ภูชี้ดาว เรียกได้ว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวน้องใหม่ของจังหวัดเชียงรายที่คนเชียงรายเองถามว่าเคยไปไหม ตอบได้เลยว่า "ฮึ"
ก่อนอื่นผมต้องแนะนำตัวกับทุกท่านในพันทิป ว่าผมเนี่ย คนเจียงฮายแต้ๆ แต่! พอได้จากบ้านมาเรียนในกรุงเทพครั้งแรก ตั้งแต่ปี 49 จำได้ว่า กลับบ้านปีละ ครั้งสองครั้ง ยอมรับว่าติดแสงสีและความครื้นเครงของเมืองกรุงจนหาข้ออ้างไม่กลับบ้านบ่อยๆ เช่นลงเรียนซัมเมอร์ ขี้เกียจนั่งรถนาน (ยังนั่งเครื่องบินไม่เป็น) แต่พอกระทั่งเรียนจบและทำงาน อยากจะกลับบ้านใจจะขาด แต่ไม่มีเวลาเอาซะเลย
และพอช่วงสองสามปีที่ผ่านมา มีแต่คนถามผมว่า "แกเคยไปภูชี้ดาวปะวะ" ผมก็ Stun ไป 5 วินาที ในใจคิดแต่ว่า "มั่วละ บ้านตูมีแต่ภูชี้ฟ้า มาชี้ดาว ชี้ตะวันอะไรไม่มี๊" แต่ก็ไม่กล้าพูดไป เดี๋ยวมีขึ้นมาจริงๆอาจจะเงิบได้ ผมเลยไปหาข้อมูลในอากู๋ ใส่ชื่อภูชี้ดาวและลงท้ายว่า Pantip
โอ้แม่เจ้า ขึ้นมาพรึบ คือมีคนไปมาแล้ว แบบแว๊บๆไปเพราะอยู่ใกล้ภูชี้ฟ้า เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 59 ที่ผ่านมา บังเอิญว่ากลับไปบ้านในรอบปี เลยลองชวนคุณแม่ไปลุยภูชี้ดาวกันสักหน่อย แม่ตอบตกลงแบบไม่ลังเล พร้อมลากคุณพ่อพุงพุ้ยไปด้วยอีกคน สามพ่อแม่ลูก ตะลุยภูชี้ดาว Let's go
ในช่วงที่ขึ้นไป เอาจริงๆผมก็รู้แค่ว่ามันไปทางเดียวกันกับทางไปภูชี้ฟ้า แต่ด้วยความที่คุณพ่อเป็นทหาร เลยชำนาญเส้นทางนี้พอสมควร ช่วงที่เราสามพ่อแม่ลูกขึ้นไป เป็นช่วงบ่ายแก่ๆแล้วครับ สถานที่ตั้งของภูชี้ดาวคือ หมู่บ้านร่มโพธิ์เงิน เมื่อผมเห็นทางขึ้นแค่นั้นแหละผมได้แต่ส่ายหัว เพราะมันชันมาก และไม่กล้าเสี่ยงจะให้คุณพ่อขับแม้คุณพ่อจะเถียงว่าตัวเองนี่ขับรถทหารลุยป่ามาแล้ว ผมเลยไม่มีรอที่จะลงไปถามทาง แต่ก็มีพ่อหลวงหมู่บ้านเดินมาต้อนรับแบบเป็นกันเองมาก
ราคาในการใช้บริการรถรับส่งของชาวบ้านเพื่อขึ้นไปบนภู ถ้ามาไม่เกิน 5 คน ต้องเหมา 500 บาท แต่ถ้ามาเกิน 5 คน ก็คนละ 100 บาท ซึ่งตอนแรกทุกคนอาจจะมีอาการ เอ๊ะ? รู้สึกแพง แต่ผมพูดได้คำเดียวว่า ถูกมาก ถ้าเทียบกับทางที่ขึ้นไป ผมไม่มีรอที่จะเหมา เพราะวันที่ไปไม่มีนักท่องเที่ยวแถวนั้นเลย ระยะทางที่รถขับขึ้นไป ไส้แทบเลื่อนลงไปถึงตาตุ่ม ทางโหดมาก แถมยังลื่นจนล้อหมุนที่เดิมบวกกับเสียงกรี๊ดของคุณแม่เป็นระยะๆ ผมจนปัญญาจะเก็บภาพจริงๆครับ แค่สองมือที่จับรถไม่ให้ตกก็จะไม่พออยู่แล้ว ถึงขนาดเอาเท้ายันท้ายรถไว้
และแล้วไม่กี่อึดใจก็มาถึงตีนเขาที่รถไปต่อไม่ได้แล้วครับ ตรงส่วนนี้จะเป็นลานกางเต็นท์ ซึ่งพี่คนขับรถบอกว่าแถวนี้ มีอภิมหาทากที่คอยจะกินเลือดกินเนื้อเราเยี่ยงซอมบี้เยอะแยะมากมาย เราสามพ่อแม่ลูกเลยรีบสปีดตัวเองเดินขึ้นภูอย่างรวดเร็ว พร้อมระแวงอะไรแฉะๆตามขาตลอดเวลา
สองข้างทางก็มีมอส มีหญ้า มีดอกไม้ป่าเริ่มขึ้นมามากมายแล้วครับ อย่างว่าแหละ ช่วงปลายฝนต้นหนาว ตอนที่ผมกำลังเดินขึ้นไปแดดถือว่าแรงพอสมควรครับแต่อากาศไม่ร้อนเลย มีหมอกไหลผ่านมาตลอด
และแล้วผมก็มาถึง หลักกิโลอันแรกครับ ซึ่งตรงจุดนี้เราจะมองได้ทั้งฝั่งลาวและฝั่งไทย ตรงจุดนี้คุณพ่อผมท่านอายุ จะ 60 ละครับ ขอยอมแพ้ แต่คุณแม่ ซึ่งอายุ 53 ท่านเดินนำผมไปแล้ว แถมตะโกนเรียกให้ผมเร็วๆ ในขณะที่ผมกำลังพักยกหายใจ เชื่อแล้วละครับว่าโยคะทำให้คนแข็งแรง ซึ่งแม่ผมท่านออกกำลังและเล่นโยคะตลอด ส่วนผมหรอแค่กลับจากออฟฟิศให้ทันข้าวเย็นก็เก่งละ เห้อชีวิตเมืองกรุง
เรียกได้ว่า แม่เดินนำ เดินตามหลังแม่ปลอดภัยที่สุด
แสงเริ่มน้อยลงเรื่อยๆแล้วครับ ไอ้ผมก็สอบตกวิชาโฟโต้ด้วยสิ แถมไม่เคยสนใจเรื่องกล้องซะด้วยเลยบอกปลอบใจตัวเองว่า เอ้าวะย้อนแสงมันก็สวยแหละ -.-
หมอกเริ่มมา ผมนั่งอ่านหนังสือเล่นๆ เราพยายามใช้เวลาบนนี้ให้นานที่สุดจนพระอาทิตย์จะลับไป ตอนแรกว่าจะดูดาวต่อ แต่เห็นหมอกที่มาคลุมเรื่อยๆเลยคิดว่ามองไม่เห็นดาวแน่ๆ ฝนอาจจะตกอีกด้วย
คุณแม่เห็นเราเดินนิ่งๆสูดอากาศเลยหยิบกล้องมาถ่ายโชว์ Skill ถ่ายภาพลูกชายเองซะเลย
มีชมตัวเองด้วยนะว่าถ่ายรูปได้ Chic งี้ เอาวะ แม่ Chic ก็ Chic
ผมใช้เวลากับคุณพ่อคุณแม่ นั่งคุยกันเพราะเราคุยกับผ่านโทรศัพท์ ไลน์ มาตลอด ปีนี้เป็นครั้งแรกที่ผมกลับบ้าน และก็ไม่ค่อยเก่งถ่ายรูปเท่าไหร่
ผมนั่งอ่านหนังสือนิยายที่ไม่รู้ว่ามันจะจบเมื่อไหร่เพราะหาเวลาอ่านมันไม่ได้สักที แต่อย่างน้อยครั้งนี้ก็ทำให้ผมได้เริ่มอ่านมันอีกครั้ง
ผมได้สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด อากาศบนโลกใบเดียวกันแต่มันมีกลิ่นที่ต่างกันจริงๆ
สุดท้ายนี้ผมก็เป็นคนหนึ่ง ที่ได้เหยียบภูชี้ดาวกับเขาสักที อยากให้ทุกท่านในนี้ได้ลองไปเหยียบกันสักครั้ง เชื่อผมเหอะ คุณจะประทับใจไม่รู้ลืม
--------
รีบไปก่อนความเจริญจะเข้ามา
และอย่าเอาอะไรไปทิ้งบนนั้นนะครับ ผมกับแม่เราเก็บขยะจากข้างบนภูลงมา พวกขวดน้ำต่างๆมีคนเอาไปซุกตามกอหญ้า
ต้องมนต์ "ภูชี้ดาว"
ก่อนอื่นผมต้องแนะนำตัวกับทุกท่านในพันทิป ว่าผมเนี่ย คนเจียงฮายแต้ๆ แต่! พอได้จากบ้านมาเรียนในกรุงเทพครั้งแรก ตั้งแต่ปี 49 จำได้ว่า กลับบ้านปีละ ครั้งสองครั้ง ยอมรับว่าติดแสงสีและความครื้นเครงของเมืองกรุงจนหาข้ออ้างไม่กลับบ้านบ่อยๆ เช่นลงเรียนซัมเมอร์ ขี้เกียจนั่งรถนาน (ยังนั่งเครื่องบินไม่เป็น) แต่พอกระทั่งเรียนจบและทำงาน อยากจะกลับบ้านใจจะขาด แต่ไม่มีเวลาเอาซะเลย
และพอช่วงสองสามปีที่ผ่านมา มีแต่คนถามผมว่า "แกเคยไปภูชี้ดาวปะวะ" ผมก็ Stun ไป 5 วินาที ในใจคิดแต่ว่า "มั่วละ บ้านตูมีแต่ภูชี้ฟ้า มาชี้ดาว ชี้ตะวันอะไรไม่มี๊" แต่ก็ไม่กล้าพูดไป เดี๋ยวมีขึ้นมาจริงๆอาจจะเงิบได้ ผมเลยไปหาข้อมูลในอากู๋ ใส่ชื่อภูชี้ดาวและลงท้ายว่า Pantip
โอ้แม่เจ้า ขึ้นมาพรึบ คือมีคนไปมาแล้ว แบบแว๊บๆไปเพราะอยู่ใกล้ภูชี้ฟ้า เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 59 ที่ผ่านมา บังเอิญว่ากลับไปบ้านในรอบปี เลยลองชวนคุณแม่ไปลุยภูชี้ดาวกันสักหน่อย แม่ตอบตกลงแบบไม่ลังเล พร้อมลากคุณพ่อพุงพุ้ยไปด้วยอีกคน สามพ่อแม่ลูก ตะลุยภูชี้ดาว Let's go
ในช่วงที่ขึ้นไป เอาจริงๆผมก็รู้แค่ว่ามันไปทางเดียวกันกับทางไปภูชี้ฟ้า แต่ด้วยความที่คุณพ่อเป็นทหาร เลยชำนาญเส้นทางนี้พอสมควร ช่วงที่เราสามพ่อแม่ลูกขึ้นไป เป็นช่วงบ่ายแก่ๆแล้วครับ สถานที่ตั้งของภูชี้ดาวคือ หมู่บ้านร่มโพธิ์เงิน เมื่อผมเห็นทางขึ้นแค่นั้นแหละผมได้แต่ส่ายหัว เพราะมันชันมาก และไม่กล้าเสี่ยงจะให้คุณพ่อขับแม้คุณพ่อจะเถียงว่าตัวเองนี่ขับรถทหารลุยป่ามาแล้ว ผมเลยไม่มีรอที่จะลงไปถามทาง แต่ก็มีพ่อหลวงหมู่บ้านเดินมาต้อนรับแบบเป็นกันเองมาก
ราคาในการใช้บริการรถรับส่งของชาวบ้านเพื่อขึ้นไปบนภู ถ้ามาไม่เกิน 5 คน ต้องเหมา 500 บาท แต่ถ้ามาเกิน 5 คน ก็คนละ 100 บาท ซึ่งตอนแรกทุกคนอาจจะมีอาการ เอ๊ะ? รู้สึกแพง แต่ผมพูดได้คำเดียวว่า ถูกมาก ถ้าเทียบกับทางที่ขึ้นไป ผมไม่มีรอที่จะเหมา เพราะวันที่ไปไม่มีนักท่องเที่ยวแถวนั้นเลย ระยะทางที่รถขับขึ้นไป ไส้แทบเลื่อนลงไปถึงตาตุ่ม ทางโหดมาก แถมยังลื่นจนล้อหมุนที่เดิมบวกกับเสียงกรี๊ดของคุณแม่เป็นระยะๆ ผมจนปัญญาจะเก็บภาพจริงๆครับ แค่สองมือที่จับรถไม่ให้ตกก็จะไม่พออยู่แล้ว ถึงขนาดเอาเท้ายันท้ายรถไว้
และแล้วไม่กี่อึดใจก็มาถึงตีนเขาที่รถไปต่อไม่ได้แล้วครับ ตรงส่วนนี้จะเป็นลานกางเต็นท์ ซึ่งพี่คนขับรถบอกว่าแถวนี้ มีอภิมหาทากที่คอยจะกินเลือดกินเนื้อเราเยี่ยงซอมบี้เยอะแยะมากมาย เราสามพ่อแม่ลูกเลยรีบสปีดตัวเองเดินขึ้นภูอย่างรวดเร็ว พร้อมระแวงอะไรแฉะๆตามขาตลอดเวลา
สองข้างทางก็มีมอส มีหญ้า มีดอกไม้ป่าเริ่มขึ้นมามากมายแล้วครับ อย่างว่าแหละ ช่วงปลายฝนต้นหนาว ตอนที่ผมกำลังเดินขึ้นไปแดดถือว่าแรงพอสมควรครับแต่อากาศไม่ร้อนเลย มีหมอกไหลผ่านมาตลอด
และแล้วผมก็มาถึง หลักกิโลอันแรกครับ ซึ่งตรงจุดนี้เราจะมองได้ทั้งฝั่งลาวและฝั่งไทย ตรงจุดนี้คุณพ่อผมท่านอายุ จะ 60 ละครับ ขอยอมแพ้ แต่คุณแม่ ซึ่งอายุ 53 ท่านเดินนำผมไปแล้ว แถมตะโกนเรียกให้ผมเร็วๆ ในขณะที่ผมกำลังพักยกหายใจ เชื่อแล้วละครับว่าโยคะทำให้คนแข็งแรง ซึ่งแม่ผมท่านออกกำลังและเล่นโยคะตลอด ส่วนผมหรอแค่กลับจากออฟฟิศให้ทันข้าวเย็นก็เก่งละ เห้อชีวิตเมืองกรุง
แสงเริ่มน้อยลงเรื่อยๆแล้วครับ ไอ้ผมก็สอบตกวิชาโฟโต้ด้วยสิ แถมไม่เคยสนใจเรื่องกล้องซะด้วยเลยบอกปลอบใจตัวเองว่า เอ้าวะย้อนแสงมันก็สวยแหละ -.-
หมอกเริ่มมา ผมนั่งอ่านหนังสือเล่นๆ เราพยายามใช้เวลาบนนี้ให้นานที่สุดจนพระอาทิตย์จะลับไป ตอนแรกว่าจะดูดาวต่อ แต่เห็นหมอกที่มาคลุมเรื่อยๆเลยคิดว่ามองไม่เห็นดาวแน่ๆ ฝนอาจจะตกอีกด้วย
คุณแม่เห็นเราเดินนิ่งๆสูดอากาศเลยหยิบกล้องมาถ่ายโชว์ Skill ถ่ายภาพลูกชายเองซะเลย
มีชมตัวเองด้วยนะว่าถ่ายรูปได้ Chic งี้ เอาวะ แม่ Chic ก็ Chic
ผมใช้เวลากับคุณพ่อคุณแม่ นั่งคุยกันเพราะเราคุยกับผ่านโทรศัพท์ ไลน์ มาตลอด ปีนี้เป็นครั้งแรกที่ผมกลับบ้าน และก็ไม่ค่อยเก่งถ่ายรูปเท่าไหร่
ผมนั่งอ่านหนังสือนิยายที่ไม่รู้ว่ามันจะจบเมื่อไหร่เพราะหาเวลาอ่านมันไม่ได้สักที แต่อย่างน้อยครั้งนี้ก็ทำให้ผมได้เริ่มอ่านมันอีกครั้ง
ผมได้สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด อากาศบนโลกใบเดียวกันแต่มันมีกลิ่นที่ต่างกันจริงๆ
สุดท้ายนี้ผมก็เป็นคนหนึ่ง ที่ได้เหยียบภูชี้ดาวกับเขาสักที อยากให้ทุกท่านในนี้ได้ลองไปเหยียบกันสักครั้ง เชื่อผมเหอะ คุณจะประทับใจไม่รู้ลืม
--------
รีบไปก่อนความเจริญจะเข้ามา
และอย่าเอาอะไรไปทิ้งบนนั้นนะครับ ผมกับแม่เราเก็บขยะจากข้างบนภูลงมา พวกขวดน้ำต่างๆมีคนเอาไปซุกตามกอหญ้า