ต้นทางมาจากกระทู้นี้ครับ
.
http://pantip.com/topic/35797342
.
จขกท. นั้น เขาตั้งข้อสังเกตว่า การที่สหพันธ์ฟุตบอลเอเชีย ( AFC ) บังคับให้โค้ชฟุตบอลทีมชาติ-โค้ชทีมสโมสรชั้นนำที่ไปเล่นบอลถ้วยใหญ่ของสหพันธ์ฯ ( ACL เทียบเท่า UCL ของยุโรป ) ต้องใช้โค้ชที่ผ่านหลักสูตร Pro-License เท่านั้น ซึ่งต้องเสียค่าสอบรวม 5 แสนบาท
.
จขกท. นั้น มองว่าโค้ชฟุตบอลไม่ใช่อาชีพที่เดิมพันกับความเป็นความตายของชีวิตคนอย่างแพทย์หรือวิศวกร จึงไม่จำเป็นต้องบังคับให้ทุกคนต้องมี License แต่ควรปล่อยเสรี ทีมไหนอยากจ้างโค้ชที่มีหรือไม่มี License ก็เป็นสิทธิ์ของทีมนั้นๆ เพราะทีมเป็นผู้รับผลที่ตามมาเอง
.
แต่อีกหลายๆ คห. มองว่าอาชีพโค้ชควรมี License มานานแล้ว เพราะอาชีพที่มี License คืออาชีพที่มีมาตรฐาน จะได้มีความน่าเชื่อถือ ทั้งในสายตาคนจ้างและสายตาสังคม การมี License ก็เหมือนเครื่องยืนยันว่าคุณมีความรู้จริงในด้านนั้นๆ และการบังคับให้ทีมต้องจ้างคนมี License สุดท้ายก็จะยกระดับมาตรฐานวงการฟุตบอลกันไปทั้งระบบ
.
-------------------------
.
ทีนี้ผมมานึกได้..ปกติเรื่อง License ของอาชีพต่างๆ เนี่ย อาจจะแบ่งที่มาที่ไปได้เป็น 2 กลุ่ม
.
- เพื่อควบคุมมาตรฐานอาชีพที่มีความเสี่ยงพิเศษ : บางอาชีพมีลักษณะที่
"ไม่อนุญาตให้เกิดความผิดพลาด" เพราะผิดมาแล้วส่งผลกระทบมากแบบที่ไม่สามารถกลับไปแก้ไขได้ เช่น แพทย์-พยาบาล ( หมอนวดแผนไทยก็ต้องมี License นะ ) , วิศวกร-สถาปนิก ( เดี๋ยวนี้แม้แต่ช่างก็ยังมี License แล้ว ) , คนขับยานพาหนะบางประเภท ( รถบัส รถบรรทุก รถพ่วง รวมถึงนักบินพาณิชย์ พวกนี้ต้องใช้ทักษะมากกว่าขับรถเก๋ง-กระบะทั่วไป ) อาชีพเหล่านี้ความผิดพลาดหมายถึงอาจต้องมีคนพิการหรือตายได้
- เพื่อยกระดับอาชีพนั้นๆ ให้มีมาตรฐานมากขึ้น : บางอาชีพแม้ไม่ถึงขั้นห้ามผิดผลาดอย่างเด็ดขาด ( คือผิดแล้วถ้ารู้และรีบแก้ไขทันที ผลกระทบก็ไม่เกิดหรือเกิดน้อยกว่าอาชีพกลุ่มแรก ) แต่การมี
"มาตรฐานกลาง" ว่าคนจะทำอาชีพนี้ควรจะมีความรู้ มีทักษะอะไรบ้าง จะทำให้ดูน่าเชื่อถือมากขึ้น License กลุ่มนี้มีเต็มไปหมด ครู , ทนายความ , ขายประกัน , โค้ชกีฬา ( ที่แน่ๆ ก็พวกศิลปะการต่อสู้ละอย่างนึง ) , ไกด์ ( ภาษาต้องแม่น ) การสอบ กพ. ภาค ก ของราชการ ล่าสุดก็อาชีพ รปภ. ที่ต้องมี License แล้ว
สรุปง่ายๆ กลุ่มแรกมีเพราะจำเป็นต้องมี ไม่มีไม่ได้เพราะเสี่ยงต่อการบาดเจ็บล้มตาย ส่วนกลุ่มหลังมีเพราะเห็นว่ามีแล้วดี อาชีพนั้นๆ จะได้ดูน่าเชื่อถือมากขึ้น
.
ข้อสังเกตคือ อาชีพกลุ่มแรกจะซีเรียสมาก กฎหมายกำหนดให้นายจ้างไม่ว่ารัฐหรือเอกชน และไม่ว่าหน่วยงานจะเล็กหรือใหญ่ ต้องจ้างคนที่มี License เท่านั้น แต่กลุ่มหลังนี่ให้แล้วแต่ดุลยพินิจ หลายๆ อาชีพเลยกำหนดว่า ไม่มี License ทำงานได้แค่ระดับหนึ่ง หรือทำได้แค่องค์กรเล็กๆ ถ้าอยากรับงานใหญ่กว่านั้น ทำงานองค์กรใหญ่ๆ ชั้นนำ ก็ต้องไปสอบ License มาให้ได้ก่อน
.
ถ้าจะมีอาชีพที่มีข้อถกเถียงเรื่องการควรมี-ไม่มี license อยู่บ้าง ที่ผ่านๆ มาก็พวกกลุ่มหลังนี่แหละครับ อย่างครูนี่มีดราม่าเรื่อยๆ ระหว่างเด็กจบคณะสายตรงกับเด็กจบครุศาสตร์ เพราะมองว่าพวกหลังความรู้ในวิชาที่สอนแน่นสู้พวกแรกไม่ได้ เช่น เด็กครุศาสตร์เอกคณิต เก่งสู้เด็กวิทยาศาสตร์เอกคณิตไม่ได้ แต่เด็กวิทยาฯ ไม่มีสิทธิ์เป็นครู เลยไปเป็นติวเตอร์แทน เพราะสอบ License ครู สำหรับคนนอกมันวุ่นวายและค่าใช้จ่ายเยอะ หรืออย่างทนายความ ข้อกฎหมายเดียวกัน ทนาย ตำรวจ อัยการ ผู้พิพากษา อาจารย์สอนกฎหมาย ยังให้ความเห็นไม่ตรงกัน เถียงกันได้เป็นเรื่องเป็นราว แล้วมาตรฐานกลางอยู่ตรงไหน
.
หรือช่วงหนึ่งที่มีการเรียกร้องให้คนทำงานสื่อมวลชนต้องมี License คนวงการสื่อเองทุกระดับก็คัดค้านสุดตัว เหตุผลก็คล้ายๆ กับอาชีพครู คือไม่ต้องจบสายตรง ( นิเทศ-วารสาร ) ก็ทำงานนี้ได้ ในวงการสื่อมีตั้งแต่คนไม่จบ ป.ตรี ไปจนถึงจบในสารพัดคณะ นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ ครุศาสตร์ ฯลฯ เต็มไปหมด แค่จับประเด็นได้ บอกเล่าได้ ถ่ายรูปถ่ายวีดีโอและตัดต่อเป็นก็ทำงานได้ละ
.
หรือล่าสุดก็ รปภ. ที่มีดราม่ากรณีกฎหมายใหม่บอกว่า รปภ. ต้องจบ ม.3 ก็กระทบกันเยอะ เพราะ รปภ. ทุกวันนี้หายากอยู่แล้ว แถมที่มีอยู่จำนวนมากไม่จบถึง ม.3 ด้วย ( หลายคนอายุมาก จะบังคับไปเรียนก็มีปัญหาอีก ) สุดท้ายลุงตู่ใช้ ม.44 แก้เลย บอกไม่ต้องจบ ม.3 ก็เป็นได้
.
อาชีพกลุ่มหลังนี้เลยมีข้อถกเถียงกันตลอดว่า
"การมี License ทำเพื่อให้อาชีพมีมาตรฐาน หรือเพื่อกีดกันคนที่ไม่ได้จบสายตรงกันแน่"
.
ที่ผ่านมา หลายอาชีพก็เลยขึ้นอยู่กับบรรดาผู้บริหารในวงการวิชาชีพนั่นแหละครับ ถ้าเขาอยากให้มีมันก็มีแนวโน้มที่จะมี แต่ถ้าไม่อยากให้มีมันก็มีแนวโน้มที่จะไม่มี
-------------------------
.
ไหนๆ ก็มีประเด็นแล้ว เลยขอถามต่อทันทีครับ
.
คุณคิดว่าทุกอาชีพควรมี License หรือไม่? หรืออาชีพไหนจะมี-ไม่มี ก็ให้ดูตามความเหมาะสม?
[แตกประเด็น] คิดว่าทุกอาชีพควรมี License หรือไม่? เพราะเหตุใด?
.
http://pantip.com/topic/35797342
.
จขกท. นั้น เขาตั้งข้อสังเกตว่า การที่สหพันธ์ฟุตบอลเอเชีย ( AFC ) บังคับให้โค้ชฟุตบอลทีมชาติ-โค้ชทีมสโมสรชั้นนำที่ไปเล่นบอลถ้วยใหญ่ของสหพันธ์ฯ ( ACL เทียบเท่า UCL ของยุโรป ) ต้องใช้โค้ชที่ผ่านหลักสูตร Pro-License เท่านั้น ซึ่งต้องเสียค่าสอบรวม 5 แสนบาท
.
จขกท. นั้น มองว่าโค้ชฟุตบอลไม่ใช่อาชีพที่เดิมพันกับความเป็นความตายของชีวิตคนอย่างแพทย์หรือวิศวกร จึงไม่จำเป็นต้องบังคับให้ทุกคนต้องมี License แต่ควรปล่อยเสรี ทีมไหนอยากจ้างโค้ชที่มีหรือไม่มี License ก็เป็นสิทธิ์ของทีมนั้นๆ เพราะทีมเป็นผู้รับผลที่ตามมาเอง
.
แต่อีกหลายๆ คห. มองว่าอาชีพโค้ชควรมี License มานานแล้ว เพราะอาชีพที่มี License คืออาชีพที่มีมาตรฐาน จะได้มีความน่าเชื่อถือ ทั้งในสายตาคนจ้างและสายตาสังคม การมี License ก็เหมือนเครื่องยืนยันว่าคุณมีความรู้จริงในด้านนั้นๆ และการบังคับให้ทีมต้องจ้างคนมี License สุดท้ายก็จะยกระดับมาตรฐานวงการฟุตบอลกันไปทั้งระบบ
.
-------------------------
.
ทีนี้ผมมานึกได้..ปกติเรื่อง License ของอาชีพต่างๆ เนี่ย อาจจะแบ่งที่มาที่ไปได้เป็น 2 กลุ่ม
.
- เพื่อควบคุมมาตรฐานอาชีพที่มีความเสี่ยงพิเศษ : บางอาชีพมีลักษณะที่ "ไม่อนุญาตให้เกิดความผิดพลาด" เพราะผิดมาแล้วส่งผลกระทบมากแบบที่ไม่สามารถกลับไปแก้ไขได้ เช่น แพทย์-พยาบาล ( หมอนวดแผนไทยก็ต้องมี License นะ ) , วิศวกร-สถาปนิก ( เดี๋ยวนี้แม้แต่ช่างก็ยังมี License แล้ว ) , คนขับยานพาหนะบางประเภท ( รถบัส รถบรรทุก รถพ่วง รวมถึงนักบินพาณิชย์ พวกนี้ต้องใช้ทักษะมากกว่าขับรถเก๋ง-กระบะทั่วไป ) อาชีพเหล่านี้ความผิดพลาดหมายถึงอาจต้องมีคนพิการหรือตายได้
- เพื่อยกระดับอาชีพนั้นๆ ให้มีมาตรฐานมากขึ้น : บางอาชีพแม้ไม่ถึงขั้นห้ามผิดผลาดอย่างเด็ดขาด ( คือผิดแล้วถ้ารู้และรีบแก้ไขทันที ผลกระทบก็ไม่เกิดหรือเกิดน้อยกว่าอาชีพกลุ่มแรก ) แต่การมี "มาตรฐานกลาง" ว่าคนจะทำอาชีพนี้ควรจะมีความรู้ มีทักษะอะไรบ้าง จะทำให้ดูน่าเชื่อถือมากขึ้น License กลุ่มนี้มีเต็มไปหมด ครู , ทนายความ , ขายประกัน , โค้ชกีฬา ( ที่แน่ๆ ก็พวกศิลปะการต่อสู้ละอย่างนึง ) , ไกด์ ( ภาษาต้องแม่น ) การสอบ กพ. ภาค ก ของราชการ ล่าสุดก็อาชีพ รปภ. ที่ต้องมี License แล้ว
สรุปง่ายๆ กลุ่มแรกมีเพราะจำเป็นต้องมี ไม่มีไม่ได้เพราะเสี่ยงต่อการบาดเจ็บล้มตาย ส่วนกลุ่มหลังมีเพราะเห็นว่ามีแล้วดี อาชีพนั้นๆ จะได้ดูน่าเชื่อถือมากขึ้น
.
ข้อสังเกตคือ อาชีพกลุ่มแรกจะซีเรียสมาก กฎหมายกำหนดให้นายจ้างไม่ว่ารัฐหรือเอกชน และไม่ว่าหน่วยงานจะเล็กหรือใหญ่ ต้องจ้างคนที่มี License เท่านั้น แต่กลุ่มหลังนี่ให้แล้วแต่ดุลยพินิจ หลายๆ อาชีพเลยกำหนดว่า ไม่มี License ทำงานได้แค่ระดับหนึ่ง หรือทำได้แค่องค์กรเล็กๆ ถ้าอยากรับงานใหญ่กว่านั้น ทำงานองค์กรใหญ่ๆ ชั้นนำ ก็ต้องไปสอบ License มาให้ได้ก่อน
.
ถ้าจะมีอาชีพที่มีข้อถกเถียงเรื่องการควรมี-ไม่มี license อยู่บ้าง ที่ผ่านๆ มาก็พวกกลุ่มหลังนี่แหละครับ อย่างครูนี่มีดราม่าเรื่อยๆ ระหว่างเด็กจบคณะสายตรงกับเด็กจบครุศาสตร์ เพราะมองว่าพวกหลังความรู้ในวิชาที่สอนแน่นสู้พวกแรกไม่ได้ เช่น เด็กครุศาสตร์เอกคณิต เก่งสู้เด็กวิทยาศาสตร์เอกคณิตไม่ได้ แต่เด็กวิทยาฯ ไม่มีสิทธิ์เป็นครู เลยไปเป็นติวเตอร์แทน เพราะสอบ License ครู สำหรับคนนอกมันวุ่นวายและค่าใช้จ่ายเยอะ หรืออย่างทนายความ ข้อกฎหมายเดียวกัน ทนาย ตำรวจ อัยการ ผู้พิพากษา อาจารย์สอนกฎหมาย ยังให้ความเห็นไม่ตรงกัน เถียงกันได้เป็นเรื่องเป็นราว แล้วมาตรฐานกลางอยู่ตรงไหน
.
หรือช่วงหนึ่งที่มีการเรียกร้องให้คนทำงานสื่อมวลชนต้องมี License คนวงการสื่อเองทุกระดับก็คัดค้านสุดตัว เหตุผลก็คล้ายๆ กับอาชีพครู คือไม่ต้องจบสายตรง ( นิเทศ-วารสาร ) ก็ทำงานนี้ได้ ในวงการสื่อมีตั้งแต่คนไม่จบ ป.ตรี ไปจนถึงจบในสารพัดคณะ นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ ครุศาสตร์ ฯลฯ เต็มไปหมด แค่จับประเด็นได้ บอกเล่าได้ ถ่ายรูปถ่ายวีดีโอและตัดต่อเป็นก็ทำงานได้ละ
.
หรือล่าสุดก็ รปภ. ที่มีดราม่ากรณีกฎหมายใหม่บอกว่า รปภ. ต้องจบ ม.3 ก็กระทบกันเยอะ เพราะ รปภ. ทุกวันนี้หายากอยู่แล้ว แถมที่มีอยู่จำนวนมากไม่จบถึง ม.3 ด้วย ( หลายคนอายุมาก จะบังคับไปเรียนก็มีปัญหาอีก ) สุดท้ายลุงตู่ใช้ ม.44 แก้เลย บอกไม่ต้องจบ ม.3 ก็เป็นได้
.
อาชีพกลุ่มหลังนี้เลยมีข้อถกเถียงกันตลอดว่า "การมี License ทำเพื่อให้อาชีพมีมาตรฐาน หรือเพื่อกีดกันคนที่ไม่ได้จบสายตรงกันแน่"
.
ที่ผ่านมา หลายอาชีพก็เลยขึ้นอยู่กับบรรดาผู้บริหารในวงการวิชาชีพนั่นแหละครับ ถ้าเขาอยากให้มีมันก็มีแนวโน้มที่จะมี แต่ถ้าไม่อยากให้มีมันก็มีแนวโน้มที่จะไม่มี
-------------------------
.
ไหนๆ ก็มีประเด็นแล้ว เลยขอถามต่อทันทีครับ
.
คุณคิดว่าทุกอาชีพควรมี License หรือไม่? หรืออาชีพไหนจะมี-ไม่มี ก็ให้ดูตามความเหมาะสม?