้กับธนาคารฯ ทั้งหมด 2 แปลงครับ

แปลงแรกเป็นชื่อของคุณแม่ครับ
เป็นที่ดินต่างจังหวัด ราคาประเมิน 10 ลบ.
ค้ำประกัน บัญชี A, B, C และ D ครับ

แปลงที่สองเป็นชื่อของคุณพ่อครับ
เป็นตึกแถวที่กรุงเทพฯ ราคาประเมิน 4 ลบ. และหนังสือค้ำประกันของ บสย. อีก 4 ลบ.
ค้ำประกัน บัญชี E, F, G, H, I

คุณพ่อกับคุณแม่ ได้ติดต่อให้นายหน้าขายที่ดินทั้ง 2 แปลงนี้ให้ครับ
ในที่สุดแปลงต่างจังหวัดที่เป็นชื่อของคุณแม่มีคนติดต่อซื้อมาครับ แต่ขอต่อรองราคา

เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2559 ผมและคุณแม่จึงได้เข้าไปเจรจากับธนาคารสีเขียวแถวๆ สุทธิสาร
เพื่อจะขอขายที่ดินแปลงแรกเพื่อจะได้ปลดหนี้ไปได้บ้าง ทางธนาคารจึงแจ้งว่าหากคุณแม่ผม
จะขายที่ดินแปลงแรกนั้น จะต้องชำระหนี้บัญชี A, B, C, D และบัตรเครดิตชื่อคุณแม่ทั้งหมด
โดยมียอดรวมประมาณ 6 ลบ. ธนาคารฯ จึงจะยอมให้ไถ่ถอนจำนองที่ดินแปลงแรกได้
คุณแม่จึงตกลงตามนั้น และได้ต่อรองราคากับผู้ที่จะซื้อที่ดินโดยตกลงราคากันได้ที่ 6 ลบ.เศษ
เพราะคุณแม่เข้าใจว่าจะต้องใช้หนี้ธนาคารฯ ประมาณ 6 ลบ. ตามที่ตกลงกันไว้

ครั้นพอจะทำการโอนกรรมสิทธิ์กับผู้ซื้อ ในวันที่ 22 พฤศจิกายน 2559
ผมและคุณแม่จึงเข้าไปสอบถามยอดหนี้ที่ต้องชำระที่แน่นอนอีกครั้ง
ธนาคารฯได้แจ้งยอดหนี้ที่ต้องชำระเป็นยอด 8 ลบ.โดยแจ้งว่าที่ดินแปลงดังกล่าว
มีการปรับราคาประเมินสูงขึ้น(ในเวลาไม่ถึง 2 เดือน) จึงไม่สามารถให้ชำระยอด 6 ลบ.
ตามที่ตกลงกันไว้ได้ คุณแม่ได้สอบถามทางธนาคารว่า ครั้งที่แล้วเราตกลงกันไว้แล้วมิใช่หรือ
แล้วที่ทางคุณแม่ได้ตกลงซื้อขายกับลูกค้าในราคา 6 ลบ.เศษ ไปแล้วจะทำอย่างไร คงไม่พอจ่ายหนี้
ธนาคารฯ ให้คำตอบว่า ให้ไปขายใหม่ หรือไม่ก็โอนทรัพย์ชำระหนี้ให้กับทางธนาคาร
โดยโอนได้ 75 % ของราคาประเมิน ผมและคุณแม่จึงเดินจากธนาคารฯสีเขียว ออกมา

ประสบการณ์ครั้งนี้ เป็นบทเรียนครั้งสำคัญว่าจริงๆ แล้ว เมื่อเราเจอปัญหาหนักๆ
และเราพยายามที่จะหาทางออกให้ได้ จนเกือบจะได้แล้ว
ธนาคารฯ ซึ่งผมเคยได้ยินเสมอว่า “มีปัญหาอะไร ให้เข้ามาคุยกะแบงค์ซิ แบงค์จะช่วยได้นะ”
ไม่เป็นความจริงสำหรับแบงค์สีเขียว ผมต่างหากที่จะต้องเตรียมตัวไปสู้กับแบงค์ หากต้องการเข้าไปเจรจา


ขอบคุณที่อ่านครับ ผมแค่อยากเข้ามาระบายไว้เป็นประสบการณ์น่ะครับ
ชีวิตต้องสู้กันต่อไปครับ  ขอบคุณครับ^^


..........................................................
ตอบคุณหมูน้อยบางวัว ครับ

1. ราคาประเมิน 10 ล้านบาท เป็นราคาประเมินใหม่ที่ธนาคารฯ อ้างไว้เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2559 ครับ
ราคาประเมินเดิมคือ 6.6 ลบ. ครับ ธนาคารฯ อ้างขึ้นมาเพื่อจะสร้างเงื่อนไขใหม่ให้ไถ่ถอนไม่ได้ครับ
เพราะทางธนาคารฯ ทราบดี ตั้งแต่วันที่ 5 ตุลาคม 2559 แล้วว่าคุณแม่ผมจะขายที่ดินประมาณ 6 ลบ. เศษ
โดยจ่ายหนี้ 6 ล้าน แล้วจะมีเงินสดเหลือประมาณ 5 แสนบาทครับ ในวันนั้นตกลงกันได้ด้วยดีเลยครับ

ในวันที่ 22 พฤศจิกายน 2559 ธนาคารฯยังแจ้งอีกว่าหากไถ่ถอนจำนองหลักทรัพย์แปลงแรกไปให้
หนี้ที่เหลือ(บัญชี E, F, G, H และ I) จะไม่คุ้มกับหลักทรัพย์ที่ค้ำประกัน
ซึ่งไม่จริงครับ เพราะหากไถ่ถอนหลักทรัพย์แล้วหนี้จะเหลือประมาณ 8 ลบ.
และหลักทรัพย์แปลงที่สอง+บสย. ก็มูลค่าประมาณ 8 ลบ. เช่นกันครับ

ธนาคารฯ ตั้งใจจะทำผิดข้อตกลงตั้งแต่แรกแล้วครับ

2. ในการต่อรองราคาซื้อขายกับผู้ซื้อที่ราคา 6 ลบ. เศษ เพราะคุณแม่ผมเข้าใจว่าต้องชำระหนี้แค่ 6 ลบ.
เพื่อปิดหนี้ บัญชี A, B, C, D และบัตรเครดิตของคุณแม่ทั้งหมดครับ จึงขายแค่เท่าราคาประเมินเดิม
และคุณแม่ได้ต่อรองให้ผู้ซื้อชำระค่าธรรมเนียมต่างๆ ที่สำนักงานที่ดินทั้งหมด
ยกเว้นภาษีเงินได้คุณแม่ชำระเองครับ

3. หากโอนทรัพย์ชำระหนี้ได้ 7.5 ลบ. โดยที่ธนาคารยังเรียกเก็บหนี้ 8 ลบ. เท่ากับว่ายังไม่พอใช้หนี้ครับ
อีกทั้งยังต้องมีค่าธรรมเนียมต่างๆ ที่คุณแม่ต้องจ่ายที่สำนักงานที่ดินอีกครับ คุณแม่คิดว่าคงไม่คุ้ม
เลยเลิกเจรจาในวันนั้นครับ

ที่ผมตั้งกระทู้ เพียงแค่อยากระบายน่ะครับว่า เมื่อเราลำบากก็สุดๆ อย่าหวังให้ธนาคารฯ ช่วยครับ
เพราะยิ่งจำทำให้เราท้อมากกว่าเดิมครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่