สมัยก่อนคำพูดที่ว่า..."เงินทองคือของมายา ข้าวปลาสิของจริง"
หมายความว่า....สิ่งที่จำเป็นที่สุดก็คือข้าวปลาอาหาร
คือแม้มีเงินทองมากมายก็ไม่สามารถหาซื้ออาหารเหล่านั้นได้ เพราะไม่มีสินค้านั้น
ต่อมา...กลับไม่เป็นเช่นนั้น เงินทองหายากกว่าสินค้า ข้าวปลาหาไม่ยากถ้ามีเงินซื้อ...คนใช้เงินเพื่อบำรุงบำเรอความสุขในชีวิต เงินจึงหายากเพราะต้องแข่งขันกันหาเงิน ไม่ได้ปลูกหรือเลี้ยงขึ้นมาเองอย่างข้าวปลาทั้งหลาย
นักการเมืองรู้ดีว่าเงินหายาก..ประชาชนต้องการเงิน ก็ชอบเอานโยบายกระชากเงินมาเข้ากระเป๋าประชาชน รวมทั้งตนเองด้วยจึงหาเรื่องใช้เงินจนเกิดหนี้สินมหาศาลบ้านเมืองย่ำแย่ ประชาชนต้องมีภาระหนี้ตามไปด้วย..แต่ตัวนักการเมืองเองร่ำรวยแทน
ปัจจุบันนี้ต้องบอกว่า...."พวกนักการเมืองคือของมายา หนี้ตามมาสิของจริง"


อ่านข่าวแล้วเพลียใจค่ะ....
สบน.เผยหนี้จำนำข้าวคงเหลือ 4.2 แสนล้านบาท ตั้งงบใช้หนี้ปี 60 ไว้ 3.6 หมื่นล้าน ระบุหากจ่ายแบบนี้ ประมาณ 18 ปีถึงจะหมด ด้าน "บิ๊กต๊อก"ย้ำ 6 พันรายชื่อ ยังไม่รู้ใครต้องจ่ายเท่าไร ลั่นใครคิดว่าไม่ผิด ก็ให้ไปสู้กันในศาล
นายธีรัชย์ อัตนวานิช รองผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) กระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เงินกู้โครงการรับจำนำข้าว ล่าสุดมีหนี้คงค้าง 4.2 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 6.7% ของหนี้สาธารณะทั้งหมด โดยปีงบประมาณ 2559 ได้มีการใช้หนี้ไปแล้วประมาณ 4 หมื่นล้านบาท เป็นเงินจากการขายข้าวในสต๊อก และจากเงินงบประมาณ และในปีงบประมาณ 2560 ได้ตั้งงบประมาณใช้หนี้เงินต้นและดอกเบี้ยไว้อีก 3.6 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นเงินต้น 2.3 หมื่นล้านบาท ดอกเบี้ย 1.3 หมื่นล้านบาท
"ได้พยายามยืดภาระหนี้ไปให้ยาวที่สุด จากเดิมเป็นเงินกู้ระยะสั้นจากธนาคาร 1-3 ปี โดยขณะนี้เฉลี่ยอายุเงินกู้อยู่ที่ 3.1 ปี และมีภาระดอกเบี้ยเฉลี่ยประมาณ 2.4% ซึ่งเงินที่นำมาใช้หนี้หลักๆ เป็นเงินจากการระบายข้าว หากขาดเหลือเท่าไร รัฐบาลต้องตั้งงบประมาณมาชดเชย"
เมื่อถามถึงกรณีที่จะรัฐบาลกำลังสอบสวนผู้ที่เกี่ยวข้องกับโครงการจำนำข้าว 6 พันราย เพื่อหาคนที่ต้องรับผิดชอบในส่วนที่เหลือ 80% ของความเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าว 1.42 แสนล้านบาท นายธีรัชย์ กล่าวว่า ไม่ทราบในส่วนนี้ เพราะ สบน. มีหน้าที่จัดหาเงินกู้ให้ตามคำสั่งของฝ่ายนโยบายเท่านั้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ผ่านมา ได้มีการขายข้าวในสต๊อกเพื่อนำมาใช้หนี้ และจนถึงขณะนี้ เหลือข้าวในสต็อกจำนวนหนึ่ง แต่ยังมีปัญหาในการระบาย หากต้องพึ่งพางบประมาณใช้หนี้เพียงอย่างเดียว และได้รับจัดสรรระดับเดียวกับปีงบประมาณ 2560 คาดว่าจะต้องใช้เวลาถึง 18 ปี จึงจะใช้หนี้ได้หมด
ที่กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม ในฐานะประธานศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) กล่าวถึงการดำเนินการหลังทราบรายชื่อ 6,000 ราย ที่เกี่ยวข้องกับการเรียกค่าเสียหายในคดีรับจำนำข้าว ส่วนที่เหลืออีก 80% ว่า พูดหลายครั้งแล้วว่าต้องทราบตัวบุคคลที่เกี่ยวข้องก่อน แต่ไม่ได้หมายความว่ารายชื่อทั้งหมดจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบหรือไม่ต้องรับผิดชอบ เพราะยังไม่ทราบ ตนเองก็เคยบอกว่า รมว.ยุติธรรมไม่เคยรับรู้เรื่องกระบวนการซื้อขายข้าวเลย แต่ตนทำหน้าที่ในฐานะที่เป็นประธาน ศอตช. ที่คณะรัฐมนตีร (ครม.) สั่งให้ไปนำเอารายชื่อผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดออกมา มันคงจะต้องผ่าน ศอตช. ที่เขาเข้าใจและแยกแยะว่าคนกลุ่มไหน ชื่ออะไร ต้องรับผิดชอบคนละเท่าไร
"ผมไม่ได้มีหน้าที่ไปบอกว่าใครถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง มีหน้าที่เอารายชื่อมาให้รัฐบาลว่ามีใครเข้าไปเกี่ยวข้องบ้าง ถ้าท่านคิดว่าท่านถูก ก็ไปต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรม อะไรที่เห็นว่าเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง ก็ต้องไปต่อสู้กันในกระบวนการยุติธรรม ไม่ต้องมาต่อสู้กันในสื่อมวลชน มันมองถึงการสร้างการรับรู้ในแง่ประเด็นอื่นมากกว่าในกระบวนการยุติธรรม ผมคิดแบบนี้ เพราะผมเองก็ไม่เคยไปพูดอะไรมากมาย"พล.อ.ไพบูลย์กล่าว
http://m.manager.co.th/Daily/detail/9590000116543
ประชาชนก็รับผิดชอบกันไปทุกคน...


((มาลาริน)) "นักการเมืองคือภาพมายา หนี้ตามมาสิของจริง" ^_^ หนี้จำนำข้าวเหลือ4.2แสนล้าน เผยต้องใช้เวลา18 ปีถึงจ่ายหมด
หมายความว่า....สิ่งที่จำเป็นที่สุดก็คือข้าวปลาอาหาร
คือแม้มีเงินทองมากมายก็ไม่สามารถหาซื้ออาหารเหล่านั้นได้ เพราะไม่มีสินค้านั้น
ต่อมา...กลับไม่เป็นเช่นนั้น เงินทองหายากกว่าสินค้า ข้าวปลาหาไม่ยากถ้ามีเงินซื้อ...คนใช้เงินเพื่อบำรุงบำเรอความสุขในชีวิต เงินจึงหายากเพราะต้องแข่งขันกันหาเงิน ไม่ได้ปลูกหรือเลี้ยงขึ้นมาเองอย่างข้าวปลาทั้งหลาย
นักการเมืองรู้ดีว่าเงินหายาก..ประชาชนต้องการเงิน ก็ชอบเอานโยบายกระชากเงินมาเข้ากระเป๋าประชาชน รวมทั้งตนเองด้วยจึงหาเรื่องใช้เงินจนเกิดหนี้สินมหาศาลบ้านเมืองย่ำแย่ ประชาชนต้องมีภาระหนี้ตามไปด้วย..แต่ตัวนักการเมืองเองร่ำรวยแทน
ปัจจุบันนี้ต้องบอกว่า...."พวกนักการเมืองคือของมายา หนี้ตามมาสิของจริง"
อ่านข่าวแล้วเพลียใจค่ะ....
สบน.เผยหนี้จำนำข้าวคงเหลือ 4.2 แสนล้านบาท ตั้งงบใช้หนี้ปี 60 ไว้ 3.6 หมื่นล้าน ระบุหากจ่ายแบบนี้ ประมาณ 18 ปีถึงจะหมด ด้าน "บิ๊กต๊อก"ย้ำ 6 พันรายชื่อ ยังไม่รู้ใครต้องจ่ายเท่าไร ลั่นใครคิดว่าไม่ผิด ก็ให้ไปสู้กันในศาล
นายธีรัชย์ อัตนวานิช รองผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) กระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เงินกู้โครงการรับจำนำข้าว ล่าสุดมีหนี้คงค้าง 4.2 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 6.7% ของหนี้สาธารณะทั้งหมด โดยปีงบประมาณ 2559 ได้มีการใช้หนี้ไปแล้วประมาณ 4 หมื่นล้านบาท เป็นเงินจากการขายข้าวในสต๊อก และจากเงินงบประมาณ และในปีงบประมาณ 2560 ได้ตั้งงบประมาณใช้หนี้เงินต้นและดอกเบี้ยไว้อีก 3.6 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นเงินต้น 2.3 หมื่นล้านบาท ดอกเบี้ย 1.3 หมื่นล้านบาท
"ได้พยายามยืดภาระหนี้ไปให้ยาวที่สุด จากเดิมเป็นเงินกู้ระยะสั้นจากธนาคาร 1-3 ปี โดยขณะนี้เฉลี่ยอายุเงินกู้อยู่ที่ 3.1 ปี และมีภาระดอกเบี้ยเฉลี่ยประมาณ 2.4% ซึ่งเงินที่นำมาใช้หนี้หลักๆ เป็นเงินจากการระบายข้าว หากขาดเหลือเท่าไร รัฐบาลต้องตั้งงบประมาณมาชดเชย"
เมื่อถามถึงกรณีที่จะรัฐบาลกำลังสอบสวนผู้ที่เกี่ยวข้องกับโครงการจำนำข้าว 6 พันราย เพื่อหาคนที่ต้องรับผิดชอบในส่วนที่เหลือ 80% ของความเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าว 1.42 แสนล้านบาท นายธีรัชย์ กล่าวว่า ไม่ทราบในส่วนนี้ เพราะ สบน. มีหน้าที่จัดหาเงินกู้ให้ตามคำสั่งของฝ่ายนโยบายเท่านั้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ผ่านมา ได้มีการขายข้าวในสต๊อกเพื่อนำมาใช้หนี้ และจนถึงขณะนี้ เหลือข้าวในสต็อกจำนวนหนึ่ง แต่ยังมีปัญหาในการระบาย หากต้องพึ่งพางบประมาณใช้หนี้เพียงอย่างเดียว และได้รับจัดสรรระดับเดียวกับปีงบประมาณ 2560 คาดว่าจะต้องใช้เวลาถึง 18 ปี จึงจะใช้หนี้ได้หมด
ที่กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม ในฐานะประธานศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) กล่าวถึงการดำเนินการหลังทราบรายชื่อ 6,000 ราย ที่เกี่ยวข้องกับการเรียกค่าเสียหายในคดีรับจำนำข้าว ส่วนที่เหลืออีก 80% ว่า พูดหลายครั้งแล้วว่าต้องทราบตัวบุคคลที่เกี่ยวข้องก่อน แต่ไม่ได้หมายความว่ารายชื่อทั้งหมดจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบหรือไม่ต้องรับผิดชอบ เพราะยังไม่ทราบ ตนเองก็เคยบอกว่า รมว.ยุติธรรมไม่เคยรับรู้เรื่องกระบวนการซื้อขายข้าวเลย แต่ตนทำหน้าที่ในฐานะที่เป็นประธาน ศอตช. ที่คณะรัฐมนตีร (ครม.) สั่งให้ไปนำเอารายชื่อผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดออกมา มันคงจะต้องผ่าน ศอตช. ที่เขาเข้าใจและแยกแยะว่าคนกลุ่มไหน ชื่ออะไร ต้องรับผิดชอบคนละเท่าไร
"ผมไม่ได้มีหน้าที่ไปบอกว่าใครถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง มีหน้าที่เอารายชื่อมาให้รัฐบาลว่ามีใครเข้าไปเกี่ยวข้องบ้าง ถ้าท่านคิดว่าท่านถูก ก็ไปต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรม อะไรที่เห็นว่าเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง ก็ต้องไปต่อสู้กันในกระบวนการยุติธรรม ไม่ต้องมาต่อสู้กันในสื่อมวลชน มันมองถึงการสร้างการรับรู้ในแง่ประเด็นอื่นมากกว่าในกระบวนการยุติธรรม ผมคิดแบบนี้ เพราะผมเองก็ไม่เคยไปพูดอะไรมากมาย"พล.อ.ไพบูลย์กล่าว
http://m.manager.co.th/Daily/detail/9590000116543
ประชาชนก็รับผิดชอบกันไปทุกคน...