Hello, My Friend
ประโยคนี้ ทุกคนคงได้ยินบ่อยมากในเมืองท่องเที่ยวของเวียดนาม ทุกครั้งที่ถูกเรียกว่ามายเฟรนด์ เรารู้สึกจั๊กจี้อย่างบอกไม่ถูก
มาค่ะ มาดูสิ่งที่เพื่อนทำกับเรา
ทริปนี้ทั้งหมดทั้งสิ้น เราอยู่ในเวียดนามเป็นเวลา 11 วัน 10 คืน เดินทางจากใต้ขึ้นเหนือ โฮจิมินห์ -> หมุยแน้ -> ญาจาง -> ฮอยอัน -> เว้ -> ฮานอย ตัวเราเองไม่ได้มีความอยากไปเวียดนามเองหรอกค่ะ แต่มันติดพันธะสัญญาบางอย่าง(เรื่องส่วนตัวที่ไม่ขอพูดถึง)ที่ทำให้ต้องไป ดังนั้น เรื่องความประทับจงประทับใจ สถานท่งสถานที่ต่างๆ เราไม่อาจเล่าได้เพราะเราไม่มีอารมณ์ร่วมด้วยเลย ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นหรอกค่ะ ประเทศเขาก็มีข้อดีที่น่าศึกษาอยู่ แค่ไม่ได้อยากไปตั้งแต่แรกแต่มันมีเหตุจำเป็นให้ต้องไป ความรู้สึกร่วมเลยต่ำมากจนกลายเป็นอยู่ไปวันๆมากกว่า เล่าก็ไปเท่านั้น
แต่ที่ต้องมาตั้งกระทู้พันทิปหลังจากแลนด์ดิ้งได้ไม่นานนักก็เพราะว่าได้รับประสบการณ์จากการซื้อทัวร์ที่ฮานอยมาเล่าสู่กันฟังเป็นวิทยาทานค่ะ
ตลอดระยะเวลาที่อยู่ในเวียดนาม เราต่างพร่ำบอกกับคนที่มาด้วยให้ระวังนู่นระวังนี่ เพราะถ้าเกิดปัญหาอะไรขึ้นมา เราดูจากภาพรวมแล้ว มันแก้ปัญหาได้ยากอยู่ เช่น พวกของหาย ลักทรัพย์ เป็นต้น บอกให้ระวังนะคะ ไม่ใช่ระแวง คือไปไหนมาไหน ต้องระวังหมดแหละ
ที่เมืองอื่นๆ เราลองซื้อทัวร์จากเอเจ้นท์ที่หาข้อมูลมาแล้วบ้าง จากโรงแรมบ้าง ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรมากมาย จนมาที่ฮานอยเนี่ยแหละที่เป็นเรื่องเป็นราว
เรื่องต่อไปนี้ เป็นเรื่องของเพื่อนที่ไปด้วย(เพราะคนซื้อทัวร์คือตัวเขา) แต่เราจะเล่าในส่วนที่เราได้เจอเองกับตัวนะ ส่วนของเขาในขณะที่เราไม่ได้อยู่ด้วยเราไม่สามารถบอกได้
ไปค่ะ ลุย
------ วันที่ 9 ในเวียดนาม เราเดินทางจากเว้ด้วยรถนอนก็ถึงฮานอย เมืองหลวงของประเทศเวียดนามและเป็นเมืองสุดท้ายของการเดินทางครั้งนี้ หลังจากเข้าเชคอินที่โฮมสเตย์แล้ว เพื่อนเราและเพื่อนของนางต้องการที่จะไปฮาลองเบย์ในวันต่อไป (เราได้ออกตัวไปก่อนแล้วว่า ไม่ไป ไม่ชอบน้ำ อีกอย่างอยากกลับไทยสุดๆแล้ว) แต่พอสอบถามราคาทัวร์จากที่พักแล้ว ทริปฮาลองเบย์วันเดย์ทัวร์ ราคา 35 เหรียญดอลล่าร์สหรัฐ ทางเพื่อนและเพื่อนของนางยังไม่พอใจมากนัก เห็นว่าข้างนอกมีให้เลือกอีก ก็เลยตกลงกันว่าจะไปเดินหาเอง ก็โอเค แล้วแต่ เขาตัดสินใจยังไงก็ต้องตามนั้น
ตกเย็น ก็เดินสำรวจราคาในแถบโอลควอเตอร์ที่เราพักอาศัย บริษัทแรกที่เข้าไป บอกราคาชัดเจน เขียนเป็นเรทให้เลยว่า ทัวร์ฮาลองเบย์นั้นมี 3 เรท ดังนี้
25 เหรียญ - not good
30 เหรียญ - so so
35 เหรียญ - good
คำอธิบายสั้นๆเกี่ยวกับความแตกต่างก็คือ 25 เหรียญ คุณได้เรือเก่า อาหารไม่ดี 30 เหรียญ ได้เรือใหม่กว่า อาหารดีกว่านิดหน่อย 35 เหรียญ คุณเที่ยวสบาย ราคาทั้งหมดนี้ไม่รวมค่าคายัคหรือแบมบูโบ๊ทอีก 5 เหรียญเพื่อพายเข้าไปถ้ำนะ ถ้าคุณไม่อยากเข้า ก็อยู่เฉยๆบนเรือไป (พูดจาฉะฉานมาก แฟร์สุดแล้วถ้าเทียบกับที่อื่นที่ถามมาทีหลัง) ก็โอเค รับฟังแล้วบอกว่าขอเวลาตัดสินใจ เค้าก็บอกว่าแล้วแต่ ฮ่าฮ่า ไม่แคร์สุดๆ
ต่อไป บริษัทที่สอง ราคาเท่าที่แรก ใช้ทัวร์จากที่เดียวกัน แต่ลุงคนขายสูบบุหรี่อยู่ เรายืนอยู่ไม่นานก็จากมา
ต่อไป บริษัทที่สาม (ขีดเส้นใต้สำคัญมาก) น้องแว่นสาววัยละอ่อนเป็นสต๊าฟรอบค่ำอยู่ นั่งอธิบายเกี่ยวกับทัวร์ สำหรับที่นี่ ราคาต่างกันหน่อย คือ 26 เหรียญ กับ 31 เหรียญ แต่ค่าเรือ 4 เหรียญ กระนั้น ผลรวมก็เท่ากับบริษัทแรกอยู่ดี และจากรูปเล่มที่เปิดให้ ก็ใช้บริษัทนำเที่ยวเดียวกันนั่นแหละ
เก็บช้อยส์ไว้แค่ 3 บริษัทเท่านั้น แล้วก็พากันออกไปหาอะไรกิน สอบถามแล้วว่าปิดร้านกันประมาณ 2-3 ทุ่ม กลับมาก็น่าจะทัน
--- ผ่านตอนกินข้าวไป
เราเดินกลับมาที่เก่า ในส่วนนี้ เนื่องจากเราไม่ได้ไปเองจึงให้คนที่ไปตัดสินใจ เพื่อนของเพื่อนตัดสินใจจะซื้อทัวร์กับบริษัทที่สามเพราะเขาบอกว่าอ่านในพันทิปแล้วบอกว่าราคาไหนก็ไม่ต่างกันมากหรอก เรากลับมาหาน้องแว่น สอบถามรายละเอียดอีกครั้งในแน่ใจ ถามกระทั่งเรื่องทิป น้องแว่นให้รายละเอียดดีมาก คุยดีใสซื่อ เราถึงขนาดบอกว่า ว่างๆมาเที่ยวไทยดิ จบการซื้อขายที่ทัวร์ฮาลองเบย์ 35 เหรียญ 2 คน ตามบิลในรูปค่ะ

(ส่วนของ deposit ตอนแรกไม่มีการเขียนแบบนี้นะคะ อันนี้ถ่ายหลังจากเกิดเรื่อง)
เอาล่ะค่ะ คืนนั้น สองคนนั้นก็นอนหลับฝันถึงฮาลองเบย์กันไป
และแล้ว ความจริงก็มาถึงในรุ่งเช้า
ทางบริษัทนัดรถมารับ 8.00-8.30 น. แต่เพื่อนกับเพื่อนของเขาตัดสินใจออกไปหาอะไรกินตอนเช้าและขอไปรอรถที่บริษัทแทน ในตอนเช้าจะเป็นผู้หญิงอีกคนอยู่ ไม่ใช่น้องแว่น ส่วนเราก็นอนต่อค่ะ ไม่มีแพลนอะไรในฮานอยอยู่แล้ว กะว่าสายๆจะไปหาเฝอหมูยอกิน แค่นั้นเอง
9.30 น. ขณะที่เราอาบน้ำเสร็จ ก็เชคโทรศัพท์ ปรากฏเพื่อนไลน์มาว่าให้รับสายด่วน (เมื่อ 20 นาทีที่แล้ว) พอตอบกลับก็รีบโทรมาทันที บอกว่า โดนหลอกแล้ว ทัวร์แม่มไม่ได้ไปฮาลองเบย์ พามาที่ไหนก็ไม่รู้ ไม่รู้จัก แล้วอีกคนก็แนบรูปมาให้ ปรากฎว่ารถที่ขึ้นไปน่ะ ไป Hoa Lu Tam Coc แล้วทางไกด์มาบอกเรื่องนี้ตอนรถอยู่บนทางด่วนแล้ว ทางไกด์บอกว่าจะคืนเงินให้ 5 เหรียญ เพื่อนรู้สึกไม่โอเค มันไม่ใช่ นางก็เลยใช้ให้เราไปที่บริษัทให้หน่อย (จริงๆเราก็ถามนะว่า ก่อนขึ้นไม่ถามเค้าก่อนขึ้นรถเหรอว่าไปไหน เพื่อนบอกก็เห็นว่าเค้าตรวจตั๋วแล้ว เชคชื่อแล้ว เลยไม่ถามอีก)
**ในส่วนที่เพื่อนคุยกับไกด์ยังไงบ้าง คือเราไม่สามารถเล่าได้นะคะ ไม่ใช่อะไร เพราะเราไม่ได้คุยเอง ไม่ได้อยู่ตรงนั้น ไม่ทราบสถานการณ์ตรงนั้น**
โอยยยยยยยยยย ยังเดินไม่ถึงหน้าบริษัทเลยค่ะ เจ้เหงียนมองหน้าแล้วเหมือนมีญาณ รู้เลยมันมาด้วยเรื่องอะไร นางลากเข้าไปนั่งในบริษัท มายเฟรนด์ทุกคำ บอกว่ายัวร์เฟรนด์อ่ะมิสเทคบัส เราย้ำว่า เฮ้ย ไม่ใช่นะ เพื่อนเราบอกว่าเค้าไม่ได้มิสเทค นี่มันเป็นความผิดของพวกคุณ แล้วเจ้เหงียนก็ต่อสายให้เราคุยกับเพื่อน บอกว่าเพื่อนคุณคุยกับไกด์แล้ว สิ่งที่เจ้เหงียนทำคือพูดไปเรื่อยเปื่อย เราบอกนี่มันวันสุดท้ายที่เวียดนาม คุณต้องรับผิดชอบสิ มาทำแบบนี้ได้ไง เจ้เหงียนเริ่มตีมึน แต่ยังยิ้มอยู่ สักพักเราบอกว่า เพื่อนเราไม่โอเค เค้าต้องการให้ทางคุณรับผิดชอบด้วยการคืนเงินมา เพราะไม่เป็นไปตามที่ตกลงกันไว้ อย่างน้อยๆก็ครึ่งนึงของค่าทริป เรากดเครื่องคิดเลขให้ดู พอพูดว่าจะขอคืนเงินเท่านั้นแหละค่ะ จากมายเฟรนด์ ไม่เป็นมันแล้วพ่งเพื่อน เจ้เหงียนปัดเครื่องคิดเลขที่เป็นตัวเลข 35 ให้พ้นตัว เดินหนีไปที่เก้าอี้ตัวอื่นไม่พูดอะไรแล้วนั่งปอกมันแกวกิน หันมาบอกว่า คุณมาอีกทีตอนบ่ายโมงแล้วกัน ถามคนที่ขายทัวร์ให้คุณเอง
เอิ่มมมมมมมมมมมม เงิบ แต่ก็ยังนั่งอยู่ไม่ลุกไปไหน เจ้เหงียนก็นั่งกินมันแกวกับป้าอีกคนนึงเฉย เราก็ยังนั่งอยู่ หยิบนู่นหยิบนี่มาจดมาเขียน (หยิบจากโต๊ะเค้าทั้งนั้นอ่ะ 555555) เราเขียนเป็นภาษาอังกฤษอีกครั้ง เพราะเราคิดว่าเค้าไม่เข้าใจที่เราพูดหรือเปล่าถึงได้ไปนั่งกินมันแกวเนี่ย ก็เขียนประโยคเดิมๆแหละ ว่าต้องรับผิดชอบด้วยการคืนเงิน หลังจากเค้าอ่านก็ถอนหายใจนิดนึงแล้วหยิบมือถือมาโทร แล้วบอกให้เรามานั่งอีกที่ด้วยสีหน้ารำคาญเต็มทีแล้ว (อารมณ์แบบว่าเรานั่งตรงโต๊ะขายทัวร์ขวางทางทำมาหากิน) นั่งรออยู่นานจนมีผู้ชายคนนึงขี่มอไซค์มาจอดข้างหน้าแล้วเดินเข้ามา เค้าก็ไม่ได้พูดอะไรนะ มานั่งคุยกัน มองหน้าเรา เราก็นั่งอยู่เฉยๆ สักพักก็ต่อโทรศัพท์ไปที่ไกด์ แล้วบอก ยูคุยกับเพื่อนยูสิ เราก็ให้คุยไรฟระ จนเพื่อนบอกว่า เออ เพื่อนที่มาด้วยเค้าอยากจบ ก็เลยรับเงินที่ไกด์ให้มา 5 เหรียญไป พอรู้ว่าเพื่อนรับเงินมาแล้ว เราเงิบนิดหน่อย มิน่า เจ้เหงียนทำกระหยิ่มใส่ เราเลยถามว่าบริษัททัวร์นี้อ่ะอยู่ไหน เราอยากคอมเพลนความผิดพลาดของเค้า มันใหญ่มาก แล้วรับผิดชอบด้วยเงิน 5 เหรียญเนี่ยนะ ตลกแล้ว (มีเจ็บใจกว่านั้นอีกค่ะ มารู้ทีหลังจากเจ้าของบ้านว่า ทัวร์ไป Tam Coc เนี่ย จริงๆถูกกว่าฮาลองเบย์เยอะนะ) เจ้เหงียนชี้ไปที่ผู้ชายที่ขี่มอไซค์มาว่านี่แหละบริษัท เงิบหนักกว่าเดิมอี๊กกกกก อะไรฟระะะะะะ ตอนแรกนึกว่าเพื่อนเจ้มาชวนไปกินข้าว ที่ไหนได้ เจ้บอกว่าเนี่ยเมเนเจอร์ที่คุณอยากคุยด้วย แต่เค้าไม่พูดอะไรกับเราสักคำเลยนะไม่ได้แสดงอาการอยากรับผิดชอบอะไรเลย ชิลล์มาก โหย ยอมใจ เราบอกโอเค ตอนนี้ไม่ใช่คนละที่เราอยากเจอ เราอยากรู้ที่อยู่บริษัท เจ้เหงียนตีมึนเลย แล้วบอกว่ามาตอนบ่ายเองละกัน แล้วเจ้เดินหนี ผู้ชายยืนยิ้มไม่สะทกสะท้านอะไร มองหน้ากันแล้วเลิกคิ้ว เออออออ เราเลยตัดสินใจว่าบ่ายก็บ่าย หิวข้าว เดี๋ยวกลับมา
นี่คุยกันเป็นชั่วโมงเลยนะคะ 1 คำที่ไม่ได้ยินจากคนทั้งคู่ คือคำว่า "ขอโทษ" ทั้งๆที่เป็นความผิดของเขา ยิ่งตอนพูดเรื่องเงินตีเนียนใส่เฉย
ในจุดนี้ เราคิดว่าการที่เพื่อนเราเป็นเจ้าทุกข์ที่แท้จริงนั้นไปตกลงยอมความกับเค้าแล้ว ดังนั้นคำพูดของเราที่เป็นคนอื่นไม่มีผลอะไรกับเค้าแล้วล่ะค่ะ
หลังจากนั้น เราเข้าที่พักอีกครั้ง เล่าเรื่องให้น้องน้องผู้หญิงที่ทำงานอยู่ในโฮมสเตย์แล้วถามว่า ปกติที่นี่อ่ะ เวลาทำผิดเค้าไม่รับผิดชอบกันเหรอ น้องโลกสวยมาก น้องตอบว่า ไม่นะ เค้าเป็นโปรเฟสเชอนอลกันส่วนใหญ่แล้วน่ะ (แต่พอตอนบ่ายเราเล่าเหมือนเดิมและถามประโยคเดิมกับเจ้าของบ้าน เค้าตอบว่า ไม่มีทาง ยากที่คุณจะได้เงินคืน)
ฮานอยของเราวันนั้นไม่เอนจอยแล้วอ่ะ พอหาอะไรกินเสร็จ เข้าที่พักอีกรอบตอนเที่ยง กินยาเพราะปวดหัวแล้วนอนยาวเลย จนตื่นมาบ่ายสามไลน์ถามเพื่อนว่าตกลงยังต้องไปหาเด็กแว่นคนนั้นอีกมั้ย เพื่อนบอกว่าไม่ต้องแล้ว ช่างมันเถอะ ยังไงเค้าก็ไม่รับผิดชอบมากกว่านี้แล้ว
เราเกิดความอยากรู้ว่าบริษัททัวร์เนี้ย หน้าตามันเป็นไง โอเค ไม่ใช่เรื่องของเราโดยตรงก็จริง แต่เราคาใจเรื่องบริษัททัวร์นี้เพราะหลายๆที่ก็ดีลกับเค้า ถามเจ้ เจ้ก็บ่ายเบี่ยงไม่ตอบตีมึนใส่ เอาล่ะหลังจากตื่นก็เลยเกิดโปรเจคตามหาออฟฟิศบริษัท viet bamboo travel ลองดู
**เราไม่ได้หาข้อมูลเกี่ยวกับทัวร์ในฮานอยมาเลย ดังนั้นอันไหนดีไม่ดีเราไม่รู้มาก่อนนะคะ เข้าใจว่าตาดีได้ตาร้ายเสีย แต่พอเจอเรื่องนี้เข้าก็เลยอยากลองตามหาดู คาใจ ไหนๆก็มาถึงฮานอยแล้ว ก็ตามหาแบบโง่ๆด้วยกูเกิ้ลแมพนี่แหละค่ะ ถือว่าเดินเล่นด้วย**
------- ค่ะ finding Hanoi
เริ่มต้นกันที่บริษัทเจ้เหงียนที่เราซื้อทัวร์จากน้องแว่นมา
บริษัทหน้าตาแบบนี้
เราลองเสิร์ชหาคำว่า viet bamboo travel ในกูเกิ้ลแมพ ปรากฎขึ้นแบบนี้ (ภาพแคปตอนอยู่ไทยแล้วนะคะ)
จากบริษัทเจ้เหงียนมันแกวไปตามแผนที่ ใช้เวลา 40 นาที
จากแผนที่ เราเดินเลียบทะเลสาปคืนดาบตรงไปเรื่อยๆ
ช่วงนี้ก็ชมบ้านชมเมืองไปตามประสาค่ะ ใช้เลนส์หมุนมือที่เพื่อนให้ยืมมา โดย ... ใช้ไม่เป็นหรอกค่ะ หมุนมั่ว
ค่ะ ชมฮานอยเรื่อยๆ ก่อนจะไปพบความจริงที่ปวดใจทำไมถึงทำกับฉันได้
*โอเค เดี๋ยวมาต่อนะมายเฟรนด์
[CR] Welcome to Vietnam 9 วันรอดมาได้ สุดท้ายตายตอนจบ ประสบการณ์ซื้อทัวร์และค้นหา ณ ประเทศอาเซียนในตำนาน
ประโยคนี้ ทุกคนคงได้ยินบ่อยมากในเมืองท่องเที่ยวของเวียดนาม ทุกครั้งที่ถูกเรียกว่ามายเฟรนด์ เรารู้สึกจั๊กจี้อย่างบอกไม่ถูก
มาค่ะ มาดูสิ่งที่เพื่อนทำกับเรา
ทริปนี้ทั้งหมดทั้งสิ้น เราอยู่ในเวียดนามเป็นเวลา 11 วัน 10 คืน เดินทางจากใต้ขึ้นเหนือ โฮจิมินห์ -> หมุยแน้ -> ญาจาง -> ฮอยอัน -> เว้ -> ฮานอย ตัวเราเองไม่ได้มีความอยากไปเวียดนามเองหรอกค่ะ แต่มันติดพันธะสัญญาบางอย่าง(เรื่องส่วนตัวที่ไม่ขอพูดถึง)ที่ทำให้ต้องไป ดังนั้น เรื่องความประทับจงประทับใจ สถานท่งสถานที่ต่างๆ เราไม่อาจเล่าได้เพราะเราไม่มีอารมณ์ร่วมด้วยเลย ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นหรอกค่ะ ประเทศเขาก็มีข้อดีที่น่าศึกษาอยู่ แค่ไม่ได้อยากไปตั้งแต่แรกแต่มันมีเหตุจำเป็นให้ต้องไป ความรู้สึกร่วมเลยต่ำมากจนกลายเป็นอยู่ไปวันๆมากกว่า เล่าก็ไปเท่านั้น
แต่ที่ต้องมาตั้งกระทู้พันทิปหลังจากแลนด์ดิ้งได้ไม่นานนักก็เพราะว่าได้รับประสบการณ์จากการซื้อทัวร์ที่ฮานอยมาเล่าสู่กันฟังเป็นวิทยาทานค่ะ
ตลอดระยะเวลาที่อยู่ในเวียดนาม เราต่างพร่ำบอกกับคนที่มาด้วยให้ระวังนู่นระวังนี่ เพราะถ้าเกิดปัญหาอะไรขึ้นมา เราดูจากภาพรวมแล้ว มันแก้ปัญหาได้ยากอยู่ เช่น พวกของหาย ลักทรัพย์ เป็นต้น บอกให้ระวังนะคะ ไม่ใช่ระแวง คือไปไหนมาไหน ต้องระวังหมดแหละ
ที่เมืองอื่นๆ เราลองซื้อทัวร์จากเอเจ้นท์ที่หาข้อมูลมาแล้วบ้าง จากโรงแรมบ้าง ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรมากมาย จนมาที่ฮานอยเนี่ยแหละที่เป็นเรื่องเป็นราว
เรื่องต่อไปนี้ เป็นเรื่องของเพื่อนที่ไปด้วย(เพราะคนซื้อทัวร์คือตัวเขา) แต่เราจะเล่าในส่วนที่เราได้เจอเองกับตัวนะ ส่วนของเขาในขณะที่เราไม่ได้อยู่ด้วยเราไม่สามารถบอกได้
ไปค่ะ ลุย
------ วันที่ 9 ในเวียดนาม เราเดินทางจากเว้ด้วยรถนอนก็ถึงฮานอย เมืองหลวงของประเทศเวียดนามและเป็นเมืองสุดท้ายของการเดินทางครั้งนี้ หลังจากเข้าเชคอินที่โฮมสเตย์แล้ว เพื่อนเราและเพื่อนของนางต้องการที่จะไปฮาลองเบย์ในวันต่อไป (เราได้ออกตัวไปก่อนแล้วว่า ไม่ไป ไม่ชอบน้ำ อีกอย่างอยากกลับไทยสุดๆแล้ว) แต่พอสอบถามราคาทัวร์จากที่พักแล้ว ทริปฮาลองเบย์วันเดย์ทัวร์ ราคา 35 เหรียญดอลล่าร์สหรัฐ ทางเพื่อนและเพื่อนของนางยังไม่พอใจมากนัก เห็นว่าข้างนอกมีให้เลือกอีก ก็เลยตกลงกันว่าจะไปเดินหาเอง ก็โอเค แล้วแต่ เขาตัดสินใจยังไงก็ต้องตามนั้น
ตกเย็น ก็เดินสำรวจราคาในแถบโอลควอเตอร์ที่เราพักอาศัย บริษัทแรกที่เข้าไป บอกราคาชัดเจน เขียนเป็นเรทให้เลยว่า ทัวร์ฮาลองเบย์นั้นมี 3 เรท ดังนี้
25 เหรียญ - not good
30 เหรียญ - so so
35 เหรียญ - good
คำอธิบายสั้นๆเกี่ยวกับความแตกต่างก็คือ 25 เหรียญ คุณได้เรือเก่า อาหารไม่ดี 30 เหรียญ ได้เรือใหม่กว่า อาหารดีกว่านิดหน่อย 35 เหรียญ คุณเที่ยวสบาย ราคาทั้งหมดนี้ไม่รวมค่าคายัคหรือแบมบูโบ๊ทอีก 5 เหรียญเพื่อพายเข้าไปถ้ำนะ ถ้าคุณไม่อยากเข้า ก็อยู่เฉยๆบนเรือไป (พูดจาฉะฉานมาก แฟร์สุดแล้วถ้าเทียบกับที่อื่นที่ถามมาทีหลัง) ก็โอเค รับฟังแล้วบอกว่าขอเวลาตัดสินใจ เค้าก็บอกว่าแล้วแต่ ฮ่าฮ่า ไม่แคร์สุดๆ
ต่อไป บริษัทที่สอง ราคาเท่าที่แรก ใช้ทัวร์จากที่เดียวกัน แต่ลุงคนขายสูบบุหรี่อยู่ เรายืนอยู่ไม่นานก็จากมา
ต่อไป บริษัทที่สาม (ขีดเส้นใต้สำคัญมาก) น้องแว่นสาววัยละอ่อนเป็นสต๊าฟรอบค่ำอยู่ นั่งอธิบายเกี่ยวกับทัวร์ สำหรับที่นี่ ราคาต่างกันหน่อย คือ 26 เหรียญ กับ 31 เหรียญ แต่ค่าเรือ 4 เหรียญ กระนั้น ผลรวมก็เท่ากับบริษัทแรกอยู่ดี และจากรูปเล่มที่เปิดให้ ก็ใช้บริษัทนำเที่ยวเดียวกันนั่นแหละ
เก็บช้อยส์ไว้แค่ 3 บริษัทเท่านั้น แล้วก็พากันออกไปหาอะไรกิน สอบถามแล้วว่าปิดร้านกันประมาณ 2-3 ทุ่ม กลับมาก็น่าจะทัน
--- ผ่านตอนกินข้าวไป
เราเดินกลับมาที่เก่า ในส่วนนี้ เนื่องจากเราไม่ได้ไปเองจึงให้คนที่ไปตัดสินใจ เพื่อนของเพื่อนตัดสินใจจะซื้อทัวร์กับบริษัทที่สามเพราะเขาบอกว่าอ่านในพันทิปแล้วบอกว่าราคาไหนก็ไม่ต่างกันมากหรอก เรากลับมาหาน้องแว่น สอบถามรายละเอียดอีกครั้งในแน่ใจ ถามกระทั่งเรื่องทิป น้องแว่นให้รายละเอียดดีมาก คุยดีใสซื่อ เราถึงขนาดบอกว่า ว่างๆมาเที่ยวไทยดิ จบการซื้อขายที่ทัวร์ฮาลองเบย์ 35 เหรียญ 2 คน ตามบิลในรูปค่ะ
(ส่วนของ deposit ตอนแรกไม่มีการเขียนแบบนี้นะคะ อันนี้ถ่ายหลังจากเกิดเรื่อง)
เอาล่ะค่ะ คืนนั้น สองคนนั้นก็นอนหลับฝันถึงฮาลองเบย์กันไป
และแล้ว ความจริงก็มาถึงในรุ่งเช้า
ทางบริษัทนัดรถมารับ 8.00-8.30 น. แต่เพื่อนกับเพื่อนของเขาตัดสินใจออกไปหาอะไรกินตอนเช้าและขอไปรอรถที่บริษัทแทน ในตอนเช้าจะเป็นผู้หญิงอีกคนอยู่ ไม่ใช่น้องแว่น ส่วนเราก็นอนต่อค่ะ ไม่มีแพลนอะไรในฮานอยอยู่แล้ว กะว่าสายๆจะไปหาเฝอหมูยอกิน แค่นั้นเอง
9.30 น. ขณะที่เราอาบน้ำเสร็จ ก็เชคโทรศัพท์ ปรากฏเพื่อนไลน์มาว่าให้รับสายด่วน (เมื่อ 20 นาทีที่แล้ว) พอตอบกลับก็รีบโทรมาทันที บอกว่า โดนหลอกแล้ว ทัวร์แม่มไม่ได้ไปฮาลองเบย์ พามาที่ไหนก็ไม่รู้ ไม่รู้จัก แล้วอีกคนก็แนบรูปมาให้ ปรากฎว่ารถที่ขึ้นไปน่ะ ไป Hoa Lu Tam Coc แล้วทางไกด์มาบอกเรื่องนี้ตอนรถอยู่บนทางด่วนแล้ว ทางไกด์บอกว่าจะคืนเงินให้ 5 เหรียญ เพื่อนรู้สึกไม่โอเค มันไม่ใช่ นางก็เลยใช้ให้เราไปที่บริษัทให้หน่อย (จริงๆเราก็ถามนะว่า ก่อนขึ้นไม่ถามเค้าก่อนขึ้นรถเหรอว่าไปไหน เพื่อนบอกก็เห็นว่าเค้าตรวจตั๋วแล้ว เชคชื่อแล้ว เลยไม่ถามอีก)
**ในส่วนที่เพื่อนคุยกับไกด์ยังไงบ้าง คือเราไม่สามารถเล่าได้นะคะ ไม่ใช่อะไร เพราะเราไม่ได้คุยเอง ไม่ได้อยู่ตรงนั้น ไม่ทราบสถานการณ์ตรงนั้น**
โอยยยยยยยยยย ยังเดินไม่ถึงหน้าบริษัทเลยค่ะ เจ้เหงียนมองหน้าแล้วเหมือนมีญาณ รู้เลยมันมาด้วยเรื่องอะไร นางลากเข้าไปนั่งในบริษัท มายเฟรนด์ทุกคำ บอกว่ายัวร์เฟรนด์อ่ะมิสเทคบัส เราย้ำว่า เฮ้ย ไม่ใช่นะ เพื่อนเราบอกว่าเค้าไม่ได้มิสเทค นี่มันเป็นความผิดของพวกคุณ แล้วเจ้เหงียนก็ต่อสายให้เราคุยกับเพื่อน บอกว่าเพื่อนคุณคุยกับไกด์แล้ว สิ่งที่เจ้เหงียนทำคือพูดไปเรื่อยเปื่อย เราบอกนี่มันวันสุดท้ายที่เวียดนาม คุณต้องรับผิดชอบสิ มาทำแบบนี้ได้ไง เจ้เหงียนเริ่มตีมึน แต่ยังยิ้มอยู่ สักพักเราบอกว่า เพื่อนเราไม่โอเค เค้าต้องการให้ทางคุณรับผิดชอบด้วยการคืนเงินมา เพราะไม่เป็นไปตามที่ตกลงกันไว้ อย่างน้อยๆก็ครึ่งนึงของค่าทริป เรากดเครื่องคิดเลขให้ดู พอพูดว่าจะขอคืนเงินเท่านั้นแหละค่ะ จากมายเฟรนด์ ไม่เป็นมันแล้วพ่งเพื่อน เจ้เหงียนปัดเครื่องคิดเลขที่เป็นตัวเลข 35 ให้พ้นตัว เดินหนีไปที่เก้าอี้ตัวอื่นไม่พูดอะไรแล้วนั่งปอกมันแกวกิน หันมาบอกว่า คุณมาอีกทีตอนบ่ายโมงแล้วกัน ถามคนที่ขายทัวร์ให้คุณเอง
เอิ่มมมมมมมมมมมม เงิบ แต่ก็ยังนั่งอยู่ไม่ลุกไปไหน เจ้เหงียนก็นั่งกินมันแกวกับป้าอีกคนนึงเฉย เราก็ยังนั่งอยู่ หยิบนู่นหยิบนี่มาจดมาเขียน (หยิบจากโต๊ะเค้าทั้งนั้นอ่ะ 555555) เราเขียนเป็นภาษาอังกฤษอีกครั้ง เพราะเราคิดว่าเค้าไม่เข้าใจที่เราพูดหรือเปล่าถึงได้ไปนั่งกินมันแกวเนี่ย ก็เขียนประโยคเดิมๆแหละ ว่าต้องรับผิดชอบด้วยการคืนเงิน หลังจากเค้าอ่านก็ถอนหายใจนิดนึงแล้วหยิบมือถือมาโทร แล้วบอกให้เรามานั่งอีกที่ด้วยสีหน้ารำคาญเต็มทีแล้ว (อารมณ์แบบว่าเรานั่งตรงโต๊ะขายทัวร์ขวางทางทำมาหากิน) นั่งรออยู่นานจนมีผู้ชายคนนึงขี่มอไซค์มาจอดข้างหน้าแล้วเดินเข้ามา เค้าก็ไม่ได้พูดอะไรนะ มานั่งคุยกัน มองหน้าเรา เราก็นั่งอยู่เฉยๆ สักพักก็ต่อโทรศัพท์ไปที่ไกด์ แล้วบอก ยูคุยกับเพื่อนยูสิ เราก็ให้คุยไรฟระ จนเพื่อนบอกว่า เออ เพื่อนที่มาด้วยเค้าอยากจบ ก็เลยรับเงินที่ไกด์ให้มา 5 เหรียญไป พอรู้ว่าเพื่อนรับเงินมาแล้ว เราเงิบนิดหน่อย มิน่า เจ้เหงียนทำกระหยิ่มใส่ เราเลยถามว่าบริษัททัวร์นี้อ่ะอยู่ไหน เราอยากคอมเพลนความผิดพลาดของเค้า มันใหญ่มาก แล้วรับผิดชอบด้วยเงิน 5 เหรียญเนี่ยนะ ตลกแล้ว (มีเจ็บใจกว่านั้นอีกค่ะ มารู้ทีหลังจากเจ้าของบ้านว่า ทัวร์ไป Tam Coc เนี่ย จริงๆถูกกว่าฮาลองเบย์เยอะนะ) เจ้เหงียนชี้ไปที่ผู้ชายที่ขี่มอไซค์มาว่านี่แหละบริษัท เงิบหนักกว่าเดิมอี๊กกกกก อะไรฟระะะะะะ ตอนแรกนึกว่าเพื่อนเจ้มาชวนไปกินข้าว ที่ไหนได้ เจ้บอกว่าเนี่ยเมเนเจอร์ที่คุณอยากคุยด้วย แต่เค้าไม่พูดอะไรกับเราสักคำเลยนะไม่ได้แสดงอาการอยากรับผิดชอบอะไรเลย ชิลล์มาก โหย ยอมใจ เราบอกโอเค ตอนนี้ไม่ใช่คนละที่เราอยากเจอ เราอยากรู้ที่อยู่บริษัท เจ้เหงียนตีมึนเลย แล้วบอกว่ามาตอนบ่ายเองละกัน แล้วเจ้เดินหนี ผู้ชายยืนยิ้มไม่สะทกสะท้านอะไร มองหน้ากันแล้วเลิกคิ้ว เออออออ เราเลยตัดสินใจว่าบ่ายก็บ่าย หิวข้าว เดี๋ยวกลับมา
นี่คุยกันเป็นชั่วโมงเลยนะคะ 1 คำที่ไม่ได้ยินจากคนทั้งคู่ คือคำว่า "ขอโทษ" ทั้งๆที่เป็นความผิดของเขา ยิ่งตอนพูดเรื่องเงินตีเนียนใส่เฉย
ในจุดนี้ เราคิดว่าการที่เพื่อนเราเป็นเจ้าทุกข์ที่แท้จริงนั้นไปตกลงยอมความกับเค้าแล้ว ดังนั้นคำพูดของเราที่เป็นคนอื่นไม่มีผลอะไรกับเค้าแล้วล่ะค่ะ
หลังจากนั้น เราเข้าที่พักอีกครั้ง เล่าเรื่องให้น้องน้องผู้หญิงที่ทำงานอยู่ในโฮมสเตย์แล้วถามว่า ปกติที่นี่อ่ะ เวลาทำผิดเค้าไม่รับผิดชอบกันเหรอ น้องโลกสวยมาก น้องตอบว่า ไม่นะ เค้าเป็นโปรเฟสเชอนอลกันส่วนใหญ่แล้วน่ะ (แต่พอตอนบ่ายเราเล่าเหมือนเดิมและถามประโยคเดิมกับเจ้าของบ้าน เค้าตอบว่า ไม่มีทาง ยากที่คุณจะได้เงินคืน)
ฮานอยของเราวันนั้นไม่เอนจอยแล้วอ่ะ พอหาอะไรกินเสร็จ เข้าที่พักอีกรอบตอนเที่ยง กินยาเพราะปวดหัวแล้วนอนยาวเลย จนตื่นมาบ่ายสามไลน์ถามเพื่อนว่าตกลงยังต้องไปหาเด็กแว่นคนนั้นอีกมั้ย เพื่อนบอกว่าไม่ต้องแล้ว ช่างมันเถอะ ยังไงเค้าก็ไม่รับผิดชอบมากกว่านี้แล้ว
เราเกิดความอยากรู้ว่าบริษัททัวร์เนี้ย หน้าตามันเป็นไง โอเค ไม่ใช่เรื่องของเราโดยตรงก็จริง แต่เราคาใจเรื่องบริษัททัวร์นี้เพราะหลายๆที่ก็ดีลกับเค้า ถามเจ้ เจ้ก็บ่ายเบี่ยงไม่ตอบตีมึนใส่ เอาล่ะหลังจากตื่นก็เลยเกิดโปรเจคตามหาออฟฟิศบริษัท viet bamboo travel ลองดู
**เราไม่ได้หาข้อมูลเกี่ยวกับทัวร์ในฮานอยมาเลย ดังนั้นอันไหนดีไม่ดีเราไม่รู้มาก่อนนะคะ เข้าใจว่าตาดีได้ตาร้ายเสีย แต่พอเจอเรื่องนี้เข้าก็เลยอยากลองตามหาดู คาใจ ไหนๆก็มาถึงฮานอยแล้ว ก็ตามหาแบบโง่ๆด้วยกูเกิ้ลแมพนี่แหละค่ะ ถือว่าเดินเล่นด้วย**
------- ค่ะ finding Hanoi
เริ่มต้นกันที่บริษัทเจ้เหงียนที่เราซื้อทัวร์จากน้องแว่นมา
บริษัทหน้าตาแบบนี้
เราลองเสิร์ชหาคำว่า viet bamboo travel ในกูเกิ้ลแมพ ปรากฎขึ้นแบบนี้ (ภาพแคปตอนอยู่ไทยแล้วนะคะ)
จากบริษัทเจ้เหงียนมันแกวไปตามแผนที่ ใช้เวลา 40 นาที
จากแผนที่ เราเดินเลียบทะเลสาปคืนดาบตรงไปเรื่อยๆ
ช่วงนี้ก็ชมบ้านชมเมืองไปตามประสาค่ะ ใช้เลนส์หมุนมือที่เพื่อนให้ยืมมา โดย ... ใช้ไม่เป็นหรอกค่ะ หมุนมั่ว
ค่ะ ชมฮานอยเรื่อยๆ ก่อนจะไปพบความจริงที่ปวดใจทำไมถึงทำกับฉันได้
*โอเค เดี๋ยวมาต่อนะมายเฟรนด์