สวัสดีค่ะ เราโอลีฟนะ

กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกของเราที่อยากมาเล่าประสบการณ์เมื่อ3ปีที่แล้วที่ได้ไปผจญภัยที่แอฟริกามาเป็นเวลาเกือบ1ปี ตอนนั้นเราเพิ่งเรียนจบมหาลัยพอดี แล้วรู้สึกเคว้งๆ กลัวด้วยที่จะต้องไปทำงานก็เลยคิดว่าก่อนจะเริ่มชีวิตการทำงานควรจะทำอะไรสักอย่างเช่น เรียนภาษา เพราะเรารู้สึกว่าเราเรียนเอกภาษา แต่กลับพูดภาษาที่ตัวเองเรียนได้แบบงูๆปลาๆมาก และทีเด็ดกว่านั้นคือ ทักษะภาษาอังกฤษของเรานี่เปลี้ยเรี่ยดินมาก ถ้าให้ 10 คะแนนเราให้ตัวเอง “1” พอ เพราะงั้นมันถึงเวลาแล้วล่ะที่ต้องหนีไปชุบตัวที่ไหนสักแห่ง เราเลยตัดสินใจว่าจะไปเป็นอาสาสมัครที่ต่างประเทศแบบที่รุ่นพี่ในเอกหลายคนเขาไปกัน และเราได้เจอโครงการที่ตอบโจทย์เราพอดี
เราได้เข้าร่วมโครงการอาสาสมัครต่างประเทศ ของ IYF ชื่อโครงการว่า Good News Corps รุ่นที่6 ของประเทศไทย (ปัจจุบันเป็นรุ่นที่10) ที่ประเทศยูกานด้า ทวีปแอฟริกา เป็นระยะเวลา 10 เดือน เพราะงั้นเราอยากจะเล่าขั้นตอน การไปเป็นอาสาสมัครที่แอฟริกาของเราอย่างละเอียด หรือจะเรียกว่า How to ก็ได้เนอะ....

ย้อนไปตอนเราเรียนอยู่ปี 2 ม.บูรพา เป็นครั้งแรกที่เราได้ยินคำว่า IYF และโครงการอาสาสมัครต่างประเทศ เพราะเราเห็นเพื่อนและพี่ๆในเอกหลายคนไปเป็นอาสาสมัครกับโครงการนี้ แต่ตอนนั้นเรายังไม่ได้สนใจ แค่ใช้ชีวิตไปตามวัย กิน เที่ยว เล่น และไปเรียน แต่จุดเปลี่ยนมันอยู่ตรงนี้ที่ มีสตาฟของ IYF มาตั้งบูธรับสมัคร ให้ไปเข้าค่าย World Camp 2012 ใต้ตึกคณะ ด้วยความที่เราก็ไม่ได้เป็นเด็กตั้งใจเรียนอะไร แล้วก็อย่างที่บอกไปตอนต้นว่าทักษะทางภาษาของเราพิการเหลือเกิน เราจึงตัดสินใจไปเข้าร่วมแคมป์ IYF World Camp 2012 จัดที่ชลพฤกษ์รีสอร์ท จ.นครนายก ซึ่งเป็นอะไรที่เราประทับใจมาก เรารู้สึกว่าเพื่อนที่เจอในค่ายนี้น่ารักคุยกันเฮฮาปาจิงโกะ อาหารก็อร่อยมาก คือเพื่อนที่เจอในค่ายนั้นปัจจุบันก็ยังคบกันอยู่เลย
พอผ่านค่ายแล้วเราก็ต้องมาเก็บตัว ซึ่งคือการเตรียมความพร้อมสู่การไปเป็นอาสาสมัครต่างประเทศ เรียกว่าเป็นการจำลองชีวิตอาสาสมัคร ใครที่ตัดสินใจจะไปเป็นอาสาสมัครก็ต้องเก็บเสื้อผ้าและกระเป๋าและของใช้ทุกอย่างมาให้พร้อม

รุ่นเรามีคนมาเก็บตัวประมาน 70 กว่าคน ซึ่งพวกเราต้องมากิน มานอน มาเรียนด้วยกันเป็นเดือนๆ ในช่วงที่เราเก็บตัวอยู่ ทุกวันเราต้องตื่นนอนประมาณ ตี5.50 ซึ่งมันเช้ามากไก่ยังไม่ทันโห่ โปรแกรมหลักของที่นี่ก็จะเน้นการฟังบรรยายเช้าเย็น เรียนพระคัมภีร์ เรียนภาษา ชั่วโมงอ่านหนังสือ ทำความสะอาด เรียนเต้น Group meeting ทุกคนต้องเข้านอนตอน 5 ทุ่ม ฟังแล้วดูมันทรหด แต่พอมาเก็บตัว ชีวิตเราเริ่มดีขึ้น เพราะสุขภาพดีกว่าช่วงที่เรียนมหาลัย ตอนนั้นนอนตี3 ตื่นบ่าย3 กินข้าวมื้อแรก 6โมงเย็น ตอนนั้นหน้าหมองเหมือนโดนของเลยทีเดียวเชียว จริงๆเราอยากจะเม้ามอยข้อพิพาทเกี่ยวกับคำร่ำลือของIYFเรื่อง ‘ศาสนา’ด้วย คือที่นี่จะมีการฟังบรรยายเกี่ยวกับเรื่องโลกของจิตใจที่เอาเนื้อหาจากพระคัมภีร์มาสอน อารมณ์แบบเมืองไทยเมืองพุทธอยากขัดเกลาจิตใจเด็กก็ต้องพาไปค่ายธรรมะ เหมือนกันซึ่งเรารู้แต่แรกแล้วว่า IYF ก่อตั้งที่ประเทศเกาหลีซึ่งเป็นประเทศคริสต์ก็ต้องใช้พระคัมภีร์สอนเด็ก เราจะบอกเลยว่าตอนเก็บตัว “ทุกคนจะได้ฟัง” ซึ่งหลายคนอาจไม่เข้าใจเพราะงั้นใครอยากรู้แบบ Exclusive หุหุ คลิ๊กด้านล่าง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ฟังดูแล้วแบบ งง เอิ่ม! โครงการอาสาสมัครต่างประเทศมาเกี่ยวอะไรกับศาสนา หรือพระคัมภีร์อ่า?? ซึ่งความเห็นส่วนตัวของเราเกี่ยวกับเรื่องนี้นะ เปลี่ยนเป็นศาสนาไหนก็ไม่สำคัญ ถ้าจิตใจยังไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลง เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุด คือการเปลี่ยนแปลงที่จิตใจ ไม่ได้อยู่ที่การกระทำ ถ้าเมื่อไหร่ที่จิตใจเปลี่ยน การกระทำก็เปลี่ยน นี่แหล่ะเรียกว่าการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง เคยสงสัยไหมว่า ทั้งๆที่รู้ว่าผิด แต่เราก็ยังทำซ้ำๆ บางครั้งก็รู้สึกเบื่อหน่ายกับตัวเอง แต่ก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ หัวใจสำคัญที่โครงการนี้ต้องการจะบอกพวกเราคือการเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตใจ ก็พูดยากนะ สำหรับคนที่ติดอยู่กับกรอบของเรื่องศาสนา ก็จะทำความเข้าใจยาก ถ้าให้เราพูดง่ายๆ ศาสนาบอกว่าอย่าฆ่าคน มันบาป แต่ในใจเราก็ห้ามไม่ให้เกลียดก็ไม่ได้ จนบางครั้งก็ฆ่าเค้าอยู่ในใจ พอจะเข้าใจมั้ยว่าโลกของจิตใจมันไม่มีกรอบ มันอิสระที่จะคิด แต่เพราะความคิดนี้ที่มีอยู่ ผลสุดท้ายก็ลงมือทำอยู่ดี ครั้งแรกที่เราได้รู้จักโลกของจิตใจ เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันคือความจริง มันเริ่มทำให้เราสนใจจิตใจของเรามากขึ้น เราอยากจะรู้ว่าจิตใจของเราเป็นยังไง และเราก็ไม่รู้สึกว่าจำเป็นต้องเปลี่ยนศาสนาอะไรยังไง
พอเราฟังการบรรยายไปเรื่อยๆ ก็เริ่มได้ยินคำว่า “ชำระบาป” คือพระเยซูมาล้างบาปให้เรา อ้าว งงเลย ใครอยากจะข้ามก็ผ่านไปอ่านเรื่องชีวิตในต่างประเทศได้เลย แต่!!!!!! สำหรับ คนที่อยากหายข้องใจก็คลิ๊กโลดดด หึหึ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ที่นี่เขาจะพูดถึงการ “ชำระบาป” ที่พูดถึงเรื่องการตายของพระเยซู พูดถึงเรื่องในพระคัมภีร์ ในส่วนนี้จะเป็นเรื่องของความเชื่อความศรัทธาล้วนๆ ไม่ใช่ว่าทุกคนหรือใครก็ได้ที่จะเกิดความเชื่อ หรือมาศรัทธาด้วยตัวเอง แต่ความรอดหรือการ “ชำระบาป” นั้นก็มาจากความเชื่อนี่แหล่ะ ส่วนตัวเรานะ เราว่ามันก็ไม่ได้แปลกที่จะพูดถึงพระคัมภีร์และการไถ่บาปที่พระเยซูตายบนไม้กางเขน เพราะเค้าก็บอกอยู่แล้วว่ามูลนิธิฯก่อตั้งโดยมิชชันนารี และเขาก็แค่อยากจะบอกต่อเรื่องความรอด แต่เรื่องของความศรัทธาและความเชื่อ มันก็บังคับกันไม่ได้ไง และอีกอย่างที่มักจะเข้าใจกันผิด ก็คือ ต้องชำระบาปก่อนถึงจะได้ไปต่างประเทศ อันนี้ขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่า ไม่จริงเลยยยยยย ไม่เกี่ยว ไม่ใช่! ไม่รู้ว่าไปเอากันมาจากไหน เราก็เสียดายแทนนะ กับการที่แค่ไปฟัง ไปอ่าน ไปรับสารมาผิดๆ แล้วก็ตัดโอกาสของตัวเอง เราอยากให้ทุกคนมาลองดู ถ้ามันไม่ใช่ก็ค่อยว่ากัน ดีกว่าที่ตัดสินอะไรโดยที่ยังไม่ได้ลองด้วยตัวเอง
มาถึงช่วงที่เลือกประเทศสำหรับการไปเป็นอาสาสมัคร ตอนแรกนี่เลือกตามความชอบส่วนตัวล้วนๆ ที่กล่าวไว้ข้างต้นว่าเรียนภาษาจีน แต่เราก็อยากไปที่ที่ใช้ภาษาอังกฤษมากกว่า ก็เลยคิดว่าฉันอยากจะบินไปอเมริกา อยากไปตามหาเครื่องสำอางตามที่โมเมบอก รุ่นเราคนแห่กันไปเยอะม้ากกก ระหว่างที่เก็บตัวพออยู่ๆมันก็มีความคิดแว๊บนึงเข้ามาในหัว ว่าถ้าแค่ไปซื้อเครื่องสำอางหรือแค่อยากจะไปท่องเที่ยว เก็บเงินไปตอนไหนก็ได้ สุดท้ายเลยมาจบลงที่แอฟริกา พอมั่นใจแน่วแน่ละว่าแอฟริกาคือปลายทางก็เข้าเรียนภาษาอังกฤษ เพราะคนเรียนเยอะก็เลยต้องแบ่งออกเป็นระดับๆ จะมีการแบ่งระดับเป็น3ระดับ ระดับพื้นฐาน ระดับกลาง และระดับสูง เป็นการเตรียมความพร้อมเรื่องภาษาเบื้องต้น แบบทักทายกัน พูดประโยคในชีวิตประจำวัน เรียนศัพท์ในพระคัมภีร์ด้วย ภาษาก็จะมีให้เรียนตามประเทศที่พวกเราจะไป เช่น ไปจีนก็เรียนจีน เรียนเช้ารอบนึง เย็นรอบนึง
เมื่อถึงเวลาที่จะไปแล้ว เราก็จะไปทำวีซ่า ซึ่งตอนแรกเราเลือกไปที่เคนย่า เลยไปทำวีซ่าไปลงที่ประเทศเคนย่า ได้วีซ่ามา3เดือน ต้องไปฉีดวัคซีนไข้เหลืองและรออีก 10 วัน จากนั้นก็ซื้อตั๋ว ค่าใช้จ่ายจริงๆที่เราจ่ายไปทั้งหมดที่จ่ายที่ประเทศไทยก่อนบิน มีค่าวีซ่า ค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าฉีดวัคซีน ค่าซื้อของที่จะเอาไปใช้ที่โน่น เบ็ดเสร็จแล้ว ประมาณ 50,000 บาท แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับวีซ่าที่ได้มาด้วย ซึ่งเราได้วีซ่าจากที่นี่ไป 3 เดือน เลยต้องเตรียมเงินไปต่อวีซ่าที่โน่นด้วยอีก $100 ตอนนั้นเราเองก็เตรียมเงินไปสำหรับบริจาคที่โน่นด้วยประมาณ $200 (แลกเป็น US dollar ไป) ทั้งหมดปัดเป็นตัวเลขกลมๆก็เกือบ 70,000 บาท พอทุกอย่างเรียบร้อยเสร็จสรรพ

ทีนี้เราก็บินบินบินนนน เราบินช่วงเดือนกรกฎาคมค่ะ เป็นคนแรกๆของรุ่นเพราะว่าวีซ่าผ่านไวม้ากก

ไปอยู่ที่โน่นแล้วเราก็อยู่กับ IYF นี่แหล่ะ เราบินไปลงที่เคนย่า IYF เคนย่านี่จะใหญ่มากๆ มีทั้งโรงเรียนม.ปลาย มีโรงเรียนสอนมิชชันนารี มีสถานีโทรทัศน์ GBS และมีส่วนที่เป็นบ้านของอาจารย์ และสมาชิก เราอยู่ที่นั้นประมาณเดือนครึ่ง เพื่อเตรียม World camp และเข้าร่วมแคมป์ ในแคมป์เรามีหน้าที่สอนภาษาไทย พวกคำทักทายเล็กๆน้อยๆ แล้วเราก็ให้เล่นเกมส์ร้องเพลง Siam และแจกมาม่าต้มยำกุ้งที่เราเตรียมไป คนสนใจภาษาไทยเยอะ แล้วเราก็เตรียมชุดไทยไปใส่ด้วย ส่วนเพื่อนอีกคนก็สอนอคาเดมี่ทำข้าวผัดต้มยำกุ้ง ในไทยชุดล้านนาของเขาแหล่ะ
หลังจากจบแคมป์แล้วเราก็ได้เข้าร่วม World camp ที่ยูกานด้าต่อ ตอนที่เราไปถึงก็เป็นช่วงเริ่มแคมป์แล้ว เราเลยไปjoin กับอาสาสมัครคนไทยอีก2คน ทำคลาสนวดแผนไทย พอจบแคมป์แล้วเราก็อยู่ยูกานด้ายาวๆ คืออยู่เป็นอาสาสมัครที่นั่นเลยว่างั้นเหอะ IYF ที่ยูกานด้าจะไม่ใหญ่เท่าที่เคนย่า จะอยู่เป็นครอบครัว บ้าน 2ชั้น ธรรมดาๆ มีอาจารย์และครอบครัว มีเพื่อนๆอาสาสมัคร รวมเราด้วย 13 คน ซึ่งอาสาสมัครจะอยู่บ้านเดียวกับอาจารย์ ส่วนสมาชิกคนอื่นๆที่เป็นคนท้องถิ่น อีกประมาณ 10คน จะแยกกันอยู่คนละบ้าน แต่ก็อยู่ในรั้วเดียวกัน ปกติก็กินอาหารแอฟริกา มีบางวันที่กินอาหารเกาหลี มีโอกาสได้ทำอาหารไทยให้คนที่โน่นกินบ้าง กิจกรรมที่นั่นก็จะมีไปสอนเต้นตามโรงเรียนประถม เพื่อนเกาหลีเป็นคนสอน เราก็ไปเป็นผู้ช่วย มีสอนภาษาเกาหลี แต่เราก็ขุดของดีเราไปโชว์ สอนนวด สอนมวย เอาตะกร้อไปเตะด้วยก็มี กิจกรรมที่เป็นวิชาการหน่อยก็จะมีการจัดอบรมพระคัมภีร์ เพราะประเทศนี้ประชากรส่วนใหญ่นับถือคริสต์
อยู่ที่นั่นเราได้เต้นเพลงแอฟริกาเยอะมากๆ ซ้อมเยอะมาก เพราะช่วงนั้นมีการแข่งขันเต้นระดับประเทศ เราจึงต้องซ้อมเต้นเพื่อไปแข่งขัน มีโอกาสได้ประชาสัมพันธ์ IYF และพูดภาษาไทยผ่านการถ่ายทอดสด กลับมาจึงมีโอกาสได้มาเต้นต่อที่ประเทศไทยด้วย

เราไม่ได้กลับมาใช้ทุนอะไรนะ เพราะเราไม่มีพันธะผูกพันกันทางหนี้สินหรือทรัพย์สินอะไร แค่อยากแบ่งปันและถ่ายทอดสิ่งดีๆที่เราเคยได้รับมาให้กับน้องๆ รุ่นต่อๆไป เราก็อยากจะให้อาสาสมัครรุ่นต่อๆไป ได้รู้จักประเทศที่เราเคยไป ได้ไปเห็นแบบที่เราเห็น อยากจะให้เด็กรุ่นๆหลังได้เรียนรู้เรื่องโลกของจิตใจ และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขจริงๆ เรารู้สึกขอบคุณที่ตอนนั้นมันมีจิตใจที่อยากจะท้าทายความยากลำบากโดยการไปเป็นอาสาสมัครที่แอฟริกา ประเทศที่ความเจริญไม่เท่าเทียมกับประเทศไทยบ้านเรา ยังเป็นประเทศที่ถนนดินแดงลูกรัง ข้างทางไม่มีไฟส่อง ไม่มีร้านสะดวกซื้อเยอะเท่าบ้านเรา ส่วนใหญ่เป็นร้านขายของเพิงหมาแหงน เวลาจะซื้อของอะไรนี่จะต้องเดินทางเข้าไปในเมือง

แต่เรากลับใช้ชีวิตอาสาสมัครที่นั่นได้อย่างมีความสุข และกลับมาประเทศไทยอย่างสวัสดิภาพ เพราะความสุขที่เราได้รับจากการไปแอฟริกา คือการที่เราได้รับรู้ว่า เราเองก็เป็นคนที่ไม่ได้นิสัยดีอะไร หรือไม่ได้เป็นคนเก่งอะไร ได้แต่เป็นคนที่ต้องได้รับความช่วยเหลือจากคนรอบข้างเรื่อยๆ และถึงแม้เราจะเป็นแบบนี้ เราก็ยังได้รับความรักมากมายจากคนที่นั่น ที่เป็นเหมือนครอบครัวของเราอีกครอบครัวหนึ่ง
[CR] ประสบการณ์จริงกับIYF > IYF World camp > การเก็บตัว > อาสาสมัครต่างเทศที่แอฟริกา ฉบับสมบูรณ์
กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกของเราที่อยากมาเล่าประสบการณ์เมื่อ3ปีที่แล้วที่ได้ไปผจญภัยที่แอฟริกามาเป็นเวลาเกือบ1ปี ตอนนั้นเราเพิ่งเรียนจบมหาลัยพอดี แล้วรู้สึกเคว้งๆ กลัวด้วยที่จะต้องไปทำงานก็เลยคิดว่าก่อนจะเริ่มชีวิตการทำงานควรจะทำอะไรสักอย่างเช่น เรียนภาษา เพราะเรารู้สึกว่าเราเรียนเอกภาษา แต่กลับพูดภาษาที่ตัวเองเรียนได้แบบงูๆปลาๆมาก และทีเด็ดกว่านั้นคือ ทักษะภาษาอังกฤษของเรานี่เปลี้ยเรี่ยดินมาก ถ้าให้ 10 คะแนนเราให้ตัวเอง “1” พอ เพราะงั้นมันถึงเวลาแล้วล่ะที่ต้องหนีไปชุบตัวที่ไหนสักแห่ง เราเลยตัดสินใจว่าจะไปเป็นอาสาสมัครที่ต่างประเทศแบบที่รุ่นพี่ในเอกหลายคนเขาไปกัน และเราได้เจอโครงการที่ตอบโจทย์เราพอดี
เราได้เข้าร่วมโครงการอาสาสมัครต่างประเทศ ของ IYF ชื่อโครงการว่า Good News Corps รุ่นที่6 ของประเทศไทย (ปัจจุบันเป็นรุ่นที่10) ที่ประเทศยูกานด้า ทวีปแอฟริกา เป็นระยะเวลา 10 เดือน เพราะงั้นเราอยากจะเล่าขั้นตอน การไปเป็นอาสาสมัครที่แอฟริกาของเราอย่างละเอียด หรือจะเรียกว่า How to ก็ได้เนอะ....
ย้อนไปตอนเราเรียนอยู่ปี 2 ม.บูรพา เป็นครั้งแรกที่เราได้ยินคำว่า IYF และโครงการอาสาสมัครต่างประเทศ เพราะเราเห็นเพื่อนและพี่ๆในเอกหลายคนไปเป็นอาสาสมัครกับโครงการนี้ แต่ตอนนั้นเรายังไม่ได้สนใจ แค่ใช้ชีวิตไปตามวัย กิน เที่ยว เล่น และไปเรียน แต่จุดเปลี่ยนมันอยู่ตรงนี้ที่ มีสตาฟของ IYF มาตั้งบูธรับสมัคร ให้ไปเข้าค่าย World Camp 2012 ใต้ตึกคณะ ด้วยความที่เราก็ไม่ได้เป็นเด็กตั้งใจเรียนอะไร แล้วก็อย่างที่บอกไปตอนต้นว่าทักษะทางภาษาของเราพิการเหลือเกิน เราจึงตัดสินใจไปเข้าร่วมแคมป์ IYF World Camp 2012 จัดที่ชลพฤกษ์รีสอร์ท จ.นครนายก ซึ่งเป็นอะไรที่เราประทับใจมาก เรารู้สึกว่าเพื่อนที่เจอในค่ายนี้น่ารักคุยกันเฮฮาปาจิงโกะ อาหารก็อร่อยมาก คือเพื่อนที่เจอในค่ายนั้นปัจจุบันก็ยังคบกันอยู่เลย
พอผ่านค่ายแล้วเราก็ต้องมาเก็บตัว ซึ่งคือการเตรียมความพร้อมสู่การไปเป็นอาสาสมัครต่างประเทศ เรียกว่าเป็นการจำลองชีวิตอาสาสมัคร ใครที่ตัดสินใจจะไปเป็นอาสาสมัครก็ต้องเก็บเสื้อผ้าและกระเป๋าและของใช้ทุกอย่างมาให้พร้อม
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
พอเราฟังการบรรยายไปเรื่อยๆ ก็เริ่มได้ยินคำว่า “ชำระบาป” คือพระเยซูมาล้างบาปให้เรา อ้าว งงเลย ใครอยากจะข้ามก็ผ่านไปอ่านเรื่องชีวิตในต่างประเทศได้เลย แต่!!!!!! สำหรับ คนที่อยากหายข้องใจก็คลิ๊กโลดดด หึหึ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
มาถึงช่วงที่เลือกประเทศสำหรับการไปเป็นอาสาสมัคร ตอนแรกนี่เลือกตามความชอบส่วนตัวล้วนๆ ที่กล่าวไว้ข้างต้นว่าเรียนภาษาจีน แต่เราก็อยากไปที่ที่ใช้ภาษาอังกฤษมากกว่า ก็เลยคิดว่าฉันอยากจะบินไปอเมริกา อยากไปตามหาเครื่องสำอางตามที่โมเมบอก รุ่นเราคนแห่กันไปเยอะม้ากกก ระหว่างที่เก็บตัวพออยู่ๆมันก็มีความคิดแว๊บนึงเข้ามาในหัว ว่าถ้าแค่ไปซื้อเครื่องสำอางหรือแค่อยากจะไปท่องเที่ยว เก็บเงินไปตอนไหนก็ได้ สุดท้ายเลยมาจบลงที่แอฟริกา พอมั่นใจแน่วแน่ละว่าแอฟริกาคือปลายทางก็เข้าเรียนภาษาอังกฤษ เพราะคนเรียนเยอะก็เลยต้องแบ่งออกเป็นระดับๆ จะมีการแบ่งระดับเป็น3ระดับ ระดับพื้นฐาน ระดับกลาง และระดับสูง เป็นการเตรียมความพร้อมเรื่องภาษาเบื้องต้น แบบทักทายกัน พูดประโยคในชีวิตประจำวัน เรียนศัพท์ในพระคัมภีร์ด้วย ภาษาก็จะมีให้เรียนตามประเทศที่พวกเราจะไป เช่น ไปจีนก็เรียนจีน เรียนเช้ารอบนึง เย็นรอบนึง
เมื่อถึงเวลาที่จะไปแล้ว เราก็จะไปทำวีซ่า ซึ่งตอนแรกเราเลือกไปที่เคนย่า เลยไปทำวีซ่าไปลงที่ประเทศเคนย่า ได้วีซ่ามา3เดือน ต้องไปฉีดวัคซีนไข้เหลืองและรออีก 10 วัน จากนั้นก็ซื้อตั๋ว ค่าใช้จ่ายจริงๆที่เราจ่ายไปทั้งหมดที่จ่ายที่ประเทศไทยก่อนบิน มีค่าวีซ่า ค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าฉีดวัคซีน ค่าซื้อของที่จะเอาไปใช้ที่โน่น เบ็ดเสร็จแล้ว ประมาณ 50,000 บาท แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับวีซ่าที่ได้มาด้วย ซึ่งเราได้วีซ่าจากที่นี่ไป 3 เดือน เลยต้องเตรียมเงินไปต่อวีซ่าที่โน่นด้วยอีก $100 ตอนนั้นเราเองก็เตรียมเงินไปสำหรับบริจาคที่โน่นด้วยประมาณ $200 (แลกเป็น US dollar ไป) ทั้งหมดปัดเป็นตัวเลขกลมๆก็เกือบ 70,000 บาท พอทุกอย่างเรียบร้อยเสร็จสรรพ
ทีนี้เราก็บินบินบินนนน เราบินช่วงเดือนกรกฎาคมค่ะ เป็นคนแรกๆของรุ่นเพราะว่าวีซ่าผ่านไวม้ากก
ไปอยู่ที่โน่นแล้วเราก็อยู่กับ IYF นี่แหล่ะ เราบินไปลงที่เคนย่า IYF เคนย่านี่จะใหญ่มากๆ มีทั้งโรงเรียนม.ปลาย มีโรงเรียนสอนมิชชันนารี มีสถานีโทรทัศน์ GBS และมีส่วนที่เป็นบ้านของอาจารย์ และสมาชิก เราอยู่ที่นั้นประมาณเดือนครึ่ง เพื่อเตรียม World camp และเข้าร่วมแคมป์ ในแคมป์เรามีหน้าที่สอนภาษาไทย พวกคำทักทายเล็กๆน้อยๆ แล้วเราก็ให้เล่นเกมส์ร้องเพลง Siam และแจกมาม่าต้มยำกุ้งที่เราเตรียมไป คนสนใจภาษาไทยเยอะ แล้วเราก็เตรียมชุดไทยไปใส่ด้วย ส่วนเพื่อนอีกคนก็สอนอคาเดมี่ทำข้าวผัดต้มยำกุ้ง ในไทยชุดล้านนาของเขาแหล่ะ
หลังจากจบแคมป์แล้วเราก็ได้เข้าร่วม World camp ที่ยูกานด้าต่อ ตอนที่เราไปถึงก็เป็นช่วงเริ่มแคมป์แล้ว เราเลยไปjoin กับอาสาสมัครคนไทยอีก2คน ทำคลาสนวดแผนไทย พอจบแคมป์แล้วเราก็อยู่ยูกานด้ายาวๆ คืออยู่เป็นอาสาสมัครที่นั่นเลยว่างั้นเหอะ IYF ที่ยูกานด้าจะไม่ใหญ่เท่าที่เคนย่า จะอยู่เป็นครอบครัว บ้าน 2ชั้น ธรรมดาๆ มีอาจารย์และครอบครัว มีเพื่อนๆอาสาสมัคร รวมเราด้วย 13 คน ซึ่งอาสาสมัครจะอยู่บ้านเดียวกับอาจารย์ ส่วนสมาชิกคนอื่นๆที่เป็นคนท้องถิ่น อีกประมาณ 10คน จะแยกกันอยู่คนละบ้าน แต่ก็อยู่ในรั้วเดียวกัน ปกติก็กินอาหารแอฟริกา มีบางวันที่กินอาหารเกาหลี มีโอกาสได้ทำอาหารไทยให้คนที่โน่นกินบ้าง กิจกรรมที่นั่นก็จะมีไปสอนเต้นตามโรงเรียนประถม เพื่อนเกาหลีเป็นคนสอน เราก็ไปเป็นผู้ช่วย มีสอนภาษาเกาหลี แต่เราก็ขุดของดีเราไปโชว์ สอนนวด สอนมวย เอาตะกร้อไปเตะด้วยก็มี กิจกรรมที่เป็นวิชาการหน่อยก็จะมีการจัดอบรมพระคัมภีร์ เพราะประเทศนี้ประชากรส่วนใหญ่นับถือคริสต์
อยู่ที่นั่นเราได้เต้นเพลงแอฟริกาเยอะมากๆ ซ้อมเยอะมาก เพราะช่วงนั้นมีการแข่งขันเต้นระดับประเทศ เราจึงต้องซ้อมเต้นเพื่อไปแข่งขัน มีโอกาสได้ประชาสัมพันธ์ IYF และพูดภาษาไทยผ่านการถ่ายทอดสด กลับมาจึงมีโอกาสได้มาเต้นต่อที่ประเทศไทยด้วย
เราไม่ได้กลับมาใช้ทุนอะไรนะ เพราะเราไม่มีพันธะผูกพันกันทางหนี้สินหรือทรัพย์สินอะไร แค่อยากแบ่งปันและถ่ายทอดสิ่งดีๆที่เราเคยได้รับมาให้กับน้องๆ รุ่นต่อๆไป เราก็อยากจะให้อาสาสมัครรุ่นต่อๆไป ได้รู้จักประเทศที่เราเคยไป ได้ไปเห็นแบบที่เราเห็น อยากจะให้เด็กรุ่นๆหลังได้เรียนรู้เรื่องโลกของจิตใจ และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขจริงๆ เรารู้สึกขอบคุณที่ตอนนั้นมันมีจิตใจที่อยากจะท้าทายความยากลำบากโดยการไปเป็นอาสาสมัครที่แอฟริกา ประเทศที่ความเจริญไม่เท่าเทียมกับประเทศไทยบ้านเรา ยังเป็นประเทศที่ถนนดินแดงลูกรัง ข้างทางไม่มีไฟส่อง ไม่มีร้านสะดวกซื้อเยอะเท่าบ้านเรา ส่วนใหญ่เป็นร้านขายของเพิงหมาแหงน เวลาจะซื้อของอะไรนี่จะต้องเดินทางเข้าไปในเมือง
แต่เรากลับใช้ชีวิตอาสาสมัครที่นั่นได้อย่างมีความสุข และกลับมาประเทศไทยอย่างสวัสดิภาพ เพราะความสุขที่เราได้รับจากการไปแอฟริกา คือการที่เราได้รับรู้ว่า เราเองก็เป็นคนที่ไม่ได้นิสัยดีอะไร หรือไม่ได้เป็นคนเก่งอะไร ได้แต่เป็นคนที่ต้องได้รับความช่วยเหลือจากคนรอบข้างเรื่อยๆ และถึงแม้เราจะเป็นแบบนี้ เราก็ยังได้รับความรักมากมายจากคนที่นั่น ที่เป็นเหมือนครอบครัวของเราอีกครอบครัวหนึ่ง