เกือบทั้งหมดของคนที่ก้าวออกจากโรงภาพยนต์ Your name จะมีความรู้สึกหน่วง
เศร้าทั้งที่เรื่องราวมันไม่เศร้า เจ็บปวดทั้งที่รู้ดีว่ามันสมหวัง ทำไม
kimi no na wa กำลังกระตุ้นความรู้สึกอะไรของคนดูโดยไม่รู้ตัวกันแน่
--------------
หนังเรื่องนี้บอกเล่าเรื่องราวของความรักโดยตัดเอาข้อแม้ทุกอย่างออกไป ตั้งแต่ความเป็นจริง เวลา อายุ สถานที่อยู่ ไปจนถึงชื่อ
ชื่อ เป็นสิ่งที่คนเราเคยชินกับมันมากที่สุด เป็นสิ่งที่แสดงความเป็นมนุษย์มากที่สุดก็ว่าได้ คนเราตั้งชื่อให้กับทุกอย่างจนเรามีภาษา ตั้งกรอบสร้างสัญลักษณ์ใส่ทุกอย่างในชีวิตจนคุ้นชินกับมัน ในขณะที่สัตว์อื่นไม่ (หรือมีแต่เราฟังไม่ออก)
มนุษย์ตั้งกรอบให้ความรักเหลือเกิน มีข้อแม้มากมายในความสัมพันธ์
ต้องสื่อสารกันด้วยคำพูดรู้เรื่องนะ ต้องอยู่ในสังคมเดียวกัน ต้องจีบกันก่อนสักหน่อย
ต้องต่างเพศ ต้อง ต้อง และต้องเต็มไปหมด
หนังฉีกกรอบแรกไปคือเรื่องเพศ ถ้าคุณอยู่ในร่างผู้ชาย (เพศชาย) จะรักตัวเองซึ่งเป็นผู้ชายได้ไหม แล้วถ้าอยู่ในร่างผู้หญิง (เพศหญิง) จะรักตัวเองซึ่งเป็นผู้หญิงได้ไหม หนังบอกเราว่า ร่างกายภายนอกกำหนดความรักไม่ได้ มันขึ้นอยู่กับจิตใจต่างหาก
แต่เขาไม่ได้นำเสนอแรงนัก ให้มันอยู่ในรูปของความฝัน ให้เป็นภาพการ์ตูนเพื่อให้เราไม่รู้สึกต่อต้านจนเกินไป อย่างไรการ์ตูนก็ไม่ใช่มนุษย์ พอเป็นอนิเมะเราจะค้านความหลุดกรอบของมันน้อยลง ไม่เอาบรรทัดฐานตัวเองไปตัดสินมากนัก ปล่อยให้ความฝันและจินตนาการได้ทำงาน เอาหลักเหตุและผลของวิทยาศาสตร์ทิ้งไว้นอกโรงเพียงเพราะเรารู้ดีว่ากำลังจะไปดู "การ์ตูน"
ความฝัน
เป็นเรื่องฝันไป
จากเรื่องง่ายๆ อย่างเรื่องเพศ ก็ไปสู่ระยะทาง เมื่อคนสองคนอยากรักกัน ระยะทางอาจเป็นอุปสรรคที่หนักหนากว่าเพศสภาพในสมัยนี้ คู่รักเพศเดียวหรือต่างเพศก็มีปัญหาความไกลได้ทั้งนั้น แต่เราแก้ไขมันได้ การเดินทางแก้ไขได้ หัวใจที่ผูกพันย่นระยะทางเสมอ รักจริงยังไงหัวใจก็ใกล้
ความเชื่อต่อไปคือเรื่องของกาลเวลา
เราอยู่คนละช่วงเวลากัน อยู่คนละโลก คนละมิติ ความเหลื่อมล้ำซับซ้อน
แต่อย่างไรมันก็เคยถูกนำเสนอไปแล้วในหนังเรื่องอื่น ไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมาย
หนังเหมือนจะบอกว่าหมดหวังแล้ว มันเกินไปจริงๆ
แค่ห้วงเวลาที่ไม่ทับซ้อนก็หนักหนาเกินว่าจะรักกันได้
แล้วก็ตีตะปูปิดโลงด้วยชื่อ
หากเราไม่ได้รู้จักกันแบบมนุษย์แล้วล่ะ
ไม่มีแม้แต่ชื่อ
เราจะจดจำกันได้อย่างไร
ทุกชนชาติมีเรื่องเล่าของความผูกพันจากชาติก่อน พรหมลิขิต เนื้อคู่
นางเอกได้พบกับความเจ็บปวดนั้นแล้วตอนที่เดินทางไปหาพระเอกในเมืองเพื่อพบว่าเขาไม่เคยรู้จักเธอเลย เจ็บปวด ผิดหวัง แต่แค่คำพูดเรียกไว้ เธอชื่ออะไร ด้ายแดงก็เชื่อมทั้งคู่เข้าไว้ด้วยกัน (เชือกรัดผม) เราไม่รู้จักด้ายแดงนั้น ไม่เคยเข้าใจความหมาย แต่ก็ยังผูกมันไว้ติดมืออยู่เสมอ
สุดท้ายตัวเอกลืมเลือนกันไป มีแค่ความทรงจำคลับคล้ายคลับคลาจากความฝันของช่วงเวลาในอดีต
เชื่อในความรู้สึกแค่ไหน ถึงยังคงรอคอย
พ่ายแพ้ให้กับพรหมลิขิตได้หรือไม่ ถึงเลือกที่จะทักกันโดยไม่รู้จักแม้แต่ชื่อ
วินาทีที่ตัวเอกกำลังเดินสวนกันไปนั้นแสนเจ็บปวดใจ ทั้งที่รักมาก ทั้งที่ผูกพันยาวนานขนาดนั้น เมื่อไม่มีสัญลักษณ์ใดๆ ให้ระบุตัวตนกันได้ เราจะลืมเลือนหมดเลยงั้นหรือ ทุกอย่างไร้ค่าไร้ความหมายจริงหรือ แล้วเสียงกระซิบเบาๆ จากอกเรามันคืออะไร ไร้เหตุผล? ไม่น่าเชื่อถือ? งมงายไร้สาระ? เกมความรักใครรักก่อนแพ้??
จะเป็นอย่างไรถ้าเราฟังเสียงหัวใจกันจริงๆ
ตัวอย่างคอมเม้นท์ดีๆ จากเพื่อนที่คุยกันในเฟสบุ๊ตค่ะ
https://www.facebook.com/yommi.jom/posts/1296089530519113
https://storylog.co/story/582a6a683c2414944288e541
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้Viriya Viriyapatr
อันนี้ในความคิดส่วนตัวเรา เราว่ามันจบลง positive มากนะ (โดยเฉพาะถ้าเทียบกับหนังของผู้กำกับคนนี้เรื่องก่อนๆ หน้า) คือเหมือนทั้งเรื่องนี้มันนำเสนอถึงความผูกพันเชื่อมโยงกันระหว่างดวงวิญญาณ 2 ดวง คือของพระเอกนางเอก ให้มันมาวนเวียนอยู่ด้วยกัน แม้ก่อนหน้านี้จะไม่รู้จักอะไรใดๆ เลยก็ตาม ยายของนางเอกนำเสนอคำว่า "มูสึบิ" ที่ความหมายรวมๆ มันคือ ทุกอย่างมีความเชื่อมโยงกัน แล้วเปรียบเทียบกับเชือก มีพันกันบ้าง แยกออกจากกันบ้าง มารวมเข้ากันใหม่บ้าง เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ มีการเปรียบเทียบเหมือนมันเป็นพรหมลิขิตอ่ะ ถึงจะปัจจัยต่างๆ ที่สามารถทำให้เกิด "ความรัก" จะไม่อำนวยหรือไม่มีเลยก็ตาม เช่น เพศ รสนิยมทางเพศ เวลา สถานที่ หรือแม้แต่ชื่อ แต่เพราะเหมือนมีบางสิ่งกำหนดเอาไว้แล้วว่าชีวิตเรากับชีวิตคนๆ นี้มันเชื่อมถึงกัน ดังนั้นไม่ว่าจะขาดอะไรไป ไม่ว่าจะจำชื่อกันได้หรือไม่ ไม่ว่าจะเวียนว่ายตายเกิดกันอีกกี่ชาติมันก็กลับมาพบกันได้อยู่ดีอ่ะ นึกภาพประมาณ Cloud Atlas ที่ชีวิตตัวละครในแต่ละชาตินี่มาเกี่ยวข้องพันกันตลอด แม้ว่าจะไม่รู้จักกันเลยก็ตาม
ต่อไปนี้ SPOILER 5555+
ถ้ามองจากในเรื่อง ดูจากการสลับร่างกันก็ได้ พระเอกกับนางเอกสลับร่างกันอย่างไม่มีเหตุผล แล้วยิ่งไปกว่านั้นพระเอกมารู้ทีหลังว่า ช่วงเวลาของตัวเองกับนางเอกห่างกัน 3 ปีด้วยซ้ำ แต่ก็ยังเกิดการสลับร่างข้ามเวลา ทำให้ทั้งคู่ได้มารู้จักกันได้ แม้จะมีช่วงนึงที่หยุดสลับร่างไป พระเอกก็ยังคงรู้สึกเหมือนอาลัยอาวรณ์นางเอกอยู่ พยายามทำทุกอย่างเพื่อตามหาให้พบ ถึงจะรู้ความจริงอันโหดร้าย ก็ยังไม่ยอมแพ้ ขอร้องปาฏิหารย์สุดท้ายในการช่วยชีวิตนางเอกโดยการดื่มสาเกที่นางเอกทำมา แล้วปาฏิหารย์มันก็เกิดขึ้นจริงๆ พระเอกได้รับโอกาสให้ย้อนเวลากลับไปช่วยนางเอกและคนในเมืองอีกครั้ง เหมือนกับโชคชะตาต้องการให้สองคนนี้ได้กลับมาพบกันอีกจริงๆ
ยายของนางเอกบอกว่า สิ่งๆ นี้เป็นสิ่งที่เกิดกับตระกูลตนเองมานานแล้ว ซึ่งพระเอกก็สันนิษฐานว่า อาจเกิดขึ้นเพราะอะไรบางอย่างต้องการให้ทั้งสองคนได้มาพบกัน ได้มารู้จักกัน จนมาถึงจุดที่ทั้งคู่สามารถร่วมมือกันเพื่อป้องกันภัยพิบัติไม่ให้คร่าชีวิตคนทั้งเมืองได้ แล้วท้ายที่สุดแล้ว แม้ว่าพระเอกกับนางเอกจะลืมเลือนชื่อกันและกันไป แต่ทั้งคู่ก็ยังรู้สึกเหมือนชีวิตตนเองมันมีอะไรบางอย่างขาดหายไป แล้วชีวิตก็บันดาลให้ทั้งคู่เดินทางมาเจอกันครั้งแล้วครั้งเล่าเรื่อยๆ จนกว่าทั้งคู่จะมองเห็นกันได้ (ครั้งแรกตอนพระเอกแวบเห็นนางเอกจากบนรถไฟ ครั้งที่สองตอนเดินสวนกันบนสะพานลอย ครั้งที่สามก็ตอนนั่งรถไฟกันมาคนละสายขนานกันแล้วเห็นกันในที่สุด) จนทำให้ทั้งคู่เข้าใจว่า ตนเองกำลังตามหาใครซักคนมาตลอดชีวิต แล้วในที่สุดก็ได้เจอกันนั่นเอง แม้จะจำกันไม่ได้ แต่ก็รู้สึกผูกพันกัน คงเพราะเหมือนชีวิตกำหนดมาแล้วว่าทั้งสองนั้นจะได้คู่กัน
มันอาจจะฟังดูค่อนข้างเพ้อฝัน หรือมองโลกในแง่ดีเกินไป หรืออาจทำให้เรารู้สึกเหมือนเป็นทาสให้กับโชคชะตา (เหมือนว่าชีวิตลิขิตแล้วว่าคนๆ นี้เป็นคู่เรา เราไม่มีทางมีความสุขกับใครอื่นหรือชีวิตได้เลยถ้าเราสองคนไม่ได้มาเจอกัน) แต่เราเชื่อว่าทุกสิ่งที่เราทำไปเพื่อตามหาคนๆ นั้นให้เจอนั้นมันไม่มีอะไรไร้ค่า เพราะถ้าชีวิตกำหนดมาแล้วว่าคนสองคนจะเป็นคู่กัน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถึงจะไม่รู้จักกัน หรือเคยรู้จักกันแต่จำกันไม่ได้ มันก็จะมาพบกันได้แน่นอน ไม่ชาตินี้ก็ชาติหน้า นั่นคือสิ่งที่เราคิดว่าหนังเรื่องนี้ต้องการนำเสนอนะ ^_^
ข้อมูลเพิ่มเติมเรื่อง "มูสีบิ" นี่จากเพจ Starless Night - Harit Mahaton เรื่อง "เหตุผลที่เรารักกัน" เน้อ ลองอ่านดูๆ
Jomtian Jansomrag
เพราะในเรื่อง ความเชื่อนี้มันจบลงอย่างโพสสิทีฟ คนดูเลยเศร้าไง เพราะเราพยายามที่จะไม่เชื่อมันเสมอ
Viriya Viriyapatr
เอาคำจาก Doctor Strange มาใช้เลย จากตอนที่ดอกเตอร์ถามอาจารย์ว่าทำไมสิ่งที่สอนมันไม่เป็นไปตามเหตุผลเลย นางก็ตอบว่า "Not everything does, not everything has to." บางอย่างมันไม่มีเหตุผล บางทีมันก็จบเกินฝันเกินจริง แต่ลึกๆ แล้วมันก็เป็นสิ่งที่เราทุกคนโหยหาอ่ะ เราต้องการที่จะรู้สึกแบบนี้ สื่อเหล่านี้มันก็เลยเป็นคล้ายๆ ตัวแทนความรู้สึกเราอ่ะ เอาจริงๆ ตอนนี้เราก็ยังหน่วงๆ กับชีวิตเหมือนกันหลังดูจบ รู้สึกว่า "ทำไมชีวิตเรามันไม่มีอะไรแบบนี้บ้างนะ" แล้วก็มาปวดหัวกับตัวเองเพราะโอกาสที่จะเป็นแบบนี้มันยากมาก หรืออาจจะไม่มีด้วยซ้ำ เพราะชีวิตจริงมันไม่ได้เป็นแบบนั้น แต่เราก็ยังคงเชื่อแบบนี้ต่อไปอ่ะ เรียกว่าคิดบวกก็ได้แหละ 555 แต่เราเชื่อว่าซักวันมันต้องมีจะต้องมีเรื่องพิเศษราวกับฝันเช่นนี้เกิดขึ้นกับตัวเราบ้าง ที่เราต้องทำก็แค่เดินหน้าต่อไปพร้อมกับความหวังว่ามันจะเกิดขึ้นจริง เพราะความหวังคือสิ่งที่ทำให้เรามีชีวิตอยู่แม้ไม่มีสิ่งใดเลยก็ตามนั่นเอง
[spoiled] Kimi No Na Wa [ทำไมเราถึงเศร้ากับหนังเรื่องนี้นะ]
เศร้าทั้งที่เรื่องราวมันไม่เศร้า เจ็บปวดทั้งที่รู้ดีว่ามันสมหวัง ทำไม
kimi no na wa กำลังกระตุ้นความรู้สึกอะไรของคนดูโดยไม่รู้ตัวกันแน่
--------------
หนังเรื่องนี้บอกเล่าเรื่องราวของความรักโดยตัดเอาข้อแม้ทุกอย่างออกไป ตั้งแต่ความเป็นจริง เวลา อายุ สถานที่อยู่ ไปจนถึงชื่อ
ชื่อ เป็นสิ่งที่คนเราเคยชินกับมันมากที่สุด เป็นสิ่งที่แสดงความเป็นมนุษย์มากที่สุดก็ว่าได้ คนเราตั้งชื่อให้กับทุกอย่างจนเรามีภาษา ตั้งกรอบสร้างสัญลักษณ์ใส่ทุกอย่างในชีวิตจนคุ้นชินกับมัน ในขณะที่สัตว์อื่นไม่ (หรือมีแต่เราฟังไม่ออก)
มนุษย์ตั้งกรอบให้ความรักเหลือเกิน มีข้อแม้มากมายในความสัมพันธ์
ต้องสื่อสารกันด้วยคำพูดรู้เรื่องนะ ต้องอยู่ในสังคมเดียวกัน ต้องจีบกันก่อนสักหน่อย
ต้องต่างเพศ ต้อง ต้อง และต้องเต็มไปหมด
หนังฉีกกรอบแรกไปคือเรื่องเพศ ถ้าคุณอยู่ในร่างผู้ชาย (เพศชาย) จะรักตัวเองซึ่งเป็นผู้ชายได้ไหม แล้วถ้าอยู่ในร่างผู้หญิง (เพศหญิง) จะรักตัวเองซึ่งเป็นผู้หญิงได้ไหม หนังบอกเราว่า ร่างกายภายนอกกำหนดความรักไม่ได้ มันขึ้นอยู่กับจิตใจต่างหาก
แต่เขาไม่ได้นำเสนอแรงนัก ให้มันอยู่ในรูปของความฝัน ให้เป็นภาพการ์ตูนเพื่อให้เราไม่รู้สึกต่อต้านจนเกินไป อย่างไรการ์ตูนก็ไม่ใช่มนุษย์ พอเป็นอนิเมะเราจะค้านความหลุดกรอบของมันน้อยลง ไม่เอาบรรทัดฐานตัวเองไปตัดสินมากนัก ปล่อยให้ความฝันและจินตนาการได้ทำงาน เอาหลักเหตุและผลของวิทยาศาสตร์ทิ้งไว้นอกโรงเพียงเพราะเรารู้ดีว่ากำลังจะไปดู "การ์ตูน"
ความฝัน
เป็นเรื่องฝันไป
จากเรื่องง่ายๆ อย่างเรื่องเพศ ก็ไปสู่ระยะทาง เมื่อคนสองคนอยากรักกัน ระยะทางอาจเป็นอุปสรรคที่หนักหนากว่าเพศสภาพในสมัยนี้ คู่รักเพศเดียวหรือต่างเพศก็มีปัญหาความไกลได้ทั้งนั้น แต่เราแก้ไขมันได้ การเดินทางแก้ไขได้ หัวใจที่ผูกพันย่นระยะทางเสมอ รักจริงยังไงหัวใจก็ใกล้
ความเชื่อต่อไปคือเรื่องของกาลเวลา
เราอยู่คนละช่วงเวลากัน อยู่คนละโลก คนละมิติ ความเหลื่อมล้ำซับซ้อน
แต่อย่างไรมันก็เคยถูกนำเสนอไปแล้วในหนังเรื่องอื่น ไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมาย
หนังเหมือนจะบอกว่าหมดหวังแล้ว มันเกินไปจริงๆ
แค่ห้วงเวลาที่ไม่ทับซ้อนก็หนักหนาเกินว่าจะรักกันได้
แล้วก็ตีตะปูปิดโลงด้วยชื่อ
หากเราไม่ได้รู้จักกันแบบมนุษย์แล้วล่ะ
ไม่มีแม้แต่ชื่อ
เราจะจดจำกันได้อย่างไร
ทุกชนชาติมีเรื่องเล่าของความผูกพันจากชาติก่อน พรหมลิขิต เนื้อคู่
นางเอกได้พบกับความเจ็บปวดนั้นแล้วตอนที่เดินทางไปหาพระเอกในเมืองเพื่อพบว่าเขาไม่เคยรู้จักเธอเลย เจ็บปวด ผิดหวัง แต่แค่คำพูดเรียกไว้ เธอชื่ออะไร ด้ายแดงก็เชื่อมทั้งคู่เข้าไว้ด้วยกัน (เชือกรัดผม) เราไม่รู้จักด้ายแดงนั้น ไม่เคยเข้าใจความหมาย แต่ก็ยังผูกมันไว้ติดมืออยู่เสมอ
สุดท้ายตัวเอกลืมเลือนกันไป มีแค่ความทรงจำคลับคล้ายคลับคลาจากความฝันของช่วงเวลาในอดีต
เชื่อในความรู้สึกแค่ไหน ถึงยังคงรอคอย
พ่ายแพ้ให้กับพรหมลิขิตได้หรือไม่ ถึงเลือกที่จะทักกันโดยไม่รู้จักแม้แต่ชื่อ
วินาทีที่ตัวเอกกำลังเดินสวนกันไปนั้นแสนเจ็บปวดใจ ทั้งที่รักมาก ทั้งที่ผูกพันยาวนานขนาดนั้น เมื่อไม่มีสัญลักษณ์ใดๆ ให้ระบุตัวตนกันได้ เราจะลืมเลือนหมดเลยงั้นหรือ ทุกอย่างไร้ค่าไร้ความหมายจริงหรือ แล้วเสียงกระซิบเบาๆ จากอกเรามันคืออะไร ไร้เหตุผล? ไม่น่าเชื่อถือ? งมงายไร้สาระ? เกมความรักใครรักก่อนแพ้??
จะเป็นอย่างไรถ้าเราฟังเสียงหัวใจกันจริงๆ
ตัวอย่างคอมเม้นท์ดีๆ จากเพื่อนที่คุยกันในเฟสบุ๊ตค่ะ
https://www.facebook.com/yommi.jom/posts/1296089530519113
https://storylog.co/story/582a6a683c2414944288e541
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้