((มาลาริน)) 《《 ข้าวเป็นของชาวนา...น้ำตาเป็นของใครกันแน่ 》》

ปัญหาเรื่องข้าวหอมมะลิน่าจะจบ..เมื่อรัฐบาลออกมาตรการช่วยเหลือค่าจำนำยุ้งฉาง 13,000 บาทแล้ว  ผู้ปิดทองหลังพระ ผู้คนต่างๆที่หวังดีต่อชาวนา  ต่างก็ระดมช่วยกันนำข้าวของชาวนามาช่วยจำหน่าย  หน่วยราชการและเอกชน ระดมการช่วยเหลือพร้อมเพียง

แต่...อยู่ๆละครก็ตีกลองโหมโรง ให้แม่นางจอมยุทธจำนำข้าวออกมาสร้างกระแสเห็นใจชาวนา  ละครเร่ก็ออกไปเล่นให้สมบทบาทที่จังหวัดหนึ่ง  ซึ่งดูแล้วก็เล่นบทแตก แต่ฉากไม่สมจริง ละครโรงนี้ ใครๆก็เลยเรียกกันว่า....ละครสร้างภาพ

เห็นฉากที่มีคนถือต้นข้าวมีรวงสีเหลืองประกอบข้างหลังแม่นางดูช่างสวยงาม มองแล้วเหมือนต้นข้าวงอกออกมาทางข้างหลัง  ช่างอัศจรรย์ยิ่ง  น้ำตาหลั่งริน..ดั่งไข่มุกขาวสะอาดของแม่นางสะเทือนไปทั้งจักรวาล

ข้าวเป็นของชาวนา...น้ำตาเป็นของแม่นางนี้ได้เช่นไรหนอ  นางสงสารชาวนาหรือสงสารตัวเอง  แม่นางเอื้อนเอ่ยว่า สงสารชาวนาจะขึ้นราคาข้าวให้เมื่อยึดยุทธภพนี้กลับมาได้

โอ้แม่นางเอย...ผู้เฝ้าดูกลับตกใจยิ่งนัก  เกรงจะเกิดจำนำข้าวโครงการ 2  ในอนาคต  ขอแม่นางเห็นใจชาวนาเถิดเพราะชาวนาได้หลั่งน้ำตาเพราะแม่นางจนแทบเป็นสายเลือดมาแล้ว เพิ่งจะเหือดหายเมื่อจอมยุทธผู้กล้าหาญมาช่วยเช็ดน้ำตาให้

นานาโอเค

เอาล่ะค่ะ ทั้งหมดนี้เพื่ออยากให้อ่านบทความนี้เท่านั้นค่ะ

ปีนี้  ผลผลิตหรืออุปทาน ข้าวหอมมะลิน่าจะมีมากผิดปรกติจาก 3 แหล่ง แหล่งแรก คือ ปริมาณผลผลิตที่กำลังจะเริ่มเก็บเกี่ยวในขณะนี้จนถึงเดือนธันวาคม จะมีปริมาณมากกว่าปีที่แล้วค่อนข้างมาก เพราะปีนี้ฝนในภาคอีสานดีมาก ผลผลิตต่อไร่สูงขึ้น แต่ปัญหาคือ ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่า เราจะมีผลผลิตจำนวนเท่าไร แม้จะมีตัวเลขการพยากรณ์ผลผลิตของกระทรวงเกษตรฯ แต่พ่อค้าส่วนใหญ่ไม่เชื่อถือตัวเลขเหล่านั้น ฉะนั้น พอถึงช่วงข้าวออกรวงก่อนเก็บเกี่ยวประมาณ 1 เดือน พ่อค้าส่งออกก็จะออกสำรวจพื้นที่ โดยการสอบถามจากโรงสีและพ่อค้าในท้องถิ่น ฉะนั้น พ่อค้าแต่ละคนย่อมประมาณการผลผลิตไม่เท่ากัน และจะไม่ถูกต้องแม่นยำ แต่ถ้ามีพ่อค้าจำนวนมากๆ ออกสำรวจ ค่าเฉลี่ยที่ได้ก็น่าจะใกล้เคียงของจริง

อุปทานแหล่งที่สอง คือ ข้าวเปลือกที่ค้างอยู่ในสต๊อกของโรงสี พ่อค้าส่งออก และพ่อค้าบางรายที่ได้เงินอุดหนุนดอกเบี้ยในการซื้อข้าวเปลือกเข้าเก็บในสต๊อกตั้งแต่ต้นปี 2559 ยังมีอยู่ คงจำได้ว่าตอนต้นปี 2559 เรามีปัญหาฝนแล้งจากภาวะเอลนีโญ พ่อค้าและโรงสีต่างก็คาดว่าราคาข้าวหอมมะลิจะต้องถีบตัวขึ้นสูง จึงพากันกักตุนข้าวไว้ในสต๊อก มิหนำซ้ำยังมาวิ่งเต้นขอร้องให้กระทรวงพาณิชย์ช่วยอุดหนุนภาระดอกเบี้ย 3% โดยสัญญาจะซื้อข้าวเปลือกในราคา 14,000 บาท ปริมาณการ
สต๊อกข้าวเปลือกในโครงการสูงถึง 3.35 ล้านตัน แต่หลังจากนั้นราคาข้าวหอมมะลิก็ลดลงตลอด เพราะเอลนีโญคลี่คลายในกลางกรกฎาคม ฝนในอีสานค่อนข้างดี การคาดคะเนปริมาณผลผลิตก็เปลี่ยนไป คนที่สต๊อกข้าวไว้จึงขาดทุน ฉะนั้น พ่อค้าจำนวนมากจึงยังไม่ได้ขายข้าวเปลือกจำนวนนี้ออกไป คาดว่าขณะนี้น่าจะยังมีข้าวเปลือกค้างในสต๊อก (ทั้งข้าวหอมและข้าวขาว) อีกประมาณ 2 ล้านตัน โรงสีที่ยังไม่ได้ขายข้าวเปลือกดังกล่าวจึงไม่ได้ชำระหนี้ธนาคาร ฉะนั้นจึงไม่ค่อยมีสภาพคล่องที่จะนำมาซื้อข้าวเปลือกในฤดูใหม่ ทำให้พ่อค้าคิดว่าปีนี้อุปสงค์จะลดลง

นอกจากนี้ พ่อค้ารายใหญ่บางรายก็กำลังประสบปัญหาการเงิน ทำให้ต้องหยุดซื้อข้าว ดังนั้น ปีนี้พ่อค้าที่จะมาแย่งซื้อข้าวตอนเก็บเกี่ยวก็คงจะมีจำนวนน้อยลง!!

ข้อมูลเหล่านี้แหละ เป็นต้นตอของการเก็งกำไร ที่ทำให้ราคาข้าวเปลือกดำดิ่งลง เหมือนกับเวลาราคาหุ้นลดฮวบช่วงขาลง เพราะนักลงทุนตื่นตกใจ สาเหตุที่พ่อค้าข้าวตื่นตกใจ เกิดจากการที่พ่อค้าบางคนที่ออกสำรวจตลาด พบว่าปีนี้ผลผลิตจะมีมากกว่าปกติ บวกกับอาจมีข้อมูลว่ายังมีข้าวเปลือกเก่าในสต็อกของโรงสีจำนวนมาก พ่อค้าเหล่านี้เริ่มคาดคะเนว่า ตอนเก็บเกี่ยวข้าวราคาน่าจะตกต่ำมาก เช่น คิดว่าราคาจะลดลงเหลือ 550 เหรียญต่อตัน ก็เลยรีบไปเสนอขายต่างประเทศล่วงหน้าในราคา 610 เหรียญ (ราคาสมมุติ) เพราะถ้าราคาตอนเก็บเกี่ยวลดลงต่ำกว่า 610 เหรียญ เขาก็จะมีกำไร

แต่ราคาล่วงหน้าไม่ใช่ความลับ พ่อค้าบางคนที่รู้ว่ามีใครบางคนไปขายราคา 610 เหรียญ เริ่มตกใจว่าเกิดอะไรขึ้น จึงเริ่มตรวจสอบข้อมูล ถ้าได้ข้อมูลว่าผลผลิตจะเพิ่มมากจริงๆ ก็เลยเสนอหั่นราคาขายลง สมมุติว่าเหลือ 570 เหรียญ ข่าวเรื่องการขายราคาต่ำเริ่มแพร่สะพัดในปลายตุลาคม พ่อค้าส่วนใหญ่เริ่มตื่นตระหนกมากขึ้น บางคนก็เลยไปขายส่งออกล่วงหน้าในราคา 548 เหรียญ ทำให้ราคาข้าวเปลือกหอมลดลงเหลือแค่ 9,500-10,000 บาทต่อตันตอนสิ้นเดือนตุลาคม

แม้การเก็งกำไรจะเป็นเรื่องปกติในตลาดค้าข้าว คนที่เก็งผิดก็จะขาดทุน เราไม่ต้องห่วงเขา แต่ผลการเก็งกำไรแบบตื่นตกใจกลับส่งผลเสียหายต่อเกษตรกรที่กำลังจะเก็บเกี่ยวข้าวในเดือนพฤศจิกายน ราคาข้าวที่เขาจะได้รับตกต่ำมาก

รัฐบาลโดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีจึงเป็นห่วงเป็นใยชาวนา แต่เราก็ควรเข้าใจว่า ราคาที่ลดลงนี้ เกิดจากผลพวงของการเก็งกำไรของพ่อค้าในตลาด ลำพังแพะเพียงไม่กี่ตัว ไม่สามารถสร้างสถานการณ์นี้ได้”

สิ่งที่ ดร.นิพนธ์ กล่าวมาทั้งหมดนี้ ต้องได้รับการแก้ไขครับ คือ เราจะแตกตื่นแล้วเต้นตามไปอย่างไร้สติด้วยไม่ได้ แต่ต้องหาทางว่า ทำอย่างไร จะไม่ให้ “นักเก็งกำไร” เป็นคน “กำหนดราคา” ซึ่งก็ไปสอดรับกับบางมุมที่ นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พูดว่า มีโรงสีกับนักการเมืองบางคนในบางพื้นที่ “ปั่นกระแส” เรื่องนี้ขึ้นมา

แต่ในท่ามกลางความเลวร้าย เรากลับพบ “น้ำใจของสังคม” และเรื่องดีๆ เกิดขึ้นมากมาย

1) เกิดการรวมตัวกันของชาวนาและผู้เกี่ยวข้อง ทำ “ตลาดตรง” จากผู้ปลูกสู่ผู้กิน ซึ่งดีมากๆ แต่คนซื้อก็ต้องตั้งสติว่า ข้าวจริงๆ ของฤดูกาลนี้ยังมิได้เก็บเกี่ยวกันเต็มที่ ที่ซื้อขายกันอยู่อาจเป็นข้าวเก่า หรือข้าวใหม่ประเภท “ข้าวเบา” หรือ “ข้าวรีบเกี่ยว” ซึ่งแน่นอน ราคาก็ไม่แพงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ด้วยค่าความชื้นและคุณภาพของตัวข้าวเอง

2) รัฐบาลส่งสัญญาณให้ฝ่ายกองทัพ ส่งกำลังพลลงช่วยชาวนาเกี่ยวข้าว เพื่อลด “ต้นทุน” เรื่องค่าแรงเกี่ยวข้าว ภาพแห่งความมีเยื่อใยต่อกันในสังคมก็ฉายชัดขึ้นมาทันที วันในช่วงเวลาที่คนไทยอยากเห็น “ความรัก” มากกว่า “ความขัดแย้ง” กัน

3) เกิดคำอธิบายที่ทำให้คนเห็นภาพชัดว่า เพราะข้าวผลิตพร้อมกันตามฤดูกาล เก็บเกี่ยวไล่เลี่ยกัน หากเทขายออกมาพร้อมๆ กัน ราคามันก็ต้องตกเป็นธรรมดา ไหนจะข้าวจากโครงการ “รับจำนำ” ที่ “คาสต๊อก” อยู่อีกล่ะ ตลาดไม่มีทาง “ให้ราคาสูง” กับสภาวะที่ผลผลิตมีมากกว่าความต้องการซื้ออยู่แล้ว

4) นั่นจึงกลายเป็น “หอก” ที่ย้อนกลับไปทิ่มแทง “ยิ่งลักษณ์กับพวก” ที่พยายามจะดราม่าเรื่องนี้กันมาก เพราะปัจจัยหนึ่งที่กดราคาข้าวตอนนี้ คือ การซื้อข้าวมาสี แล้วเก็บไว้ให้มอด หนู แมลงสาบ นกพิราบ ฯลฯ กินกันแบบบุฟเฟ่ต์ ที่คาโกดังอยู่เป็นจำนวนมาก จากโครงการ “รับจำนำข้าว” นั่นเอง

ดังนั้น จะบีบน้ำตากี่หยด จะช่วยซื้อข้าวกี่กิโล จะถือโอกาสโอดครวญว่าต้องจ่ายค่าเสียหายเพราะทำโครงการรับจำนำข้าวมากเท่าไร ก็เป็นผลลบมากกว่าผลบวก เพราะทุกอย่างดูเป็นการ “จัดฉาก” ที่ชัดเจนเกินไป ยิ่งวันต่อมา ถึงกับมีคนใส่เสื้อ “คลองสามวา” มีชื่อ “จิรายุ ห่วงทรัพย์” หราอยู่ที่แผ่นหลัง มาให้กำลังใจยิ่งลักษณ์ที่หน้าศาล และมีข่าวชาวนาจากอุบลราชธานีเหมารถบัส 3 คันเพื่อมาให้กำลังใจ ก็ยิ่งไปกันใหญ่ ก็ไหนว่าราคาข้าวตก ลำบากกันไงล่ะ

ยิ่งได้ไทยรัฐเอาภาพหลั่งน้ำตาขึ้นหน้า 1 ยิ่งทำให้คนที่ไม่ได้สนใจ หันมาสนใจและรับรู้ว่า เธอคนนี้มีส่วนทำลายกลไกตลาดข้าวจนวิบัติบรรลัยมาถึงวันนี้ได้ยังไง และไม่เคยรู้สึกสำนึกผิดใดๆ จนทุกวันนี้!!

http://m.naewna.com/view/columntoday/27029

ปล. อย่าลืมดูถาพประกอบนะคะ  นานาอุ๊ต๊ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่