สิ่งที่ผมได้เรียนรู้ ตอนอายุ 32
ชีวิตการทำงาน เหมือนเกมออนไลน์ต้องการ การอัพเลเวล
คุณต้องเริ่มจากการ คลาน แล้วจึงหัดเดิน จากนั้น เมื่อชำนาญมากพอที่จะวิ่ง คุณจึงวิ่ง!
นี่อาจจะดูเหมือนเป็นขั้นสุดแล้ว... แต่ยังไม่ใช่!
ในแวดวงธุรกิจ เหนือกว่าวิ่ง ยังมี บิน ไปจนถึง ที่สุด ที่เขาเรียกกันว่า วาร์ป!
ระดับความเซียน / รอบจัด มีผลต่ออนาคตในหน้าที่การงาน ถ้าคุณอยากเจ๋ง คุณต้องมี เหลี่ยม มีคม คุณอยากก้าวหน้า(มากๆ) คุณต้องมีคอนเน็คชั่น มีสายสัมพันธ์ที่กว้าง และลึกซึ้ง
แต่อย่าลืมว่า มี ตอ มากมาย รอให้คุณเอา 'ตีน' ไปสะดุด ระวัง! อย่าเผลอเรอ เพราะ พลาดท่าแค่ครั้งเดียว คุณก็มีโอกาสหมดอนาคตไปเลย แล้วก็ ถ้าหากวันใดวันหนึ่ง เกิดได้ดิบได้ดีขึ้นมา ก็อย่าผยอง เพราะอีตอนขาลง เวลาที่คุณเริ่มพลาด หกคะล้มหัวคะมำขึ้นมา หมาซักตัวเดียวก็ไม่อยากจะคบหรอกครับ นี่เรื่องจริง
รายได้ ไม่เคยตัน / มีแต่ตัวเองนั่นแหละ ที่สร้างขีดจำกัด (ให้ตัวเอง)
ผมไปอ่านเจอ โพสต์ในพันทิป 'เริ่มจากเงินเดือนหนึ่งหมื่น สู่เงินเดือนหลักแสนใน 8ปี' อ่านจบ... คิด อืมมมม ดีงามพระรามแปด
วุฒิการศึกษา กับ ผลตอบแทนที่มาในรูปของเงินเดือน อันนี้เหมือนกับเป็นบรรทัดฐาน ที่อาจจะเห็นได้ทั่วไปในองค์กรต่างๆ หากคุณจบ ป.ตรี เงินเดือนก็ควรจะเริ่มต้นที่ 15,000 +/- จบป.โท ในประเทศ สาขาวิชาไม่อลังการงานสร้างเกินไปก็สตาร์ท 25,000 +/- แต่ถ้าเว่อวังอลังการ จบอินเตอร์แถมได้ภาษาที่สองหรือสาม (English : Excellence + Chinese : Excellence) เค้าก็เรียกหลักแสนกันเป็นปรกติ มีนายจ้างมากมายกล้าจ้างค่าจ้างแพงๆ ถ้าเมิงกล้ารับ เมิงต้องมั่นใจว่าเมิงเป็น 'แรร์ไอเต้ม' เป็นของหายาก หรือเป็นหมากตัวสำคัญๆ ในองค์กร
ลำดับต่อมา ก็จะเป็นในส่วนของ ค่าประสบการณ์ ความเก๋าในแวดวงที่ใช้ทำมาหาแลกเงิน ยิ่งค่าประสพการณ์สูง รายได้จากค่าจ้างก็จะยิ่งแพง ...
บริษัท กล้าจ้างแพงๆ เพราะเขาต้องการ 'ซื้อ' ประสพการณ์ จากคุณ
เห็นส่วนมาก เข้างานมาใหม่ๆ ก็จะถามหาคนสอนงานกันซะเป็นส่วนใหญ่ ถ้าคุณจะมาทำงานในระดับ 'หัวหน้า' เรียกค่าจ้างแพงๆ แต่กลับให้ใคร
มาเทรนด์งาน สอนงานกันแบบดุเดือด ผมว่าไม่ใช่แระ แต่ถ้าแค่ดูระบบให้รู้ขอบข่ายของงาน (อย่างง่ายและรวดเร็ว) ที่เหลือ ก็ปักธงยี่ห้อ 'คุณเมิง' แล้วจัดการบริหารตามแบบที่ถนัด และได้ผลดี(กว่าเดิม) แบบนี้ค่อยมาคุยกันเรื่อง ซาลารี่!
การย้ายงานเพื่อหาประสพการณ์ใหม่ๆ, หาความท้าทาย นี่อาจจะเป็นวลี ข้ออ้าง เวลาอยากหนีปัญหาหมื่นล้านอย่างจากที่ทำงานเก่า ที่ฟังดูดีที่สุดแล้ว ผลพลอยได้จากการเปลี่ยนที่หย่อนก้นทำงาน อย่างนึงก็คือ ส่วนใหญ่เขาจะจ้างให้แพงกว่าที่เก่า ไม่มากก็น้อย บางคนเปลี่ยนงานเพื่ออัพเงินเดือนเป็นงานอดิเรก ซ้ำร้ายบางคน อัพบ่อยจนเงินเดือนแซงความสามารถไปไกล จะเก็ก จะฟอร์มยังไง ให้เขาไม่ขอลดเงินเดือน หรือ เลย์ออฟ ก็เป็นเรื่องสยองขวัญที่เก็บเอาไว้ดูคนเดียวเถอะ!
คนจีน (ส่วนใหญ่) ไม่อยากให้ลูกรับราชการ
ออกตัวก่อนว่าผมไม่ใช่ลูกหลานคนจีน
แต่ผมมีภรรยาจีนมา 3 คนแล้ว (เล่าละเอียดไม่ไหว ยาวมากๆ) ก็เลยพอจะมองเห็น พฤติกรรมบางอย่างที่ คล้ายๆกัน
อาจจะสรุปง่ายๆเลยว่า เพราะระบบราชการทำให้คน ไฟอ่อน
และอีกอย่าง.... หึๆๆ ขอร่าย ยาวๆ
นาย A เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ เงินเดือน 80,000 สวัสดิการเพียบ
นาย B เป็นเจ้าของกิจการแปรรูปสินค้าการเกษตร ส่งออกไปโกยเงินจากประเทศเพื่อนบ้าน สวัสดิการไม่มี บัตรเครดิตซักใบ ธนาคารยังขอหลักฐาน นู่น นั่น นี่ (อันนี้เรื่องจริง เป็นตลกร้าย ที่พนักงานในบริษัท ขอบัตรเครดิตได้ง่ายเป็นว่าเล่น แค่เงินเดือน 20,000 ก็จบ ส่วนเจ้าของบริษัท ถ้าไม่ตั้งเงินเดือนให้ตัวเอง พอให้มีสลิปเงินเดือนกับเค้า หรือมีเงินฝากค้ำประกันก็ขอลำบากยากเย็นกว่า)
ต่อๆๆ.... อะไรๆก็ดูดีใช่มั้ย?.... จนกระทั่ง!
แต่นนนน แต๊นนนน!!!
นาย A และ นาย B เกษียณ!!
นาย B ส่งต่อธุรกิจให้ลูก รับไปจัดการต่อ ลูกนาย B รับมรดกตำแหน่งเฒ่าแก่กิจการแปรรูป.... ส่วนนาย A ส่งต่ออะไร? เฉลย... ไม่มีครับ
ตำแหน่งไม่ใช่มรดก อยากได้ไปสอบเอง ความเก่งระดับชำนาญการพิเศษ ก็หมดอายุเป็น เงินเดือนหายไป ได้บำนาญมากินใช้ ซึ่งก็โอนต่อให้ลูกไม่ได้อยู่ดี
พูดถึงเรื่อง ไฟอ่อน (ด้วยความเคารพ) ระบบเช้าชาม เย็นชาม เป็นโลโก้ ของงานภาครัฐอย่างปฏิเสธไม่ได้ หากจะวิเคราะห์หาที่มาที่ไป ผมมองเห็นว่า เพราะระบบที่ไร้คู่แข่ง ไม่แสวงหากำไร ไม่ตื่นตัว ไม่เร่งรีบ ทำให้ไฟมันอ่อน หากจะไปเทียบกับภาคเอกชน ที่แข่งขันกันอย่างดุเดือด (ถ้าเฉื่อย ก็คงต้องลมหายตายจากไปจากวงการอย่างเลี่ยงไม่ได้) พนักงานบริษัท ที่ถูกประเมินผลงานเป็นรายปี เพื่อพิจารณาปรับเงินเดือนรวมถึงโบนัสพิเศษ มันเร้าอารมณ์ให้ อะเลิร์ธ มั้ยล่ะ!
(ข้อคิดเห็นส่วนตัว ขออภัยหากไม่ถูกต้องหรือไม่ถูกใจ/ด้วยความเคารพครับ)
เดี๋ยวยาวเกินไป
ทำงานต่อก่อนนะครับ
สิ่งที่ผมคิด ตอนอายุ32
ชีวิตการทำงาน เหมือนเกมออนไลน์ต้องการ การอัพเลเวล
คุณต้องเริ่มจากการ คลาน แล้วจึงหัดเดิน จากนั้น เมื่อชำนาญมากพอที่จะวิ่ง คุณจึงวิ่ง!
นี่อาจจะดูเหมือนเป็นขั้นสุดแล้ว... แต่ยังไม่ใช่!
ในแวดวงธุรกิจ เหนือกว่าวิ่ง ยังมี บิน ไปจนถึง ที่สุด ที่เขาเรียกกันว่า วาร์ป!
ระดับความเซียน / รอบจัด มีผลต่ออนาคตในหน้าที่การงาน ถ้าคุณอยากเจ๋ง คุณต้องมี เหลี่ยม มีคม คุณอยากก้าวหน้า(มากๆ) คุณต้องมีคอนเน็คชั่น มีสายสัมพันธ์ที่กว้าง และลึกซึ้ง
แต่อย่าลืมว่า มี ตอ มากมาย รอให้คุณเอา 'ตีน' ไปสะดุด ระวัง! อย่าเผลอเรอ เพราะ พลาดท่าแค่ครั้งเดียว คุณก็มีโอกาสหมดอนาคตไปเลย แล้วก็ ถ้าหากวันใดวันหนึ่ง เกิดได้ดิบได้ดีขึ้นมา ก็อย่าผยอง เพราะอีตอนขาลง เวลาที่คุณเริ่มพลาด หกคะล้มหัวคะมำขึ้นมา หมาซักตัวเดียวก็ไม่อยากจะคบหรอกครับ นี่เรื่องจริง
รายได้ ไม่เคยตัน / มีแต่ตัวเองนั่นแหละ ที่สร้างขีดจำกัด (ให้ตัวเอง)
ผมไปอ่านเจอ โพสต์ในพันทิป 'เริ่มจากเงินเดือนหนึ่งหมื่น สู่เงินเดือนหลักแสนใน 8ปี' อ่านจบ... คิด อืมมมม ดีงามพระรามแปด
วุฒิการศึกษา กับ ผลตอบแทนที่มาในรูปของเงินเดือน อันนี้เหมือนกับเป็นบรรทัดฐาน ที่อาจจะเห็นได้ทั่วไปในองค์กรต่างๆ หากคุณจบ ป.ตรี เงินเดือนก็ควรจะเริ่มต้นที่ 15,000 +/- จบป.โท ในประเทศ สาขาวิชาไม่อลังการงานสร้างเกินไปก็สตาร์ท 25,000 +/- แต่ถ้าเว่อวังอลังการ จบอินเตอร์แถมได้ภาษาที่สองหรือสาม (English : Excellence + Chinese : Excellence) เค้าก็เรียกหลักแสนกันเป็นปรกติ มีนายจ้างมากมายกล้าจ้างค่าจ้างแพงๆ ถ้าเมิงกล้ารับ เมิงต้องมั่นใจว่าเมิงเป็น 'แรร์ไอเต้ม' เป็นของหายาก หรือเป็นหมากตัวสำคัญๆ ในองค์กร
ลำดับต่อมา ก็จะเป็นในส่วนของ ค่าประสบการณ์ ความเก๋าในแวดวงที่ใช้ทำมาหาแลกเงิน ยิ่งค่าประสพการณ์สูง รายได้จากค่าจ้างก็จะยิ่งแพง ...
บริษัท กล้าจ้างแพงๆ เพราะเขาต้องการ 'ซื้อ' ประสพการณ์ จากคุณ
เห็นส่วนมาก เข้างานมาใหม่ๆ ก็จะถามหาคนสอนงานกันซะเป็นส่วนใหญ่ ถ้าคุณจะมาทำงานในระดับ 'หัวหน้า' เรียกค่าจ้างแพงๆ แต่กลับให้ใคร
มาเทรนด์งาน สอนงานกันแบบดุเดือด ผมว่าไม่ใช่แระ แต่ถ้าแค่ดูระบบให้รู้ขอบข่ายของงาน (อย่างง่ายและรวดเร็ว) ที่เหลือ ก็ปักธงยี่ห้อ 'คุณเมิง' แล้วจัดการบริหารตามแบบที่ถนัด และได้ผลดี(กว่าเดิม) แบบนี้ค่อยมาคุยกันเรื่อง ซาลารี่!
การย้ายงานเพื่อหาประสพการณ์ใหม่ๆ, หาความท้าทาย นี่อาจจะเป็นวลี ข้ออ้าง เวลาอยากหนีปัญหาหมื่นล้านอย่างจากที่ทำงานเก่า ที่ฟังดูดีที่สุดแล้ว ผลพลอยได้จากการเปลี่ยนที่หย่อนก้นทำงาน อย่างนึงก็คือ ส่วนใหญ่เขาจะจ้างให้แพงกว่าที่เก่า ไม่มากก็น้อย บางคนเปลี่ยนงานเพื่ออัพเงินเดือนเป็นงานอดิเรก ซ้ำร้ายบางคน อัพบ่อยจนเงินเดือนแซงความสามารถไปไกล จะเก็ก จะฟอร์มยังไง ให้เขาไม่ขอลดเงินเดือน หรือ เลย์ออฟ ก็เป็นเรื่องสยองขวัญที่เก็บเอาไว้ดูคนเดียวเถอะ!
คนจีน (ส่วนใหญ่) ไม่อยากให้ลูกรับราชการ
ออกตัวก่อนว่าผมไม่ใช่ลูกหลานคนจีน
แต่ผมมีภรรยาจีนมา 3 คนแล้ว (เล่าละเอียดไม่ไหว ยาวมากๆ) ก็เลยพอจะมองเห็น พฤติกรรมบางอย่างที่ คล้ายๆกัน
อาจจะสรุปง่ายๆเลยว่า เพราะระบบราชการทำให้คน ไฟอ่อน
และอีกอย่าง.... หึๆๆ ขอร่าย ยาวๆ
นาย A เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ เงินเดือน 80,000 สวัสดิการเพียบ
นาย B เป็นเจ้าของกิจการแปรรูปสินค้าการเกษตร ส่งออกไปโกยเงินจากประเทศเพื่อนบ้าน สวัสดิการไม่มี บัตรเครดิตซักใบ ธนาคารยังขอหลักฐาน นู่น นั่น นี่ (อันนี้เรื่องจริง เป็นตลกร้าย ที่พนักงานในบริษัท ขอบัตรเครดิตได้ง่ายเป็นว่าเล่น แค่เงินเดือน 20,000 ก็จบ ส่วนเจ้าของบริษัท ถ้าไม่ตั้งเงินเดือนให้ตัวเอง พอให้มีสลิปเงินเดือนกับเค้า หรือมีเงินฝากค้ำประกันก็ขอลำบากยากเย็นกว่า)
ต่อๆๆ.... อะไรๆก็ดูดีใช่มั้ย?.... จนกระทั่ง!
แต่นนนน แต๊นนนน!!!
นาย A และ นาย B เกษียณ!!
นาย B ส่งต่อธุรกิจให้ลูก รับไปจัดการต่อ ลูกนาย B รับมรดกตำแหน่งเฒ่าแก่กิจการแปรรูป.... ส่วนนาย A ส่งต่ออะไร? เฉลย... ไม่มีครับ
ตำแหน่งไม่ใช่มรดก อยากได้ไปสอบเอง ความเก่งระดับชำนาญการพิเศษ ก็หมดอายุเป็น เงินเดือนหายไป ได้บำนาญมากินใช้ ซึ่งก็โอนต่อให้ลูกไม่ได้อยู่ดี
พูดถึงเรื่อง ไฟอ่อน (ด้วยความเคารพ) ระบบเช้าชาม เย็นชาม เป็นโลโก้ ของงานภาครัฐอย่างปฏิเสธไม่ได้ หากจะวิเคราะห์หาที่มาที่ไป ผมมองเห็นว่า เพราะระบบที่ไร้คู่แข่ง ไม่แสวงหากำไร ไม่ตื่นตัว ไม่เร่งรีบ ทำให้ไฟมันอ่อน หากจะไปเทียบกับภาคเอกชน ที่แข่งขันกันอย่างดุเดือด (ถ้าเฉื่อย ก็คงต้องลมหายตายจากไปจากวงการอย่างเลี่ยงไม่ได้) พนักงานบริษัท ที่ถูกประเมินผลงานเป็นรายปี เพื่อพิจารณาปรับเงินเดือนรวมถึงโบนัสพิเศษ มันเร้าอารมณ์ให้ อะเลิร์ธ มั้ยล่ะ!
(ข้อคิดเห็นส่วนตัว ขออภัยหากไม่ถูกต้องหรือไม่ถูกใจ/ด้วยความเคารพครับ)
เดี๋ยวยาวเกินไป
ทำงานต่อก่อนนะครับ