เราได้ค้นหาอ่านเกี่ยวกับโครงการของในหลวง แล้วไปเจอบทความนี้เข้า เลยเอามาแชร์ อยากบอกว่า
>>>>>>>>>> อ่านเถอะ เชื่อเรา <<<<<<<<<<
( เครดิต
http://live.siammedia.org/index.php/category/article/special-scoop )
*** คอมเมนต์อย่างสุภาพและสร้างสรรค์เท่านั้นนะคะ***
ดร. สุเมธ ตันติเวชกุล
เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา
ถอดบรรยาย/เรียบเรียง
ศฬรรธร มงคลคุณ
สยามมีเดียได้เปิดพื้นที่ขึ้นมาเป็นการเฉพาะกิจ หลังจากที่ได้เข้าร่วมฟังคำบรรยายจากดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ที่ได้เดินทางมายังนครลอสแอนเจลิสเพื่อพบปะพี่น้องชาวไทยแอลเอ และเผยแพร่เรื่องราวของพระราชกรณีกิจของในหลวงและมูลนิธิชัยพัฒนา ตลอดจนโครงการต่างๆ อันเนื่องมาจาพระราชดำริ เมื่อวันพุธที่ 16 ก.ย. 2015 ที่วัดไทยลอสแอนเจลิส จัดโดยสถานกงสุลใหญ่ ณ นครลอสแอนเจลิส กระทรวงการต่างประเทศ
กองบรรณาธิการเห็นพ้องต้องกันว่าเรื่องราวต่างๆ ตลอดจนเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่ได้รับฟังจากดร.สุเมธนั้น หลายเรื่องไม่สามารถหาอ่านได้จากที่ไหน นอกจากผ่านบุคคลที่เป็นข้าราชบริพารที่รับใช้เบื้องพระยุคลบาทใกล้ชิดเท่านั้น ซึ่งหลายต่อหลายเรื่องเป็นเรื่องที่มีประโยชน์ มีสาระ และมีความขำขันสอดแทรกอยู่ในพระจริยวัตรของพระองค์ และเห็นสมควรว่าควรนำเรื่องราวเล่านี้มาเล่าสืบต่อไป เพื่อให้ประชาชนชาวไทยทุกคน (ไม่แยกไม่แบ่งสี) นั้นได้ “รู้จัก” ในหลวงอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น จึงได้ให้คอลัมน์พิเศษนี้ชื่อว่า “รู้จักพ่อ” และจะนำเสนอเป็นตอนๆ เพื่อให้ครอบคลุมทุกเรื่องราว ทุกรายละเอียดที่ดร.สุเมธให้ความกรุณาบรรยายตลอด 3 ชั่วโมงครึ่ง
อย่างไรก็ตามคอลัมน์พิเศษเรื่องนี้จัดทำขึ้นเนื่องด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณและมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อถ่ายทอดเรื่องราวของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่คนไทยไม่เคยรู้และไม่อาจจะค้นหาข้อมูลได้จากโลกอินเทอร์เน็ต โดยสยามมีเดียขอเป็นสื่อกลางเชื่อมคนไทยได้รู้จักพระองค์มากขึ้น และเพื่อให้ผู้อ่านได้ความรู้สึกเช่นเดียวกับนั่งฟังบรรยายในงานแล้ว สยามมีเดียจึงขอใช้การเล่าเรื่องเป็นภาษาพูดตามที่ดร.สุเมธ ได้บรรยายไว้ อาจมีเรียบเรียงเพื่อให้อ่านเข้าใจง่ายและได้อรรถรสยิ่งขึ้นบ้างเล็กน้อย
*เนื้อหาทั้งหมดที่ตีพิมพ์ กองบก.สยามมีเดียมิได้มีเจตนาจาบจ้วงเบื้องสูงหรือหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ แต่หากผิดพลาดประการใด ขออภัยไว้ ณ ที่นี้
บทที่ 1 รู้จัก “ให้”
ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา เล่าว่า ….เมื่อครั้งผมไปบรรยายที่ชิคาโก้ (ก่อนเดินทางมาบรรยายที่แอลเอ) มีนักเรียนคนหนึ่งลุกขึ้นมาถามผมว่า การมาของท่านนี้ท่านมีวัตถุประสงค์อะไร?
ถ้าหากจะให้ผมกล่าวถึงความรู้สึกจริงๆ ว่าทำไมผมจึงมาเล่าเรื่องเกี่ยวกับสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว… เอ๊ะ! เราไม่รู้จักพระเจ้าอยู่หัวหรือ? ผมขอเรียนเลยว่า คำถามนี้เป็นคำถามที่น่าสนใจ เพราะจากประสบการณ์ของตัวผมนั้น จากที่สัมผัสกลุ่มคนต่างๆ และหลายวัยด้วยกัน หลายแห่งด้วยกัน ทั้งคนไทยที่อยู่ในต่างประเทศและคนไทยที่อยู่ในประเทศไทยนั้น ผมคิดว่าหลายคนนะครับ ไม่รู้จักพระเจ้าอยู่หัวจริง

เหมือนกับที่พวกเราชาวพุทธนั้นเป็นพุทธศาสนิกชนแต่ไม่เข้าใจศาสนาเท่าไหร่ เรารู้จักพระพุทธ เจอพระพุทธเราก็กราบเบญจางคประดิษฐ์ เพราะถูกสอนมาอย่างนั้น…การบรรยายในวันนี้ผมถือว่าพวกท่านทั้งหลาย รวมทั้งตัวผมเองนั้น ถือเป็นมงคลอย่างยิ่ง เพราะตั้งแต่บรรยายมา น้อยครั้งเหลือเกินที่มีพระสงฆ์มาให้พรก่อน จากการบวชมา 4 ครั้ง บทสวดของท่านพระคุณเจ้าทุกบทสวดนั้นเป็นมงคลสูตรทั้งสิ้น เป็นการให้พรพวกเรา หลายคนประนมมือหมด แต่ผมสงสัยเหลือเกินว่าจะมีสักกี่คนเข้าใจว่าที่ท่านสวดนั้นหมายความว่าอะไร เช่นเดียวกันครับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้น จะบอกว่าคนไทยไม่รู้จักก็ไม่ได้ คนไทยรู้จัก แต่เข้าใจอย่างลึกซึ้งไหม เข้าใจไหมถึงสิ่งที่พระองค์ท่านได้ทำมาตลอดระยะเวลา 70 ปีนั้น ทรงทำอะไรบ้างและแต่ละความคิดของพระองค์นั้น เราเข้าใจอย่างลึกซึ้งหรือเปล่า
จุดที่เราควรจะเริ่ม…เมื่อเราอยากจะรู้จักพระเจ้าอยู่หัวแล้ว เราก็ลองมาทบทวนสิ่งที่เรารู้ เราจะทบทวนใหม่ อะไรไม่รู้ผมจะเติมเต็มให้ ถ้าหากเราจะเริ่มจากเริ่มแรกจริงๆ นั้น…ที่น่าประหลาด คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้น ทรงพระสูติกาลที่สหรัฐฯ นี่เอง ที่รัฐแมสซาชูเซตส์ โรงพยาบาลเมานท์ออเบอร์น เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 1927 (2570) หลังจากนั้นอย่างที่พวกเรารู้ คือ ทรงมีพี่น้อง 3 พระองค์ด้วยกัน สมเด็จพระพี่นางฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอนันทมหิดล และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช

ตรงนี้ผมจะเติมเกร็ดนิดนึง…ผมถือว่าผมมีบุญวาสนา โดยไม่รู้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร คือ ผมรับราชการอยู่ที่สภาพัฒน์ (สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศษฐกิจและสังคมแห่งชาติ) เหมือนข้าราชการคนหนึ่งทั่วไป จนกระทั่งปี พ.ศ. 2524 หลังจากที่ทำงานสภาพัฒน์ในเรื่องของการพัฒนาประเทศ แก้ไขปัญหาการก่อการร้าย ผมอยู่สภาพัฒน์ก็จริงแต่อยู่ในกองที่ชื่อประหลาดที่สุด คือ กองวางแผนเตรียมพร้อม เพราะตอนนั้นสงครามใกล้ประเทศเข้ามาแล้วในปีพ.ศ. 2512 ผมเพิ่งจบจากต่างประเทศ ออกไปเมืองนอกตั้งแต่ 10 กว่าขวบ ไม่เคยเรียนเมืองไทยเลย เรียนไฮสกูล ตรี โท เอก ที่ฝรั่งเศส แล้วก็กลับมาทำงานที่ประเทศ แล้วชีวิตก็ไปอยู่ที่สภาพัฒน์ แต่ก็ไม่ได้ทำงานให้สภาพัฒน์ กลับไปทำงานให้กับสภาความมั่นคง
ตอนนั้นสงครามใกล้เข้ามาแล้วต้องวางแผนรับสงคราม หลายคนอาจจะไม่รู้ชีวิตผมหรอก หลายคนนนึกว่า ดร.สุเมธ ดูโก้ดี เห็นผมตามเสด็จฯ แต่ก่อนหน้านั้นผมอยู่ในป่า 11 ปี ท่านอาจจะไม่เชื่อก็ได้ผมกินนอนอยู่ในป่า 4 ทัพเลย ลงสนามรบในเมืองไทยมากกว่าทหารทุกคน เพราะลง 4 ทัพพร้อมกันเลย ผมเป็นเลขาฯ ได้รับแต่งตั้งจากรัฐบาลตอนนั้นให้เป็นเลขาของแม่ทัพ 4 ภาคด้วยกัน แม่ทัพ 2 ในตอนนั้น คือ พลโทเปรม ติณสูลานนท์ แม่ทัพ 3 พลโทสมศักดิ์ ปัญจมานนท์ แม่ทัพ 4 พลโทสัณห์ จิตรปฏิมา แม่ทัพ 1 พลโทอำนาจ ดำริกาญจน์ ไม่น่าเชื่อว่าชีวิตทำงานสภาพัฒน์กลับต้องไปนอนคลุกในป่า บางทีขุดหลุม ท่านอาจจะไม่เชื่อก็ได้ถูกยิงมาประมาณ 7 ครั้งแล้ว เฮลิคอปเตอร์ตกที่อุทัยธานี พร้อมกับทหารคนหนึ่งนั่งอยู่กับผม ยศพลตรีในตอนั้น ชื่อ พลตรีพิจิตร กุลละวณิชย์ ตอนนี้เป็นองค์มนตรีแล้ว
ชีวิตผมโลดโผนมากแต่ไม่มีใครรู้ เป็นการลงไปต่อสู้โดยไม่ใช้อาวุธ แตผมพบอาวุธเพียบเลยนะ ยิงมากูก็ยิงไป ไม่ยอมตายฟรีหรอก ชีวิตอยู่อย่างนั้น เสี่ยงมาก เสี่ยงกับระเบิดมาไม่รู้กี่ครั้ง เป็นคนวางแผนหมด รวมไปถึง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และมาถึงปี 2524 ป๋าเปรมขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี ก็ตั้งสำนักงานกปร.ขึ้นมา (สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ) ส่งคนไปผมมา ตอนนั้นเสร็จศึกแล้ว ผู้ก่อการร้ายมอบตัวหมดเลย จากวิธีที่เราทำ คือ ใช้สันติวิธี จนกระทั่งพวกเขาเข้ามอบตัวหมด ตรงนี้ก็เติมหน่อยว่า การไม่ใช้อาวุธ เพราะคนเชื่อลัทธิคอมมูนิสต์ ถ้าเราเอาปืนไปยิงลัทธิ ลัมธิไม่ได้โดนนะครับ ปืนโดนคน ปืนไม่ได้ทำลายความเชื่อแต่ทำลายชีวิตคน ปืนที่ยิงถูกคนแต่ละครั้ง จะเพิ่มจำนวนพวกเขาขึ้นอย่างน้อยอีก 4 คน มาจากไหน ก็มาจากครอบครัวของเขา เพราะฉะนั้นการใช้อาวุธเป็นวิธีการไม่ถูกต้อง เราพยายามที่จะเปลี่ยนคนที่ไม่มีนั้น ให้เขามีขึ้นมา ตราบใดที่คนยากจน ก็ยากที่จะเป็นประชาธิปไตย ต้องขจัดเรื่องนี้ก่อน…แล้วเดี๋ยวผมจะอธิบายงานของพระเจ้าอยู่หัวให้ฟังหลังจากนี้
ที่ผมเล่ามาอย่างนี้เพราะว่าพอเสร็จศึกปี 2524 นั้น ป๋าเปรมก็เรียกผมไปให้เป็นเลขาธิการกปร.คนแรก มีบุญอย่างที่ผมเล่า คือ ได้มีโอกาสได้ถวายงานพระเจ้าอยู่หัวนั้น ผมคิดว่าเป็นความไฝ่ฝันของคนไทยทุกคน โชคดีมาตกที่ผมโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ถูกท่านนายกเปรมเรียกเข้าไปให้มาทำงานต่อ งานในป่าเสร็จแล้วให้ตอนนี้มาถวายงานพระเจ้าอยู่หัว สรุปว่าต้องกลับไปอยู่ในป่าอีก เพราะงานของพระเจ้าอยู่หัวส่วนมากอยู่ในป่าในดงในชนบททั้งนั้นเลย
ทั้งๆ ที่ตอนผมเรียนหนังสืออยู่นั้น ผมเรียนรัฐศาสตร์การทูต อย่างเป็นท่านทูตฯ อยากมีชีวิตอยู่เมืองนอก แล้วก็สมปรารถนาจริงๆ เพราะออกนอกตลอด แต่เป็นบ้านนอกแทน ตั้งแต่เรียนจบจนบัดนี้อยู่แต่บ้านนอก พระองค์ท่านได้เล่าให้ฟังเวลาอยู่กัน 3 พี่น้องนั้น สมเด็จพระศรีฯ สั่งสอนท่านอย่างไร…อบรมอย่างเข้มที่สุด อย่างชนิดที่ว่าแม้กระทั่งลูกหลานเราเราก็ไม่อบรมเข้มอย่างนั้น
พระองค์ท่านรับสั่งให้ฟังอย่างเป็นธรรมชาติที่สุดเลยว่า เล็กๆเนี่ยจะได้ของเล่นสักชิ้นนึงนั้นจะต้องเก็บเงินเอง คือ จะไปขอสมเด็จพระศรีฯ สมเด็จพระศรีฯไม่พระราชทานให้หรอก ครั้งนึงอยากได้ของเล่นชิ้นนึง ไปยืมเงินองครักษ์และไปซื้อมา พอเสร็จแล้วเสด็จกลับมา สมเด็จพระศรีฯ ทอดพระเนตรเห็นเข้า ถามว่าเอามาจากไหน รับสั่งบอกว่าซื้อมา ถามว่าราคาเท่าไหร่ พอบอกราคาเสร็จ สมเด็จพระศรีฯบอกเงินที่ให้ไปมันไม่พอนี่ ก็เลยสารภาพว่ายืมมหาดเล็ก สมเด็จพระศรีฯรับสั่ง เอาไปคืนที่ร้านเดี๋ยวนี้ แล้วเอาเงินไปคืนมหาดเล็กด้วย ไม่มีตังค์ไม่ต้องเล่น ถ้าอยากจะซื้อของเล่นให้เก็บสตางค์จนกระทั่งซื้อเอง
ท่านรับสั่งว่าเมื่อฉันเริ่มเดินไปโรงเรียน มีตังค์หน่อยเก็บหอมรอมริบมาได้จักรยานเก่าๆ คันนึง ก็ขี่จักรยานไปโรงเรียน ครั้งแรกที่มีรถนั้นไปซื้อรถผุๆมาคันนึง เพราะมีเงินแค่นั้น แล้วก็มาปะผุเอง พระเจ้าอยู่หัวปะผุเองเพื่อจะได้ให้มีรถคันนั้น รับสั่งเล่าบอกว่า ฉันนั้นถูกฝึกให้เสียภาษีตั้งแต่เด็กๆ สมเด็จพระศรีฯพระราชทานเงินค่าขนมให้ พอพระราชทานเสร็จฉันนึกว่าชั้นจะได้ใช้สนุก แต่เปล่าเลย หักไว้ 10 เปอร์เซ็นต์ ทุกครั้ง ทุกอาทิตย์เลย และให้ไปใส่กระป๋องซึ่งตั้งไว้กลางตำหนัก พวกเราสามพี่น้องเรียกกระป๋องนั้นว่ากระป๋องคนจน เอาไปหยอดไว้ พอเต็มกระป๋องเมื่อไหร่ สมเด็จพระศรีฯ จะรับสั่งเรียกสามพระองค์มาประชุมกันว่าคราวนี้เงินเต็มกระป๋องแล้วจะเอาไปทำอะไรดี เมื่อเดือนที่แล้วอาจจะไปทำที่บ้านเด็กกำพร้า และคราวนี้จะทำอะไรดี

บทเรียนก็คือว่า สมเด็จพระศรีฯ สอนให้รู้จักให้ ตั้งแต่ทรงพระเยาว์อยู่ ให้แบ่งส่วนเกินที่เรามีอยู่นั้นให้กับคนอื่นเขา ถูกฝึกมาตั้งแต่เล็กๆ ถูกฝึกมาตั้งแต่ยังไม่ได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน ให้รู้จักให้ ทศพิธราชธรรมข้อแรก คือ ทานัง แปลภาษาไทย คือ การให้ คำไทยที่สั้นที่สุด แต่มีความหมายที่สุดคือ “ให้” คนเรานั้นเรามีส่วนเกินที่จะให้ทั้งนั้น พระเจ้าอยู่หัวถูกฝึกให้รู้จักให้คนอื่น
ผมจำได้ปี 2524 รัฐบาลตั้งให้ผมเป็นเลขาธิการกปร.ให้ผมไปถวายงานคนแรก และดำรงตำแหน่งนี้ 18 ปีรวด ตั้งแต่เด็กจนแก่เลย แล้วตอนนี้ 76 แล้ว ชราแล้วยังอยู่ไม่ไปไหน จากโลกนี้ไปเมื่อไหร่คงหลุดจากตำแหน่งเมื่อนั้น
วันนั้นพอพระองค์ฯรับทราบว่ารัฐบาลจัดข้าราชการคนนึงเข้าไปถวายงาน รับสั่งเรียกไปเลย ทรงจ้องมองผมอยู่นาน นานจนกระทั่งเรารู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว เพราะใครไปนั่งเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวอยู่ใกล้ๆ ด้วยพระบารมี ผมก็อธิบายไม่ถูก เราเกิดความปิติจนกระทั่งตัวสั่นเทิ้มหมด จนซักพักนึงแล้วรับสั่งออกมาเป็นประโยคทองของชีวิตของผมเลยครับว่า…
บทความที่กินใจและใกล้ชิด ในหลวงที่สุด " รู้จักพ่อ "
>>>>>>>>>> อ่านเถอะ เชื่อเรา <<<<<<<<<<
( เครดิต http://live.siammedia.org/index.php/category/article/special-scoop )
*** คอมเมนต์อย่างสุภาพและสร้างสรรค์เท่านั้นนะคะ***
เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา
ถอดบรรยาย/เรียบเรียง
ศฬรรธร มงคลคุณ
สยามมีเดียได้เปิดพื้นที่ขึ้นมาเป็นการเฉพาะกิจ หลังจากที่ได้เข้าร่วมฟังคำบรรยายจากดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ที่ได้เดินทางมายังนครลอสแอนเจลิสเพื่อพบปะพี่น้องชาวไทยแอลเอ และเผยแพร่เรื่องราวของพระราชกรณีกิจของในหลวงและมูลนิธิชัยพัฒนา ตลอดจนโครงการต่างๆ อันเนื่องมาจาพระราชดำริ เมื่อวันพุธที่ 16 ก.ย. 2015 ที่วัดไทยลอสแอนเจลิส จัดโดยสถานกงสุลใหญ่ ณ นครลอสแอนเจลิส กระทรวงการต่างประเทศ
กองบรรณาธิการเห็นพ้องต้องกันว่าเรื่องราวต่างๆ ตลอดจนเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่ได้รับฟังจากดร.สุเมธนั้น หลายเรื่องไม่สามารถหาอ่านได้จากที่ไหน นอกจากผ่านบุคคลที่เป็นข้าราชบริพารที่รับใช้เบื้องพระยุคลบาทใกล้ชิดเท่านั้น ซึ่งหลายต่อหลายเรื่องเป็นเรื่องที่มีประโยชน์ มีสาระ และมีความขำขันสอดแทรกอยู่ในพระจริยวัตรของพระองค์ และเห็นสมควรว่าควรนำเรื่องราวเล่านี้มาเล่าสืบต่อไป เพื่อให้ประชาชนชาวไทยทุกคน (ไม่แยกไม่แบ่งสี) นั้นได้ “รู้จัก” ในหลวงอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น จึงได้ให้คอลัมน์พิเศษนี้ชื่อว่า “รู้จักพ่อ” และจะนำเสนอเป็นตอนๆ เพื่อให้ครอบคลุมทุกเรื่องราว ทุกรายละเอียดที่ดร.สุเมธให้ความกรุณาบรรยายตลอด 3 ชั่วโมงครึ่ง
อย่างไรก็ตามคอลัมน์พิเศษเรื่องนี้จัดทำขึ้นเนื่องด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณและมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อถ่ายทอดเรื่องราวของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่คนไทยไม่เคยรู้และไม่อาจจะค้นหาข้อมูลได้จากโลกอินเทอร์เน็ต โดยสยามมีเดียขอเป็นสื่อกลางเชื่อมคนไทยได้รู้จักพระองค์มากขึ้น และเพื่อให้ผู้อ่านได้ความรู้สึกเช่นเดียวกับนั่งฟังบรรยายในงานแล้ว สยามมีเดียจึงขอใช้การเล่าเรื่องเป็นภาษาพูดตามที่ดร.สุเมธ ได้บรรยายไว้ อาจมีเรียบเรียงเพื่อให้อ่านเข้าใจง่ายและได้อรรถรสยิ่งขึ้นบ้างเล็กน้อย
*เนื้อหาทั้งหมดที่ตีพิมพ์ กองบก.สยามมีเดียมิได้มีเจตนาจาบจ้วงเบื้องสูงหรือหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ แต่หากผิดพลาดประการใด ขออภัยไว้ ณ ที่นี้
บทที่ 1 รู้จัก “ให้”
ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา เล่าว่า ….เมื่อครั้งผมไปบรรยายที่ชิคาโก้ (ก่อนเดินทางมาบรรยายที่แอลเอ) มีนักเรียนคนหนึ่งลุกขึ้นมาถามผมว่า การมาของท่านนี้ท่านมีวัตถุประสงค์อะไร?
ถ้าหากจะให้ผมกล่าวถึงความรู้สึกจริงๆ ว่าทำไมผมจึงมาเล่าเรื่องเกี่ยวกับสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว… เอ๊ะ! เราไม่รู้จักพระเจ้าอยู่หัวหรือ? ผมขอเรียนเลยว่า คำถามนี้เป็นคำถามที่น่าสนใจ เพราะจากประสบการณ์ของตัวผมนั้น จากที่สัมผัสกลุ่มคนต่างๆ และหลายวัยด้วยกัน หลายแห่งด้วยกัน ทั้งคนไทยที่อยู่ในต่างประเทศและคนไทยที่อยู่ในประเทศไทยนั้น ผมคิดว่าหลายคนนะครับ ไม่รู้จักพระเจ้าอยู่หัวจริง
เหมือนกับที่พวกเราชาวพุทธนั้นเป็นพุทธศาสนิกชนแต่ไม่เข้าใจศาสนาเท่าไหร่ เรารู้จักพระพุทธ เจอพระพุทธเราก็กราบเบญจางคประดิษฐ์ เพราะถูกสอนมาอย่างนั้น…การบรรยายในวันนี้ผมถือว่าพวกท่านทั้งหลาย รวมทั้งตัวผมเองนั้น ถือเป็นมงคลอย่างยิ่ง เพราะตั้งแต่บรรยายมา น้อยครั้งเหลือเกินที่มีพระสงฆ์มาให้พรก่อน จากการบวชมา 4 ครั้ง บทสวดของท่านพระคุณเจ้าทุกบทสวดนั้นเป็นมงคลสูตรทั้งสิ้น เป็นการให้พรพวกเรา หลายคนประนมมือหมด แต่ผมสงสัยเหลือเกินว่าจะมีสักกี่คนเข้าใจว่าที่ท่านสวดนั้นหมายความว่าอะไร เช่นเดียวกันครับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้น จะบอกว่าคนไทยไม่รู้จักก็ไม่ได้ คนไทยรู้จัก แต่เข้าใจอย่างลึกซึ้งไหม เข้าใจไหมถึงสิ่งที่พระองค์ท่านได้ทำมาตลอดระยะเวลา 70 ปีนั้น ทรงทำอะไรบ้างและแต่ละความคิดของพระองค์นั้น เราเข้าใจอย่างลึกซึ้งหรือเปล่า
จุดที่เราควรจะเริ่ม…เมื่อเราอยากจะรู้จักพระเจ้าอยู่หัวแล้ว เราก็ลองมาทบทวนสิ่งที่เรารู้ เราจะทบทวนใหม่ อะไรไม่รู้ผมจะเติมเต็มให้ ถ้าหากเราจะเริ่มจากเริ่มแรกจริงๆ นั้น…ที่น่าประหลาด คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้น ทรงพระสูติกาลที่สหรัฐฯ นี่เอง ที่รัฐแมสซาชูเซตส์ โรงพยาบาลเมานท์ออเบอร์น เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 1927 (2570) หลังจากนั้นอย่างที่พวกเรารู้ คือ ทรงมีพี่น้อง 3 พระองค์ด้วยกัน สมเด็จพระพี่นางฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอนันทมหิดล และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
ตรงนี้ผมจะเติมเกร็ดนิดนึง…ผมถือว่าผมมีบุญวาสนา โดยไม่รู้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร คือ ผมรับราชการอยู่ที่สภาพัฒน์ (สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศษฐกิจและสังคมแห่งชาติ) เหมือนข้าราชการคนหนึ่งทั่วไป จนกระทั่งปี พ.ศ. 2524 หลังจากที่ทำงานสภาพัฒน์ในเรื่องของการพัฒนาประเทศ แก้ไขปัญหาการก่อการร้าย ผมอยู่สภาพัฒน์ก็จริงแต่อยู่ในกองที่ชื่อประหลาดที่สุด คือ กองวางแผนเตรียมพร้อม เพราะตอนนั้นสงครามใกล้ประเทศเข้ามาแล้วในปีพ.ศ. 2512 ผมเพิ่งจบจากต่างประเทศ ออกไปเมืองนอกตั้งแต่ 10 กว่าขวบ ไม่เคยเรียนเมืองไทยเลย เรียนไฮสกูล ตรี โท เอก ที่ฝรั่งเศส แล้วก็กลับมาทำงานที่ประเทศ แล้วชีวิตก็ไปอยู่ที่สภาพัฒน์ แต่ก็ไม่ได้ทำงานให้สภาพัฒน์ กลับไปทำงานให้กับสภาความมั่นคง
ตอนนั้นสงครามใกล้เข้ามาแล้วต้องวางแผนรับสงคราม หลายคนอาจจะไม่รู้ชีวิตผมหรอก หลายคนนนึกว่า ดร.สุเมธ ดูโก้ดี เห็นผมตามเสด็จฯ แต่ก่อนหน้านั้นผมอยู่ในป่า 11 ปี ท่านอาจจะไม่เชื่อก็ได้ผมกินนอนอยู่ในป่า 4 ทัพเลย ลงสนามรบในเมืองไทยมากกว่าทหารทุกคน เพราะลง 4 ทัพพร้อมกันเลย ผมเป็นเลขาฯ ได้รับแต่งตั้งจากรัฐบาลตอนนั้นให้เป็นเลขาของแม่ทัพ 4 ภาคด้วยกัน แม่ทัพ 2 ในตอนนั้น คือ พลโทเปรม ติณสูลานนท์ แม่ทัพ 3 พลโทสมศักดิ์ ปัญจมานนท์ แม่ทัพ 4 พลโทสัณห์ จิตรปฏิมา แม่ทัพ 1 พลโทอำนาจ ดำริกาญจน์ ไม่น่าเชื่อว่าชีวิตทำงานสภาพัฒน์กลับต้องไปนอนคลุกในป่า บางทีขุดหลุม ท่านอาจจะไม่เชื่อก็ได้ถูกยิงมาประมาณ 7 ครั้งแล้ว เฮลิคอปเตอร์ตกที่อุทัยธานี พร้อมกับทหารคนหนึ่งนั่งอยู่กับผม ยศพลตรีในตอนั้น ชื่อ พลตรีพิจิตร กุลละวณิชย์ ตอนนี้เป็นองค์มนตรีแล้ว
ชีวิตผมโลดโผนมากแต่ไม่มีใครรู้ เป็นการลงไปต่อสู้โดยไม่ใช้อาวุธ แตผมพบอาวุธเพียบเลยนะ ยิงมากูก็ยิงไป ไม่ยอมตายฟรีหรอก ชีวิตอยู่อย่างนั้น เสี่ยงมาก เสี่ยงกับระเบิดมาไม่รู้กี่ครั้ง เป็นคนวางแผนหมด รวมไปถึง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และมาถึงปี 2524 ป๋าเปรมขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี ก็ตั้งสำนักงานกปร.ขึ้นมา (สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ) ส่งคนไปผมมา ตอนนั้นเสร็จศึกแล้ว ผู้ก่อการร้ายมอบตัวหมดเลย จากวิธีที่เราทำ คือ ใช้สันติวิธี จนกระทั่งพวกเขาเข้ามอบตัวหมด ตรงนี้ก็เติมหน่อยว่า การไม่ใช้อาวุธ เพราะคนเชื่อลัทธิคอมมูนิสต์ ถ้าเราเอาปืนไปยิงลัทธิ ลัมธิไม่ได้โดนนะครับ ปืนโดนคน ปืนไม่ได้ทำลายความเชื่อแต่ทำลายชีวิตคน ปืนที่ยิงถูกคนแต่ละครั้ง จะเพิ่มจำนวนพวกเขาขึ้นอย่างน้อยอีก 4 คน มาจากไหน ก็มาจากครอบครัวของเขา เพราะฉะนั้นการใช้อาวุธเป็นวิธีการไม่ถูกต้อง เราพยายามที่จะเปลี่ยนคนที่ไม่มีนั้น ให้เขามีขึ้นมา ตราบใดที่คนยากจน ก็ยากที่จะเป็นประชาธิปไตย ต้องขจัดเรื่องนี้ก่อน…แล้วเดี๋ยวผมจะอธิบายงานของพระเจ้าอยู่หัวให้ฟังหลังจากนี้
ที่ผมเล่ามาอย่างนี้เพราะว่าพอเสร็จศึกปี 2524 นั้น ป๋าเปรมก็เรียกผมไปให้เป็นเลขาธิการกปร.คนแรก มีบุญอย่างที่ผมเล่า คือ ได้มีโอกาสได้ถวายงานพระเจ้าอยู่หัวนั้น ผมคิดว่าเป็นความไฝ่ฝันของคนไทยทุกคน โชคดีมาตกที่ผมโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ถูกท่านนายกเปรมเรียกเข้าไปให้มาทำงานต่อ งานในป่าเสร็จแล้วให้ตอนนี้มาถวายงานพระเจ้าอยู่หัว สรุปว่าต้องกลับไปอยู่ในป่าอีก เพราะงานของพระเจ้าอยู่หัวส่วนมากอยู่ในป่าในดงในชนบททั้งนั้นเลย
ทั้งๆ ที่ตอนผมเรียนหนังสืออยู่นั้น ผมเรียนรัฐศาสตร์การทูต อย่างเป็นท่านทูตฯ อยากมีชีวิตอยู่เมืองนอก แล้วก็สมปรารถนาจริงๆ เพราะออกนอกตลอด แต่เป็นบ้านนอกแทน ตั้งแต่เรียนจบจนบัดนี้อยู่แต่บ้านนอก พระองค์ท่านได้เล่าให้ฟังเวลาอยู่กัน 3 พี่น้องนั้น สมเด็จพระศรีฯ สั่งสอนท่านอย่างไร…อบรมอย่างเข้มที่สุด อย่างชนิดที่ว่าแม้กระทั่งลูกหลานเราเราก็ไม่อบรมเข้มอย่างนั้น
พระองค์ท่านรับสั่งให้ฟังอย่างเป็นธรรมชาติที่สุดเลยว่า เล็กๆเนี่ยจะได้ของเล่นสักชิ้นนึงนั้นจะต้องเก็บเงินเอง คือ จะไปขอสมเด็จพระศรีฯ สมเด็จพระศรีฯไม่พระราชทานให้หรอก ครั้งนึงอยากได้ของเล่นชิ้นนึง ไปยืมเงินองครักษ์และไปซื้อมา พอเสร็จแล้วเสด็จกลับมา สมเด็จพระศรีฯ ทอดพระเนตรเห็นเข้า ถามว่าเอามาจากไหน รับสั่งบอกว่าซื้อมา ถามว่าราคาเท่าไหร่ พอบอกราคาเสร็จ สมเด็จพระศรีฯบอกเงินที่ให้ไปมันไม่พอนี่ ก็เลยสารภาพว่ายืมมหาดเล็ก สมเด็จพระศรีฯรับสั่ง เอาไปคืนที่ร้านเดี๋ยวนี้ แล้วเอาเงินไปคืนมหาดเล็กด้วย ไม่มีตังค์ไม่ต้องเล่น ถ้าอยากจะซื้อของเล่นให้เก็บสตางค์จนกระทั่งซื้อเอง
ท่านรับสั่งว่าเมื่อฉันเริ่มเดินไปโรงเรียน มีตังค์หน่อยเก็บหอมรอมริบมาได้จักรยานเก่าๆ คันนึง ก็ขี่จักรยานไปโรงเรียน ครั้งแรกที่มีรถนั้นไปซื้อรถผุๆมาคันนึง เพราะมีเงินแค่นั้น แล้วก็มาปะผุเอง พระเจ้าอยู่หัวปะผุเองเพื่อจะได้ให้มีรถคันนั้น รับสั่งเล่าบอกว่า ฉันนั้นถูกฝึกให้เสียภาษีตั้งแต่เด็กๆ สมเด็จพระศรีฯพระราชทานเงินค่าขนมให้ พอพระราชทานเสร็จฉันนึกว่าชั้นจะได้ใช้สนุก แต่เปล่าเลย หักไว้ 10 เปอร์เซ็นต์ ทุกครั้ง ทุกอาทิตย์เลย และให้ไปใส่กระป๋องซึ่งตั้งไว้กลางตำหนัก พวกเราสามพี่น้องเรียกกระป๋องนั้นว่ากระป๋องคนจน เอาไปหยอดไว้ พอเต็มกระป๋องเมื่อไหร่ สมเด็จพระศรีฯ จะรับสั่งเรียกสามพระองค์มาประชุมกันว่าคราวนี้เงินเต็มกระป๋องแล้วจะเอาไปทำอะไรดี เมื่อเดือนที่แล้วอาจจะไปทำที่บ้านเด็กกำพร้า และคราวนี้จะทำอะไรดี
บทเรียนก็คือว่า สมเด็จพระศรีฯ สอนให้รู้จักให้ ตั้งแต่ทรงพระเยาว์อยู่ ให้แบ่งส่วนเกินที่เรามีอยู่นั้นให้กับคนอื่นเขา ถูกฝึกมาตั้งแต่เล็กๆ ถูกฝึกมาตั้งแต่ยังไม่ได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน ให้รู้จักให้ ทศพิธราชธรรมข้อแรก คือ ทานัง แปลภาษาไทย คือ การให้ คำไทยที่สั้นที่สุด แต่มีความหมายที่สุดคือ “ให้” คนเรานั้นเรามีส่วนเกินที่จะให้ทั้งนั้น พระเจ้าอยู่หัวถูกฝึกให้รู้จักให้คนอื่น
ผมจำได้ปี 2524 รัฐบาลตั้งให้ผมเป็นเลขาธิการกปร.ให้ผมไปถวายงานคนแรก และดำรงตำแหน่งนี้ 18 ปีรวด ตั้งแต่เด็กจนแก่เลย แล้วตอนนี้ 76 แล้ว ชราแล้วยังอยู่ไม่ไปไหน จากโลกนี้ไปเมื่อไหร่คงหลุดจากตำแหน่งเมื่อนั้น
วันนั้นพอพระองค์ฯรับทราบว่ารัฐบาลจัดข้าราชการคนนึงเข้าไปถวายงาน รับสั่งเรียกไปเลย ทรงจ้องมองผมอยู่นาน นานจนกระทั่งเรารู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว เพราะใครไปนั่งเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวอยู่ใกล้ๆ ด้วยพระบารมี ผมก็อธิบายไม่ถูก เราเกิดความปิติจนกระทั่งตัวสั่นเทิ้มหมด จนซักพักนึงแล้วรับสั่งออกมาเป็นประโยคทองของชีวิตของผมเลยครับว่า…