ประกาศสำนักพระราชวังเรื่องการเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ยังความเศร้าโศกเสียใจต่อปวงชนชาวไทย ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดไม่ได้
ตลอดพระชนชีพของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณีกิจน้อยใหญ่ ทั้งในฐานะที่ทรงเป็นสมเด็จพระบรมราชินีของไทย และในฐานะคู่พระราชหฤทัยแห่ง พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงช่วยแบ่งเบาพระราชภารกิจทั้งหลายไปได้เป็นอันมาก ทั้งยังมีพระราชดำริเริ่มใหม่เพื่อช่วยเหลือประชาชนและพัฒนาประเทศอย่างอเนกอนันต์ ซึ่งโครงการพระราชดำริเหล่านั้นได้ยังประโยชน์มหาศาลแก่ประชาชนสืบมาจนทุกวันนี้
ข้อมูลจากเว็บไซต์สำนักพระราชวัง ระบุถึงการทรงงานของพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ว่าในช่วงปลายปี พ.ศ.2498 สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ผู้ทรงดำรงตำแหน่งสภานายิกาสภากาชาดไทยเสด็จสวรรคต พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงทรงแต่งตั้งสมเด็จพระบรมราชินีให้ทรงดำรงตำแหน่งสภานายิกาแทน เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ.2499 และในปีเดียวกันนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออกทรงพระผนวชตามโบราณราชประเพณี จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งสมเด็จพระบรมราชินีเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
ภายหลังเมื่อทรงลาผนวชแล้ว ได้ทรงสถาปนาพระราชอิสริยยศสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีขึ้นเป็น สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ อันมีความหมายว่า “ทรงเป็นที่พึ่งของประชาชน” นับเป็นสมเด็จพระบรมราชินีนาถพระองค์ที่สองของไทยต่อจากสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ซึ่งทรงปฏิบัติราชการแทนพระองค์เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินเยือนยุโรป
พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เมื่อครั้งดำรงพระอิสริยยศพระบรมราชินีนาถ ทรงตามเสด็จฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เพื่อเยี่ยมเยียนประชาชนในถิ่นทุรกันดารอยู่เสมอ ทรงพระราชทานสิ่งของ เครื่องอุปโภค บริโภค ช่วยเหลือราษฎร ซึ่งทรงรับสั่งว่าการช่วยเหลือแบบนี้ เป็นการช่วยเหลือเฉพาะหน้า ซึ่งยังไม่เพียงพอ ทรงคิดว่าทำอย่างไรจึงจะช่วยเหลือชาวบ้านเป็นระยะยาว เพื่อทำให้เขามีหวังที่จะอยู่ดีกินดีขึ้น ลูกหลานได้เข้าโรงเรียน ได้เรียนหนังสือ
พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ก่อนตั้ง “มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพพิเศษ ในพระบรมราชินูปถัมภ์” เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ.2519 โดยพระองค์ได้พระราชทานทุนเริ่มแรก 1 ล้านบาท และทรงรับเป็นประธานกรรมการบริหารของมูลนิธิ ด้วยพระองค์เอง ต่อมาภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น “มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ”
ครั้งหนึ่งขณะที่พระองค์ทรงติดตามโครงการศิลปาชีพในพระบรมราชินูปถัมภ์และ“โครงการฟาร์มตัวอย่างตามพระราชดำริ“ ที่บ้านขุนแตะ อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ ที่ เริ่มต้นขึ้นในปี พ.ศ. 2540
ทรงได้รับทราบถึงความลำบากของราษฎรที่บ้านขุนแตะจึงได้เริ่มโครงการฟาร์มตัวอย่างแห่งแรก เพื่อเป็นแหล่งจ้างงานให้แก่ชาวบ้าน โดยโครงการนี้ไม่เพียงเป็นแหล่งจ้างงาน แต่ยังเป็นศูนย์เรียนรู้ด้านเกษตรกรรมให้เป็นแหล่งผลิตอาหารให้แก่ชุมชน และพื้นที่ใกล้เคียง อีกทั้งยังเป็นแหล่งจ้างแรงงานชาวบ้านที่ยากจน ช่วยให้มีรายได้ไปเลี้ยงครอบครัว และยังสามารถนำความรู้กลับไปใช้พัฒนาที่ดินของตนเอง รวมถึงเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรที่กระจายรายได้กลับสู่ชุมชนด้วย
อย่างไรก็ตามข้าราชบริพารผู้ถวายงานได้กราบบังคมทูลว่า ได้จ้างชาวเขามาทำงานในฟาร์มเพียง 40 คนเท่านั้น โดยกราบถวายรายงานว่าหากจ้างคนงานเข้ามากขึ้นโครงการอาจจะขาดทุนได้ เพราะผลผลิตยังมีไม่มากนัก
พระองค์จึงมีพระราชดำรัสด้วยพระราชหฤทัยที่เปี่ยมด้วยพระเมตตาว่า
“อย่ามาพูดเรื่องกำไรขาดทุนกับฉันนะ ฉันต้องการให้คนจนมีงานทำมากๆ ขาดทุนของฉัน คือกำไรของแผ่นดิน”
พระราชดำรัสนี้ไม่เพียงแต่เป็นถ้อยคำที่ไพเราะและทรงพลัง แต่ยังเป็นหลักคิดที่สะท้อนถึงพระราชปณิธานอันแน่วแน่ในการทรงงานเพื่อพสกนิกรตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ ที่วันนี้ “กำไรของแผ่นดิน” ที่เคยทรงรับสั่งกลายเป็นความมั่นคงในชีวิตของประชาชนที่มีงานทำ มีรายได้ สามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้อย่างมีศักดิ์ศรี มีความภาคภูมิใจในคุณค่าของตนเอง และสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน ในขณะเดียวกันก็ช่วยอนุรักษ์วัฒนธรรมและศิลปะอันล้ำค่าของชาติไว้ด้วย
'ขาดทุนของฉัน คือกำไรของแผ่นดิน' พระราชดำรัสพระพันปีหลวง สะท้อนหลักคิดทรงงานพัฒนาเพื่อคนไทย