ตอน 37
ขณะที่แฟนสาวของนพคุณกำลังสนุกอยู่กับการไปขี่ม้าเล่นกับหนานอินเฟือนและอนุชิตซึ่งขี่จักรยานยนต์ตามไป ทิ้งให้แฟนหนุ่มพักอยู่ในห้องตามลำพัง หญิงสาวอีกคนก็ได้โอกาส
เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นทำให้นพคุณซึ่งอ่อนเพลียจากไข้หวัดลุกขึ้นจากเตียงโผเผมาเปิดประตู พลันที่บานประตูถูกเปิดออกหนุ่มรูปหล่อก็ต้องตกตะลึงด้วยคาดไม่ถึงเมื่อเห็นร่างที่ยืนรออยู่เบื้องหน้า
...เจ้าพี่ น้องมาหาแล้ว...
แววตาหวานหยาดเยิ้มราวจะบอกกับเขาอย่างนั้น เรือนร่างระหงในชุดพริ้วสีขาวยาวกรอมเท้าเนื้อลื่นค่อนข้างบางเบานั้นงามละมุนอ่อนหวานดุจภาพวาดของจิตรกรเรืองนาม เรือนผมดำขลับยาวสยายลงกรอบดวงหน้าหวานหยด ก่อนปล่อยลงคลุมบ่าสองข้างจนถึงถันอวบอิ่มซึ่งดันเนื้อผ้าให้เห็นเป็นรูปรอย ดวงตาสวยซึ้งจ้องประสานกันกับดวงตาของเขา อีกริมฝีปากนุ่มงามราวกลีบกุหลาบที่กำลังคลี่ยิ้มให้นั้นอีกล่ะ นี่มันเทพธิดาจากสรวงสวรรค์ชัดๆ
ร่างงามพิลาสก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามาในห้องโดยไม่ทันให้เชิญ นพคุณหายจากตกตะลึงรีบเดินตามมา ชายหนุ่มไม่กล้าปิดประตูห้องแต่ดวงหน้าหวานก็ผินมาบอกกับเขาว่า
“ช่วยปิดประตูทีเถิดค่ะ ดิฉันมีธุระสำคัญจะคุยด้วย ไม่ต้องการให้ใครเห็นว่ามาที่นี่”
หา...ให้ปิดประตูด้วย นพคุณออกอาการเงอะงะตกประหม่า แต่ก็เดินกลับไปงับบานประตูให้ปิดลงตามคำบอกแต่โดยดี
“เอ้อ เจ้ามีธุระอะไรจะคุยกับผมหรือครับ”
เมื่อเดินเข้ามาประจันหน้ากันชายหนุ่มก็ถามขึ้นอย่างสงสัย พยายามไม่จ้องไปที่ผิวขาวผ่องของเนินอกอิ่มซึ่งโผล่พ้นคอกว้างของชุดเนื้อเนียน แต่ถึงอย่างนั้นก็อดใจสั่นกับส่วนเว้าส่วนโค้งภายใต้เนื้อผ้าลื่นบางซึ่งไหลเลื่อนเคลื่อนไหวแนบเรือนกายตามจังหวะก้าวย่างไม่ได้ หนุ่มรูปหล่อลอบระบายลมหายใจที่ติดขัดออกมา รู้สึกลำคอแห้งผากกะทันหันจนเผลอกลืนน้ำลายลงคอไล่ความฝืดเคือง อาการไข้หวัดแทบจะหายเป็นปลิดทิ้ง
“ต้องมีธุระเท่านั้นหรอกหรือคะดิฉันจึงจะได้คุยกับคุณ”
น้ำเสียงหวานใสฉอเลาะเชิงตัดพ้อเช่นนี้ แม้ต่อให้ชายใจแข็งดังศิลาแกร่งก็อาจพังภินท์ นพคุณก็ไม่อยู่เหนือกฎเกณฑ์นี้ ชายหนุ่มยิ้มกว้างรีบตอบเอาใจ
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ ผมขอบคุณจริงๆ ที่เจ้าช่วยดูแลตอนที่ผมยังนอนพักฟื้นอยู่ แต่ตอนนี้ค่อยยังชั่วแล้ว เห็นเจ้าบอกว่ามีธุระก็เลยอยากทราบว่าเจ้ามีเรื่องเร่งด่วนอะไรให้ช่วยบ้างหรือเปล่า ผมจะได้รีบช่วยน่ะครับ”
“โถ เจ็บตัวเพราะคนของดิฉันแท้ๆ ยังมีแก่ใจถามไถ่อยากช่วยอะไรต่ออีก นี่ดิฉันยังนึกโทษตัวเองไม่หายที่ชวนคุณมาเดือดร้อน วันนี้ดิฉันเพียงมีเรื่องมาเล่าและอยากมาขอคำปรึกษาจากคุณเท่านั้นเองค่ะ แต่ก็...เป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว”
ออกตัวเสร็จก็ถือวิสาสะทิ้งตัวลงนั่งตรงขอบเตียงใหญ่ เธอวางสิ่งของบางอย่างที่ถือมาด้วยไว้ข้างตัว เห็นแบบนั้นนพคุณต้องอึ้งอีกครา คิดจะลากเก้าอี้ข้างเตียงมานั่ง เสียงใสก็ชิงบอกว่า
“มานั่งเสียตรงนี้เถอะค่ะ ดิฉันมีอะไรจะให้ดู”
ดวงตาหวานซึ้งแลขึ้นสบตาเขาพลางบอกเหมือนวิงวอน เมื่อไม่อาจเลี่ยงจึงจำต้องทรุดกายลงนั่งเคียงกันกับเธอ กรุ่นกลิ่นกายหอมระรื่นจากร่างสะคราญตาทำให้หัวอกหัวใจปั่นป่วน หนุ่มรูปหล่อเริ่มมือไม้สั่น คำพูดติดอ่างตะกุกตะกักอย่างที่เคยเป็นเสมอเวลาเก้อเขิน
“เอ้อ เรื่อง..เรื่องอะไรเหรอครับ..เชิญเจ้าเล่ามาได้เลย”
เห็นอาการของเขาแล้วก็ต้องยิ้มพราย กี่ภพกี่ชาติเขาก็เป็นแบบนี้ ทำท่าเหมือนจะใจอ่อนแต่แล้วก็สร้างกำแพงกั้นกลางเอาไว้เสียทุกที ยอมเข้ามาใกล้ชิดด้วยแล้วก็ผละออกห่างราวกลั่นแกล้ง ช่างน่าหมั่นไส้เสียจริงเชียว
คิดแล้วอดค้อนน้อยๆ ให้เขาไม่ได้ เธอชม้ายมองแล้วแกล้งขยับตัวให้นั่งสบายเต็มที่ ซึ่งทำให้เรือนกายชิดกันยิ่งขึ้น
“ก็เรื่องของเราเมื่อชาติที่แล้วน่ะสิคะ ดิฉันใคร่ขอความกรุณา”
ดวงหน้าผุดผาดเอียงเข้ามาใกล้ มือเรียวงามเอื้อมมาแตะท่อนแขนกำยำนอกเสื้อนอนแขนสั้นของเขา สัมผัสที่มือน้อยนั้นแทบทำให้สติชายกระเจิดกระเจิง นพคุณเผลอยกมือตัวเองอีกข้างจับมือเธอที่แตะอยู่บนแขนตัวเอง
...เจ้าน้องคำหยาดฟ้า...
อีกครั้งที่ราวได้ยินเสียงกระซิบดังมาไกลๆ พร้อมกับอาการมึนงงศีรษะ นพคุณสะบัดคอไล่อาการนั้นให้หายไป รีบเรียกสติตัวเองให้กลับคืนมาโดยไว
“เรื่องของเราเมื่อชาติที่แล้ว หมายถึง...เจ้ากับผม...เจ้าชายพรหมภูมินทร์กับเจ้านางที่เป็นปู่ทวดย่าทวดของเจ้าน่ะเหรอครับ”
“ข้าเจ้าจะเล่าความจริงให้เจ้าพี่ฟัง”
สรรพนามใช้เรียกตัวเองและอาคันตุกะหนุ่มเปลี่ยนไป น้ำเสียงของเธอก็อ่อนเศร้าลงตาม มือเธอข้างหนึ่งเอื้อมมาจับมือใหญ่ที่วางอยู่บนที่นอนก่อนดึงเข้ามาหาตัว จนกระทั่งชายหนุ่มต้องขยับตัวตามจนเบียดชิด แล้วเธอก็ยกมือข้างนั้นของเขาขึ้นแนบแก้มนวล
“มีเพียงเจ้าพี่เท่านั้นที่มาเกิดใหม่ แต่ข้าเจ้ายังคงรอคอยเจ้าพี่อยู่ที่นี่เรื่อยมา ข้าเจ้าคือเจ้านางคนรักของเจ้าพี่เมื่อชาติที่แล้ว คำหยาดฟ้ามิได้ตายดับไปไหน หากแต่ยืนร่างคงกระพันมากว่าเจ็ดสิบปีเพื่อรอเจ้าพี่หวนกลับมาหาเจ้าข้า”
นพคุณร้อง...หา ตกตะลึงกับคำบอกเล่าของสาวสวยตรงหน้า เขาจ้องเธออย่างไม่เชื่อหูตัวเอง หญิงสาวปล่อยมือจากเขาหันมาหยิบเอาอัลบั้มใส่รูปเก่าคร่ำเล่มหนึ่งซึ่งวางข้างตัวออกกาง เหลียวหน้ามามองเขาแล้วคลี่ยิ้มให้ มือเรียวบรรจงพลิกเปิดอัลบั้มรูปออกให้เขาดูทีละหน้า รูปภาพในนั้นเป็นภาพของเจ้าชายฟ้าคุ้มหรือคุณฟื้นบดินทร์ ประมุขคนแรกของคุ้มที่ถ่ายภาพร่วมกับบรรดาญาติ พี่น้องและเหล่าบริวาร
เธอชี้ชวนให้เขาดูภาพหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งมีรูปร่างหน้าตาคล้ายกันกับผู้หญิงที่กำลังนั่งเคียงเขาอยู่เวลานี้ เพียงแต่เครื่องแต่งกายซึ่งแตกต่างไปตามยุคสมัยที่ระบุวันเดือนปีไว้ในรูปถ่าย ไล่มาตั้งแต่ ปี พ. ศ. 2498 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน แต่ละภาพมีคำอธิบายเหตุการณ์คร่าวๆ ไว้ข้างใต้ หญิงสาวคนนั้นปรากฏตัวอยู่ในทุกภาพ แม้แต่ภาพงานศพของบรรดาญาติๆ ที่ทยอยกันเสียชีวิตลงไปทีละคน แต่ผู้หญิงคนนี้ก็ยังคงเป็นสาวสวยอยู่เช่นเดิม
“มันคงยากที่จะเชื่อ แต่ขอยืนยันว่าคำพูดทุกคำเป็นความจริงเจ้าข้า”
“คุณ...คุณกำลังจะบอกผมว่าคุณไม่แก่...คุณเป็นสาวสองพันปี อย่างนั้นเหรอครับ”สาวสวยพยักหน้ารับ
“ที่ข้าเจ้ามีอายุยืนยาวและไม่แก่เฒ่าเป็นเพราะยาอายุวัฒนะเม็ดนี้จ้าว”
หญิงสาวหยิบเอาตลับเงินเล็กๆ ที่วางใกล้กับอัลบั้มภาพขึ้นมาเปิดฝาตลับออก เผยให้เห็นเม็ดยาสีเงินขนาดเท่าเม็ดถั่วเม็ดหนึ่งในนั้น ชายหนุ่มมองเม็ดยาสลับกับเงยขึ้นมองใบหน้าสุดโสภา เรื่องราวที่ได้ยินมหัศจรรย์พันลึกเกินกว่าจะให้เชื่อได้ หญิงผู้เป็นอมตะเห็นท่าทีของเขาเสียงใสหวานจึงเล่าต่อ
“ยังมีอีกเรื่อง อินเฟือนกับบัวตองก็ได้กินยานี้เช่นกัน พวกเขามีอายุยืนยาวไม่รู้จักแก่เฒ่าเหมือนกับข้าเจ้า หากเจ้าพี่ไม่เชื่อก็เรียกมาถามดูได้”
ยิ่งฟังก็ยิ่งแตกตื่น ชายหนุ่มรู้สึกตกใจกับเรื่องราวที่ได้ยิน เขากระเถิบกายถอยออกห่างอย่างไม่รู้ตัว หญิงผู้อยู่เหนือกาลเวลากระแซะกายตามติด
“เจ้าพี่อย่ากลัวน้องเลย น้องไม่ใช่ผียังคงเป็นมนุษย์อยู่ เพียงแต่ไม่แก่เฒ่าเท่านั้นเอง”
น้ำเสียงและแววตาเว้าวอนอย่างน่าสงสารของเธอทำให้นพคุณชะงักจากการถอยหนี ใช่สิ ร่างงามตรงหน้ายังมีเนื้อหนังมังสาที่จับต้องได้ ไม่ใช่วิญญาณหลอกหลอนสักหน่อย ชายหนุ่มระงับอารมณ์ตื่นกลัวลง
“ยาอายุวัฒนะเม็ดนี้น้องเก็บรักษาไว้ให้ในยามท่านกลับชาติมาเกิดใหม่ ท่านจำไม่ได้สักนิดเลยหรือที่เคยสั่งเสียน้องว่าจงรักษาชีวิตให้รอด เพื่อรอเวลากอบกู้บ้านเมืองของเรากลับคืน”
เมื่อสงบใจที่ตื่นตระหนกลงได้แล้ว ชายหนุ่มจึงลองนิ่งฟังเรื่องราวอันน่าฉงนจากปากหญิงลึกลับดู
“เมืองไตทั้งหลายแม้แตกพ่ายให้แก่พม่าและกลายเป็นส่วนหนึ่งของประเทศนั้นไปแล้ว แต่พวกเรายังมีความหวังเสมอ มีผู้ใหญ่หลายคนพยายามกอบกู้บ้านเมืองเรากลับคืนมา เช่น ขุนทุนอู หัวหน้าพรรคสันนิบาตแห่งชาติไทยใหญ่และมหาเทวีเฮือนคำ พระมเหสีของเจ้าฟ้าส่วยแต๊ก”
“แต่เท่าที่ผมศึกษาประวัติศาสตร์มา ท่านทั้งสองล้วนยุติบทบาทลงแล้วด้วยไม่อาจต้านอำนาจของทหารพม่าได้นี่ครับ ตอนนี้ชนกลุ่มน้อยต่างๆ ในพม่าก็ได้หันมาสนับสนุน นางออง ซาน ซู จี ให้ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี เพื่อหวังให้ประเทศเป็นประชาธิปไตยและหลุดพ้นจากการปกครองของทหาร”
ชายหนุ่มแย้งขึ้น ประวัติศาสตร์ของชนชาตินี้เขาเคยอ่านมาทะลุปรุโปร่งด้วยความสนใจเป็นพิเศษ ทั้งยังนึกสงสารและเสียดายความยิ่งใหญ่ทางศิลปวัฒนธรรมของชนชาติที่เรียกว่าไทใหญ่ทั้งปวง ซึ่งถูกขุดรากถอนโคนระบบการปกครองเดิม ผู้คนถูกเข่นฆ่าและพยายามทำลายความเป็นไทใหญ่ให้หมดสิ้นไป โดยพยายามกลืนให้เป็นพม่า
“แต่ถึงอย่างไรข้าเจ้าก็ยังมีหวังในตัวเจ้าพี่ ในอดีตนั้นท่านเป็นแม่ทัพที่กล้าหาญนัก ท่านพลีชีพเพื่อเมืองเวียงแถนและปกป้องราชวงศ์เรา หากท่านได้เป็นผู้นำชาวเราอีกครั้ง เมืองเวียงแถนอาจเป็นหัวหอกให้เราลุกขึ้นต่อสู้เพื่อเอกราชก็ได้”
“โอ้...เป็นไปได้ยากยิ่งเสียแล้วครับเจ้า”
ชายหนุ่มแย้งขึ้นทันที ไม่อาจคาดเดาได้ว่าเรื่องที่ได้ยินอยู่เป็นเรื่องจริงตามที่เธอยืนยัน หรือเธอเพียงสร้างเรื่องขึ้นมาเพื่อเรียกร้องความสนใจ ถึงเรื่องที่เล่ามานั้นจะเป็นเรื่องจริง ก็แล้วคนอย่างเขาจะไปมีปัญญาทำอย่างที่เธอว่าไว้ได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้โดยสิ้นเชิง
“ผมต้องขอโทษด้วยที่ต้องบอกกับเจ้าว่า เรื่องของชาติก่อนก็ย่อมเป็นเรื่องของชาตินั้น เมื่อเกิดมาในชาติใหม่ก็ย่อมมีพันธะของชาติใหม่ ไม่สามารถเอามาปะปนกันได้ อีกอย่าง บ้านเมืองเดิมของ เอ้อ...ของเรา ก็ได้เป็นส่วนหนึ่งของประเทศพม่าไปแล้ว เจ้าเองตอนนี้ก็เป็นคนไทย มีความสงบสุขอยู่ในผืนแผ่นดินแห่งใหม่ แบบนี้ก็อย่าได้อาฆาตจองเวรต่อคนพวกนั้นอีกเลยครับ มันเหลือกำลังพวกเรามากนัก ที่สำคัญก็คือชาตินี้ผมคือนพคุณ มีลุงอายุมากแล้วที่ต้องดูแลรออยู่ที่กรุงเทพ และกำลังจะแต่งงานกับพวงชมพูคนรักของผม”
ทุกคำพูดของเขาราวคมมีดที่กรีดเฉือนเอาหัวใจของเธอออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย นี่หรือคือสิ่งที่รอคอยมานับร้อยปี เฝ้ารอเขากลับมาเพียงเพื่อให้มาได้ยินถ้อยคำสิ้นความใยดี บั่นทอนกำลังใจชนิดที่ไม่หลงเหลือแม้เศษเสี้ยวความรู้สึกอาทรของเจ้าชายนักรบผู้อหังการ ผู้ที่เคยสาบานตนว่าจะปกป้องเธอเช่นนี้ล่ะหรือ
ไม่ได้...เธอจะยอมแพ้ไม่ได้ อดีตราชธิดาเมืองเวียงแถนร่ำร้องในใจ เธอหน้าเสียลง ปิดอัลบั้มรูปไว้ตามเดิมแต่ยังไม่ละความพยายาม
“ได้โปรดเมตตาน้องด้วยเถิด”
ขยับกายเข้าใกล้ยิ่งขึ้นจนขาแทบเกยกัน ใบหน้าสวยซึ้งหม่นเศร้า เธอยื่นเม็ดยามหัศจรรย์ในมือมาตรงหน้าเขาปากก็อ้อนวอนขอความปรานี
“โปรดรับยาเม็ดนี้ไปกินแล้วอยู่ด้วยกันกับน้องที่คุ้มหลวงแห่งนี้เถิด น้องมีข้าทาสบริวารมากมายอีกทั้งมีเงินทองเหลือคณานับ เราสองจักครองคู่อยู่ในอาณาจักรของเราจนชั่วนิจนิรันดร์ เพื่อช่วยกันคิดอ่านหาทางช่วยเหลือบ้านเมืองของเราต่อไป”
อาจเพราะเรื่องราวพิลึกพิลั่นจนเกินจะรับได้ที่ทำให้หนุ่มรูปหล่อมีสติดีขึ้นมา นพคุณมองโฉมพิลาสตรงหน้าราวกับเห็นสิ่งแปลกประหลาด เขากำลังคิดว่าเจ้านางและคุ้มโบราณแห่งนี้อาจนำความยุ่งยากมาให้ในอนาคต เพราะเธอไม่ใช่ปุถุชนคนธรรมดาแบบเดียวกับคนทั่วไป ฉะนั้นเวลานี้ดีที่สุดก็คือ เขาควรปฏิเสธข้อเสนอของเธอให้เด็ดขาด
“ผมไม่อาจเอื้อมหมายปองดอกฟ้าอย่างเจ้าหรอกครับ ผมละอายใจที่ไม่คู่ควรกับท่านแม้สักน้อย อีกอย่างผมมีพวงชมพูเป็นคนรักอยู่แล้ว เรารักกันมากและกำลังจะแต่งงานกัน ขอบคุณในความปรารถนาดี แต่ผมต้องขอโทษด้วยครับเจ้า”
คำปฏิเสธไร้เยื่อขาดใยชัดถ้อยชัดคำโดยไม่ต้องตีความใดๆ อีกนั้น ราวน้ำมันราดรดลงบนกองเพลิง ไฟริษยาลุกพรึบขึ้นในใจ ก้อนแข็งประหลาดแล่นขึ้นมาจุกอยู่ที่คอหอยจนไม่สามารถเปล่งคำพูดใดออกมาได้
ริษยารักข้ามภพ ตอนที่ 37
ขณะที่แฟนสาวของนพคุณกำลังสนุกอยู่กับการไปขี่ม้าเล่นกับหนานอินเฟือนและอนุชิตซึ่งขี่จักรยานยนต์ตามไป ทิ้งให้แฟนหนุ่มพักอยู่ในห้องตามลำพัง หญิงสาวอีกคนก็ได้โอกาส
เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นทำให้นพคุณซึ่งอ่อนเพลียจากไข้หวัดลุกขึ้นจากเตียงโผเผมาเปิดประตู พลันที่บานประตูถูกเปิดออกหนุ่มรูปหล่อก็ต้องตกตะลึงด้วยคาดไม่ถึงเมื่อเห็นร่างที่ยืนรออยู่เบื้องหน้า
...เจ้าพี่ น้องมาหาแล้ว...
แววตาหวานหยาดเยิ้มราวจะบอกกับเขาอย่างนั้น เรือนร่างระหงในชุดพริ้วสีขาวยาวกรอมเท้าเนื้อลื่นค่อนข้างบางเบานั้นงามละมุนอ่อนหวานดุจภาพวาดของจิตรกรเรืองนาม เรือนผมดำขลับยาวสยายลงกรอบดวงหน้าหวานหยด ก่อนปล่อยลงคลุมบ่าสองข้างจนถึงถันอวบอิ่มซึ่งดันเนื้อผ้าให้เห็นเป็นรูปรอย ดวงตาสวยซึ้งจ้องประสานกันกับดวงตาของเขา อีกริมฝีปากนุ่มงามราวกลีบกุหลาบที่กำลังคลี่ยิ้มให้นั้นอีกล่ะ นี่มันเทพธิดาจากสรวงสวรรค์ชัดๆ
ร่างงามพิลาสก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามาในห้องโดยไม่ทันให้เชิญ นพคุณหายจากตกตะลึงรีบเดินตามมา ชายหนุ่มไม่กล้าปิดประตูห้องแต่ดวงหน้าหวานก็ผินมาบอกกับเขาว่า
“ช่วยปิดประตูทีเถิดค่ะ ดิฉันมีธุระสำคัญจะคุยด้วย ไม่ต้องการให้ใครเห็นว่ามาที่นี่”
หา...ให้ปิดประตูด้วย นพคุณออกอาการเงอะงะตกประหม่า แต่ก็เดินกลับไปงับบานประตูให้ปิดลงตามคำบอกแต่โดยดี
“เอ้อ เจ้ามีธุระอะไรจะคุยกับผมหรือครับ”
เมื่อเดินเข้ามาประจันหน้ากันชายหนุ่มก็ถามขึ้นอย่างสงสัย พยายามไม่จ้องไปที่ผิวขาวผ่องของเนินอกอิ่มซึ่งโผล่พ้นคอกว้างของชุดเนื้อเนียน แต่ถึงอย่างนั้นก็อดใจสั่นกับส่วนเว้าส่วนโค้งภายใต้เนื้อผ้าลื่นบางซึ่งไหลเลื่อนเคลื่อนไหวแนบเรือนกายตามจังหวะก้าวย่างไม่ได้ หนุ่มรูปหล่อลอบระบายลมหายใจที่ติดขัดออกมา รู้สึกลำคอแห้งผากกะทันหันจนเผลอกลืนน้ำลายลงคอไล่ความฝืดเคือง อาการไข้หวัดแทบจะหายเป็นปลิดทิ้ง
“ต้องมีธุระเท่านั้นหรอกหรือคะดิฉันจึงจะได้คุยกับคุณ”
น้ำเสียงหวานใสฉอเลาะเชิงตัดพ้อเช่นนี้ แม้ต่อให้ชายใจแข็งดังศิลาแกร่งก็อาจพังภินท์ นพคุณก็ไม่อยู่เหนือกฎเกณฑ์นี้ ชายหนุ่มยิ้มกว้างรีบตอบเอาใจ
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ ผมขอบคุณจริงๆ ที่เจ้าช่วยดูแลตอนที่ผมยังนอนพักฟื้นอยู่ แต่ตอนนี้ค่อยยังชั่วแล้ว เห็นเจ้าบอกว่ามีธุระก็เลยอยากทราบว่าเจ้ามีเรื่องเร่งด่วนอะไรให้ช่วยบ้างหรือเปล่า ผมจะได้รีบช่วยน่ะครับ”
“โถ เจ็บตัวเพราะคนของดิฉันแท้ๆ ยังมีแก่ใจถามไถ่อยากช่วยอะไรต่ออีก นี่ดิฉันยังนึกโทษตัวเองไม่หายที่ชวนคุณมาเดือดร้อน วันนี้ดิฉันเพียงมีเรื่องมาเล่าและอยากมาขอคำปรึกษาจากคุณเท่านั้นเองค่ะ แต่ก็...เป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว”
ออกตัวเสร็จก็ถือวิสาสะทิ้งตัวลงนั่งตรงขอบเตียงใหญ่ เธอวางสิ่งของบางอย่างที่ถือมาด้วยไว้ข้างตัว เห็นแบบนั้นนพคุณต้องอึ้งอีกครา คิดจะลากเก้าอี้ข้างเตียงมานั่ง เสียงใสก็ชิงบอกว่า
“มานั่งเสียตรงนี้เถอะค่ะ ดิฉันมีอะไรจะให้ดู”
ดวงตาหวานซึ้งแลขึ้นสบตาเขาพลางบอกเหมือนวิงวอน เมื่อไม่อาจเลี่ยงจึงจำต้องทรุดกายลงนั่งเคียงกันกับเธอ กรุ่นกลิ่นกายหอมระรื่นจากร่างสะคราญตาทำให้หัวอกหัวใจปั่นป่วน หนุ่มรูปหล่อเริ่มมือไม้สั่น คำพูดติดอ่างตะกุกตะกักอย่างที่เคยเป็นเสมอเวลาเก้อเขิน
“เอ้อ เรื่อง..เรื่องอะไรเหรอครับ..เชิญเจ้าเล่ามาได้เลย”
เห็นอาการของเขาแล้วก็ต้องยิ้มพราย กี่ภพกี่ชาติเขาก็เป็นแบบนี้ ทำท่าเหมือนจะใจอ่อนแต่แล้วก็สร้างกำแพงกั้นกลางเอาไว้เสียทุกที ยอมเข้ามาใกล้ชิดด้วยแล้วก็ผละออกห่างราวกลั่นแกล้ง ช่างน่าหมั่นไส้เสียจริงเชียว
คิดแล้วอดค้อนน้อยๆ ให้เขาไม่ได้ เธอชม้ายมองแล้วแกล้งขยับตัวให้นั่งสบายเต็มที่ ซึ่งทำให้เรือนกายชิดกันยิ่งขึ้น
“ก็เรื่องของเราเมื่อชาติที่แล้วน่ะสิคะ ดิฉันใคร่ขอความกรุณา”
ดวงหน้าผุดผาดเอียงเข้ามาใกล้ มือเรียวงามเอื้อมมาแตะท่อนแขนกำยำนอกเสื้อนอนแขนสั้นของเขา สัมผัสที่มือน้อยนั้นแทบทำให้สติชายกระเจิดกระเจิง นพคุณเผลอยกมือตัวเองอีกข้างจับมือเธอที่แตะอยู่บนแขนตัวเอง
...เจ้าน้องคำหยาดฟ้า...
อีกครั้งที่ราวได้ยินเสียงกระซิบดังมาไกลๆ พร้อมกับอาการมึนงงศีรษะ นพคุณสะบัดคอไล่อาการนั้นให้หายไป รีบเรียกสติตัวเองให้กลับคืนมาโดยไว
“เรื่องของเราเมื่อชาติที่แล้ว หมายถึง...เจ้ากับผม...เจ้าชายพรหมภูมินทร์กับเจ้านางที่เป็นปู่ทวดย่าทวดของเจ้าน่ะเหรอครับ”
“ข้าเจ้าจะเล่าความจริงให้เจ้าพี่ฟัง”
สรรพนามใช้เรียกตัวเองและอาคันตุกะหนุ่มเปลี่ยนไป น้ำเสียงของเธอก็อ่อนเศร้าลงตาม มือเธอข้างหนึ่งเอื้อมมาจับมือใหญ่ที่วางอยู่บนที่นอนก่อนดึงเข้ามาหาตัว จนกระทั่งชายหนุ่มต้องขยับตัวตามจนเบียดชิด แล้วเธอก็ยกมือข้างนั้นของเขาขึ้นแนบแก้มนวล
“มีเพียงเจ้าพี่เท่านั้นที่มาเกิดใหม่ แต่ข้าเจ้ายังคงรอคอยเจ้าพี่อยู่ที่นี่เรื่อยมา ข้าเจ้าคือเจ้านางคนรักของเจ้าพี่เมื่อชาติที่แล้ว คำหยาดฟ้ามิได้ตายดับไปไหน หากแต่ยืนร่างคงกระพันมากว่าเจ็ดสิบปีเพื่อรอเจ้าพี่หวนกลับมาหาเจ้าข้า”
นพคุณร้อง...หา ตกตะลึงกับคำบอกเล่าของสาวสวยตรงหน้า เขาจ้องเธออย่างไม่เชื่อหูตัวเอง หญิงสาวปล่อยมือจากเขาหันมาหยิบเอาอัลบั้มใส่รูปเก่าคร่ำเล่มหนึ่งซึ่งวางข้างตัวออกกาง เหลียวหน้ามามองเขาแล้วคลี่ยิ้มให้ มือเรียวบรรจงพลิกเปิดอัลบั้มรูปออกให้เขาดูทีละหน้า รูปภาพในนั้นเป็นภาพของเจ้าชายฟ้าคุ้มหรือคุณฟื้นบดินทร์ ประมุขคนแรกของคุ้มที่ถ่ายภาพร่วมกับบรรดาญาติ พี่น้องและเหล่าบริวาร
เธอชี้ชวนให้เขาดูภาพหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งมีรูปร่างหน้าตาคล้ายกันกับผู้หญิงที่กำลังนั่งเคียงเขาอยู่เวลานี้ เพียงแต่เครื่องแต่งกายซึ่งแตกต่างไปตามยุคสมัยที่ระบุวันเดือนปีไว้ในรูปถ่าย ไล่มาตั้งแต่ ปี พ. ศ. 2498 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน แต่ละภาพมีคำอธิบายเหตุการณ์คร่าวๆ ไว้ข้างใต้ หญิงสาวคนนั้นปรากฏตัวอยู่ในทุกภาพ แม้แต่ภาพงานศพของบรรดาญาติๆ ที่ทยอยกันเสียชีวิตลงไปทีละคน แต่ผู้หญิงคนนี้ก็ยังคงเป็นสาวสวยอยู่เช่นเดิม
“มันคงยากที่จะเชื่อ แต่ขอยืนยันว่าคำพูดทุกคำเป็นความจริงเจ้าข้า”
“คุณ...คุณกำลังจะบอกผมว่าคุณไม่แก่...คุณเป็นสาวสองพันปี อย่างนั้นเหรอครับ”สาวสวยพยักหน้ารับ
“ที่ข้าเจ้ามีอายุยืนยาวและไม่แก่เฒ่าเป็นเพราะยาอายุวัฒนะเม็ดนี้จ้าว”
หญิงสาวหยิบเอาตลับเงินเล็กๆ ที่วางใกล้กับอัลบั้มภาพขึ้นมาเปิดฝาตลับออก เผยให้เห็นเม็ดยาสีเงินขนาดเท่าเม็ดถั่วเม็ดหนึ่งในนั้น ชายหนุ่มมองเม็ดยาสลับกับเงยขึ้นมองใบหน้าสุดโสภา เรื่องราวที่ได้ยินมหัศจรรย์พันลึกเกินกว่าจะให้เชื่อได้ หญิงผู้เป็นอมตะเห็นท่าทีของเขาเสียงใสหวานจึงเล่าต่อ
“ยังมีอีกเรื่อง อินเฟือนกับบัวตองก็ได้กินยานี้เช่นกัน พวกเขามีอายุยืนยาวไม่รู้จักแก่เฒ่าเหมือนกับข้าเจ้า หากเจ้าพี่ไม่เชื่อก็เรียกมาถามดูได้”
ยิ่งฟังก็ยิ่งแตกตื่น ชายหนุ่มรู้สึกตกใจกับเรื่องราวที่ได้ยิน เขากระเถิบกายถอยออกห่างอย่างไม่รู้ตัว หญิงผู้อยู่เหนือกาลเวลากระแซะกายตามติด
“เจ้าพี่อย่ากลัวน้องเลย น้องไม่ใช่ผียังคงเป็นมนุษย์อยู่ เพียงแต่ไม่แก่เฒ่าเท่านั้นเอง”
น้ำเสียงและแววตาเว้าวอนอย่างน่าสงสารของเธอทำให้นพคุณชะงักจากการถอยหนี ใช่สิ ร่างงามตรงหน้ายังมีเนื้อหนังมังสาที่จับต้องได้ ไม่ใช่วิญญาณหลอกหลอนสักหน่อย ชายหนุ่มระงับอารมณ์ตื่นกลัวลง
“ยาอายุวัฒนะเม็ดนี้น้องเก็บรักษาไว้ให้ในยามท่านกลับชาติมาเกิดใหม่ ท่านจำไม่ได้สักนิดเลยหรือที่เคยสั่งเสียน้องว่าจงรักษาชีวิตให้รอด เพื่อรอเวลากอบกู้บ้านเมืองของเรากลับคืน”
เมื่อสงบใจที่ตื่นตระหนกลงได้แล้ว ชายหนุ่มจึงลองนิ่งฟังเรื่องราวอันน่าฉงนจากปากหญิงลึกลับดู
“เมืองไตทั้งหลายแม้แตกพ่ายให้แก่พม่าและกลายเป็นส่วนหนึ่งของประเทศนั้นไปแล้ว แต่พวกเรายังมีความหวังเสมอ มีผู้ใหญ่หลายคนพยายามกอบกู้บ้านเมืองเรากลับคืนมา เช่น ขุนทุนอู หัวหน้าพรรคสันนิบาตแห่งชาติไทยใหญ่และมหาเทวีเฮือนคำ พระมเหสีของเจ้าฟ้าส่วยแต๊ก”
“แต่เท่าที่ผมศึกษาประวัติศาสตร์มา ท่านทั้งสองล้วนยุติบทบาทลงแล้วด้วยไม่อาจต้านอำนาจของทหารพม่าได้นี่ครับ ตอนนี้ชนกลุ่มน้อยต่างๆ ในพม่าก็ได้หันมาสนับสนุน นางออง ซาน ซู จี ให้ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี เพื่อหวังให้ประเทศเป็นประชาธิปไตยและหลุดพ้นจากการปกครองของทหาร”
ชายหนุ่มแย้งขึ้น ประวัติศาสตร์ของชนชาตินี้เขาเคยอ่านมาทะลุปรุโปร่งด้วยความสนใจเป็นพิเศษ ทั้งยังนึกสงสารและเสียดายความยิ่งใหญ่ทางศิลปวัฒนธรรมของชนชาติที่เรียกว่าไทใหญ่ทั้งปวง ซึ่งถูกขุดรากถอนโคนระบบการปกครองเดิม ผู้คนถูกเข่นฆ่าและพยายามทำลายความเป็นไทใหญ่ให้หมดสิ้นไป โดยพยายามกลืนให้เป็นพม่า
“แต่ถึงอย่างไรข้าเจ้าก็ยังมีหวังในตัวเจ้าพี่ ในอดีตนั้นท่านเป็นแม่ทัพที่กล้าหาญนัก ท่านพลีชีพเพื่อเมืองเวียงแถนและปกป้องราชวงศ์เรา หากท่านได้เป็นผู้นำชาวเราอีกครั้ง เมืองเวียงแถนอาจเป็นหัวหอกให้เราลุกขึ้นต่อสู้เพื่อเอกราชก็ได้”
“โอ้...เป็นไปได้ยากยิ่งเสียแล้วครับเจ้า”
ชายหนุ่มแย้งขึ้นทันที ไม่อาจคาดเดาได้ว่าเรื่องที่ได้ยินอยู่เป็นเรื่องจริงตามที่เธอยืนยัน หรือเธอเพียงสร้างเรื่องขึ้นมาเพื่อเรียกร้องความสนใจ ถึงเรื่องที่เล่ามานั้นจะเป็นเรื่องจริง ก็แล้วคนอย่างเขาจะไปมีปัญญาทำอย่างที่เธอว่าไว้ได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้โดยสิ้นเชิง
“ผมต้องขอโทษด้วยที่ต้องบอกกับเจ้าว่า เรื่องของชาติก่อนก็ย่อมเป็นเรื่องของชาตินั้น เมื่อเกิดมาในชาติใหม่ก็ย่อมมีพันธะของชาติใหม่ ไม่สามารถเอามาปะปนกันได้ อีกอย่าง บ้านเมืองเดิมของ เอ้อ...ของเรา ก็ได้เป็นส่วนหนึ่งของประเทศพม่าไปแล้ว เจ้าเองตอนนี้ก็เป็นคนไทย มีความสงบสุขอยู่ในผืนแผ่นดินแห่งใหม่ แบบนี้ก็อย่าได้อาฆาตจองเวรต่อคนพวกนั้นอีกเลยครับ มันเหลือกำลังพวกเรามากนัก ที่สำคัญก็คือชาตินี้ผมคือนพคุณ มีลุงอายุมากแล้วที่ต้องดูแลรออยู่ที่กรุงเทพ และกำลังจะแต่งงานกับพวงชมพูคนรักของผม”
ทุกคำพูดของเขาราวคมมีดที่กรีดเฉือนเอาหัวใจของเธอออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย นี่หรือคือสิ่งที่รอคอยมานับร้อยปี เฝ้ารอเขากลับมาเพียงเพื่อให้มาได้ยินถ้อยคำสิ้นความใยดี บั่นทอนกำลังใจชนิดที่ไม่หลงเหลือแม้เศษเสี้ยวความรู้สึกอาทรของเจ้าชายนักรบผู้อหังการ ผู้ที่เคยสาบานตนว่าจะปกป้องเธอเช่นนี้ล่ะหรือ
ไม่ได้...เธอจะยอมแพ้ไม่ได้ อดีตราชธิดาเมืองเวียงแถนร่ำร้องในใจ เธอหน้าเสียลง ปิดอัลบั้มรูปไว้ตามเดิมแต่ยังไม่ละความพยายาม
“ได้โปรดเมตตาน้องด้วยเถิด”
ขยับกายเข้าใกล้ยิ่งขึ้นจนขาแทบเกยกัน ใบหน้าสวยซึ้งหม่นเศร้า เธอยื่นเม็ดยามหัศจรรย์ในมือมาตรงหน้าเขาปากก็อ้อนวอนขอความปรานี
“โปรดรับยาเม็ดนี้ไปกินแล้วอยู่ด้วยกันกับน้องที่คุ้มหลวงแห่งนี้เถิด น้องมีข้าทาสบริวารมากมายอีกทั้งมีเงินทองเหลือคณานับ เราสองจักครองคู่อยู่ในอาณาจักรของเราจนชั่วนิจนิรันดร์ เพื่อช่วยกันคิดอ่านหาทางช่วยเหลือบ้านเมืองของเราต่อไป”
อาจเพราะเรื่องราวพิลึกพิลั่นจนเกินจะรับได้ที่ทำให้หนุ่มรูปหล่อมีสติดีขึ้นมา นพคุณมองโฉมพิลาสตรงหน้าราวกับเห็นสิ่งแปลกประหลาด เขากำลังคิดว่าเจ้านางและคุ้มโบราณแห่งนี้อาจนำความยุ่งยากมาให้ในอนาคต เพราะเธอไม่ใช่ปุถุชนคนธรรมดาแบบเดียวกับคนทั่วไป ฉะนั้นเวลานี้ดีที่สุดก็คือ เขาควรปฏิเสธข้อเสนอของเธอให้เด็ดขาด
“ผมไม่อาจเอื้อมหมายปองดอกฟ้าอย่างเจ้าหรอกครับ ผมละอายใจที่ไม่คู่ควรกับท่านแม้สักน้อย อีกอย่างผมมีพวงชมพูเป็นคนรักอยู่แล้ว เรารักกันมากและกำลังจะแต่งงานกัน ขอบคุณในความปรารถนาดี แต่ผมต้องขอโทษด้วยครับเจ้า”
คำปฏิเสธไร้เยื่อขาดใยชัดถ้อยชัดคำโดยไม่ต้องตีความใดๆ อีกนั้น ราวน้ำมันราดรดลงบนกองเพลิง ไฟริษยาลุกพรึบขึ้นในใจ ก้อนแข็งประหลาดแล่นขึ้นมาจุกอยู่ที่คอหอยจนไม่สามารถเปล่งคำพูดใดออกมาได้