การจัดฟัน ถือว่าเป็นสิ่งที่เราคิดจะทำมานานแล้วค่ะ เนื่องจากฟันเรามีปัญหาเหยิน ใหญ่ ห่าง ฟันบนนะคะ ฟันล่างไม่ค่อยมีปัญหา
ทุกครั้งที่เราถ่ายรูป ยิ้ม บอกเลยว่าไร้ซึ่งความมั่นใจ ต้องเปลี่ยนไปทำหน้าตลกๆ บ้างอะไรบ้าง ยิ้มสวยๆไม่เป็น เพราะฟันทะลักออกมา
ไม่ชอบการถูกถ่ายรูปไปเลย แต่ที่บ้านเราค่อนข้างหัวโบราณ ไม่อยากให้มาจัดฟัน เพราะก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร จนกระทั่งเราทำงาน หาเงินใช้เอง
หาเงินได้เองแล้ว จัดไปสิคะ รออะไร จัดการเรื่องทุกอย่าง ที่บ้านไม่รู้เรื่องเลย รู้อีกทีคือมีเหล็กบนฟันแล้ว ห้ามหนูไม่ทันล้าวววว โดนบ่นไปสัก1 สัปดาห์
ข้อมูลเรื่องการจัดฟันเราศึกษาอยู่ค่อนข้างนานค่ะ อ่านรีวิวรัวๆ จัดที่ไหนดี จัดแบบไหนดี นั่งมองกำลังทรัพย์ตัวเอง ที่เราศึกษามาคร่าวๆ ก็สามารถแบ่งได้ประมาณนี้ค่ะ
จัดแบบโลหะ เป็นวิธีที่นิยมมากที่สุด แบบที่มียางหลากสีสันนั่นแหละค่ะ ค่าใช้จ่ายประมาณ 40k-50k ระยะเวลาจัดประมาณ 2 ปี
จัดแบบเดมอน แบบนี้จะคล้ายแบบโลหะค่ะ แต่ระยะเวลาสั้นกว่าประมาณ 1ปี ถึง ปีครึ่ง เจ็บมากกว่า และแพงกว่านิดหน่อยค่ะ ประมาณ 50k-60k
จัดแบบเซรามิกใส คล้ายกับการจัดแบบโลหะค่ะ แต่เปลี่ยนจากการใช้โลหะมาใช้วัสดุเป็นเซรามิกแทน จะไม่มียางเป็นสีๆ ตอนแรกเราสนใจแบบนี้นะคะ มันดูสะอาด ไม่รกดี แต่คุณหมอแนะนำแบบโลหะมากกว่า เพราะคุณหมอบอกว่าโลหะแข็งแรงกว่าค่ะ ค่าใช้จ่ายประมาณ 70k
จัดฟันด้านใน คือการติดเครื่องมือไว้ด้านในฟันค่ะ วิธีนี้ด้านนอกจะมองไม่เห็นเหล็ก แต่จะทำความสะอาดได้ค่อนข้างยาก เป็นวิธีที่คุณหมอก็ไม่แนะนำเท่าไหร่ค่ะ
จัดฟันแบบใส อันนี้แนะนำว่าใครมีงบก็จัดเลยค่ะ ราคาประมาณ 200k ลักษณะคือเหมือนมีพิมพ์ฟันใสๆ มาครอบฟันเราอีกที มองไม่เห็นว่าจัดฟัน แต่เลือกที่เชื่อถือได้หน่อยนะคะ เพราะการสั่งพิมพ์ฟันตอนที่เราศึกษามาคือต้องส่งไปทำที่อเมริกาเท่านั้น ค่าใช้จ่ายเลยสูง
เมื่อศึกษาข้อมุลแล้ว เราก็เลยตัดสินใจทำแบบแรกค่ะ คำถามต่อมาคือ จะไปทำที่ไหน รพ vs คลินิก นั่งอ่านรีวิวไปมากมาย เลยเลือกไปทำที่โรงพยาบาลค่ะ กับคุณหมอที่มีชื่อหน่อย ตั้งใจจะโทรไปนัดคุณหมอชื่อคุณหมอ ปราณี ที่โรงพยาบาลยันฮี ตอนช่วงประมาณเดือน 4’15 แต่พยาบาลแจ้งวา่คุณหมองดรับ case ใหม่ จนกว่าจะถึงเดือน 11’15 เพราะคุณหมอมีปัญหาที่ข้อมือ แต่เรามีกำหนดรับปริญญาช่วงเดือน 11’15 พอดี อยากยิ้มสวยๆ ได้ก่อนรับปริญญา จึงหาข้อมูลต่อไปเรื่อยๆ จนมาเลือกคุณหมอที่ฮิตอันดับสองของ รพ เดิม ชื่อคุณหมอศิริเพ็ญ คุณหมอทั้งสองท่านจบโดยตรงเรื่องการจัดฟันค่ะ จึงทำการโทรนัดพบคุณหมอ แต่คุณหมอก็คิวทองมากเช่นกัน พยาบาลเลยแนะนำให้มา walk in แทน เราเลยไป walk in ตอนปลายเดือน 5’15 ได้คิวติดเครื่องมือที่เร็วที่สุดคือ 1 July 15 คุณหมอให้เคลียช่องปากให้เสร็จก่อนติดเครื่องมือ ซึ่งเรามีเวลาแค่ 1 เดือนในการเคลียร์ช่องปาก
เมื่อพบคุณหมอเสร็จ เราก็เริ่มไปพิมพ์ฟัน, X-ray ช่องปาก ค่าใช้จ่ายวันนั้นประมาณ 2400 บาท (จำตัวเลขแน่นอนไม่ได้) แล้วไปพบคุณหมออีกรอบ คุณหมอก็จะชี้แจงแผนการจัดฟันให้เราฟัง กรณีเรามีฟันคุดครบ 4 ซี่ T^T ต้องเอาออกให้หมด แต่ละซี่ยังไม่โผล่ออกมาเลย คุณหมอบอกว่าควรเอาออกให้หมด เพราะหากฟันคุดโผล่ขึ้นมาตอนติดเครื่องมืออยู่จะเอาออกยาก และอาจจะทำให้ฟันที่จัดแล้วล้มได้ คุณหมอจะไม่มีการถอนฟันเพิ่มเติม เพราะฟันหน้าเราห่าง แต่จะมีการฝังน้อตไว้ที่ขากรรไกรบนทั้งสองข้าง ข้างละ 1 ตัว ตัวละ 4,500 บาท มาถึงจุดนี้ ช็อคไปสิคะ น้อตอะไรไม่เคยคิดว่าต้องติด เพื่อนที่จัดฟันมาก็ไม่เห็นว่ามีใครจะต้องมาฝัง คุณหมอก็อธิบายให้ฟังว่าการฝังน้อตจะทำให้ฟันเข้าไปได้เร็วขึ้น เราก็เลยตกลงไปด้วยความรู้สึกมึนๆ เมื่อคุยกับคุณหมอจบแล้ว ก็ถึงเวลาทำนัดผ่าฟันคุด เรามี 4 ซี่ใช่มั้ยคะ เท่ากับว่าเราต้องเอาออกวีคละซี่ ก็เลยรีบจัดการนัดคุณหมอให้เร็วที่สุดค่ะ อ่อ คุณหมอที่ผ่าฟันคุดคนละคนกับคุณหมอที่จัดฟันนะคะ เราสามารถเคลียร์ช่องปากที่โรงพยาบาลอื่นได้นะคะ ถ้าโรงพยาบาลรัฐค่าใช้จ่ายจะถูกกว่า
หลังจากได้นัดผ่าฟันคุดมาแล้ว ซี่แรกเริ่มที่วีคแรกของเดือน 6 ค่ะ เริ่มจากการถามหมอว่าเจ็บมากมั้ยคะ ฮ่าๆ หมอ บอกว่าหมอคงไม่โกหกคนไข้ว่าไม่เจ็บ ฮืออออ เลยถามหมอไปอีกว่าถ้าหนูไม่อยากเจ็บตัวหลายรอบ เอาออกทีเดียว 2 ซี่เลยได้มั้ยคะ หมอตอบมาว่า เอาแค่ซี่เดียวก่อนแล้วกัน ถ้าไหว รอบหน้าค่อยเอาออกทีเดียว 2 วันนี้เราเลยเอาออกแค่ซี่เดียวค่ะ ระหว่างทำ เริ่มเจ็บที่ฉีดยาชาค่ะ ตอนถอนนี่มันถอนต้นไม้เลยค่ะ ความรู้สึกแบบมันมีรากฝังอยู่ใต้ดิน กว่าจะเอามันออกมาได้ ซี่แรกใช้เวลาประมาณ 40 นาที เย็บแผลเสร็จก็ได้นัดตัดไหมในวีคหน้า กลับไปถึงบ้านซื้อโจ๊กตุนเป็นสิ่งแรก ตกกลางคืนมันก็ไม่ได้ปวดเท่าที่คิดไว้ ไม่บวมมากมาย เลยรู้สึกไม่ได้กลัวเหมือนครั้งแรกอีกต่อไป
เวลาผ่านไปแปปเดียว ก็ถึงวันนัดตัดไหมหมอก็บอกว่าแผลโอเค อีกสามวันมาผ่าต่อ สามวันผ่านไปไว้เหมือนโกหก รู้สึกตัวอีกทีก็นอนอยู่บนเตียงเรียบร้อย พร้อมบอกหมอว่ารอบนี้จัด 2 เลยค่ะหมอ รอบที่แล้วชิวๆ ใช้เวลาเบ็ดเสร็จไปเกือบชั่วโมง ปากไม่มีแรงอ้า พร้อมมีอาการปากฉีกเล็กน้อยแต่พองาม ทำไมมันไม่เหมือนซี่แรก หยอดน้ำข้าวต้มจริงจังก็รอบนี้แหละ หลังผ่าอาการก็ประมาณนี้ค่ะ ปล ภาพไม่ชัด เพราะถ่ายกล้องหน้านะคะ
หลังจากนั้นก็ตัดไหมตามปกติ พร้อมผ่าซี่สุดท้าย หลังจากที่รอบที่แล้วพีคมาก เราเลยรู้สึกเฉยๆ กับซี่สุดท้าย เพราะเป็นฟันบน ที่หมอบอกว่าจะถอนง่ายกว่าฟันล่าง แต่ค่ะแต่ ซี่สุดท้ายนี้กินเวลาไปชั่วโมงกว่า เป็นความพีคที่สุดของการผ่าฟันคุด เพราะมันไม่ยอมออก จนหมอต้องเลื่อยฝันออกเป็นอันเล็กๆ แล้วค่อยเอาออกทีละส่วน ต้องฉีดยาชาซ้ำระหว่างการผ่า เพราะรู้สึกเจ็บ ทำไปน้ำตาไหลไป ปากไม่มีแรงอ้า ต้องใช้อุปกรณ์มาถ่างปาก แต่ก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ค่าใช้จ่ายในการผ่าฟันคุดตกซี่ละประมาณ 5k โดยหากเป็นการถอนฟันคุดที่โผล่พ้นเหงือกมาแล้วจะราคาประมาณซี่ละ 2K ซึ่งเราไม่มีซี่ไหนโผล่ออกมาเลย ถูกสุดคือซี่แรก 4,500 บาท แพงสุดคือซี่สุดท้าย 5,500 บาท 4 ซี่จบด้วยเงิน 20k
ผ่านมาจนถึงวันที่ 1 July 15 เป็นวันที่คุณหมอนัดมาติดเครื่องมือครั้งแรก การจ่ายเงินสำหรับจัดฟันนั้น เลือกได้ 2 วิธีค่ะ คือจ่ายเป็นก้อนเลย 45k ไม่รวมค่าน็อต ค่ารีเทนเนอร์ กับจ่ายทีละงวด ซึ่งเราเลือกเป็นจ่ายทีละงวด งวดแรก 7k ค่าเครื่องมือ งวด 2,3 ค่าน็อต งวดละ 4,500 บาท เพราะเราฝัง 2 ตัว งวด 4,5 อีกงวดละ 7k จากนั้นอีก 16 งวด งวดละ 1,500 บาท เริ่มรู้สึกค่าตัวแพงแล้วใช่มั้ยคะ ฮาาา กลับมาที่การติดเครื่องมือค่ะ ตอนแรกเราเข้าใจว่าคุณหมอจะติดเครื่องมือบนหรือล่างแค่อย่างเดียว ปรากฏว่าไม่ค่ะ คุณหมอติดบนล่างให้พร้อมกัน พร้อมฉีดยาชาฝังน้อตอีกสองตัวไปพร้อมกันเลย ตอนทำเราไม่รู้สึกเจ็บอะไรค่ะ ใช้เวลาติดเครื่องมือประมาณ 1 ชั่วโมง กาวจะกลิ่นเปรี้ยวๆ แต่เราก็ไม่ได้รู้สึกขมนะคะ คุณหมอจะมีเครื่องมือมาทำให้เราอ้าปาก ทำให้เราไม่ต้องออกแรงปากมากเท่าไหร่ เมื่อเราออกจากห้องหมอเราถึงทราบว่าคุณหมอติดเครื่องมือบนล่า่งให้พร้อมกัน เพราะจากการอ่านรีวิว เราเข้าใจว่าจะต้องติดทีละแถบ เลยถามพยาบาล พยาบาลตอบว่าถ้าทำกับคุณหมอคนนี้คุณหมอจะติดให้พร้อมกันเลย จะได้เจ็บแค่ครั้งเดียว หลังจากติดเครื่องมือเสร็จก็ยังไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดอะไรเท่าไหร่ค่ะ แค่รุ้สึกว่าเวลาพูดแล้วฟันไปกระทบกันพอดีจะเจ็บมาก มาเจ็บจริงๆ ก็ตอนนั่งรถกลับค่ะ รู้สึกเหมือนต้องอ้าปากไว้ตลอดเวลา เพราะถ้าถนนไม่เรียบแล้วฟันไปกระทบกัน จะรู้สึกเจ็บมาก ข้าวเย็นวันนั้น ไม่เคี้ยวค่ะ ซื้อโจ๊กมาแล้วกลืนอย่างเดียว หมูเขี่ยทิ้ง หอมผักชี ขิง ทานไม่ได้ ตามด้วยยาแก้ปวดแล้วรีบหลับให้เร็วที่สุด สรุปว่าเราปวดแค่คืนเดียวแบบที่คุณหมอบอกจริงๆค่ะ ในทีนี้คือปวดแม้จะไม่ได้ทานอะไรนะคะ แต่ยังมีอาการเคี้ยวข้าวไม่ได้ไปประมาณ 1 วีคค่ะ ง่ายๆคือ เศษหมูในโจ๊กคัพก็เคี้ยวไม่ได้
รูปนี้เป็นรูปที่ติดเครื่องมือแรกๆนะคะ ภาพไม่ค่อยชัดเลย เพราะส่วนใหญ่ถ่ายด้วยกล้องหน้า แรกๆเราจะรู้สึกปิดปากไม่ได้ค่ะ เหมือนอมอะไรไว้ตลอดเวลา เวลายิ้มก็จะกว้างมาก
ปล 1 ไม่แน่ใจว่าแท็กศัลยกรรมถูกมั้ย เพราะไม่แน่ใจว่าถือว่าเข้าข่ายหรือเปล่า
ปล2 มีต่อจ้า ยังไม่จบน้า
[CR] แบ่งปันประสบการณ์การจัดฟัน
ทุกครั้งที่เราถ่ายรูป ยิ้ม บอกเลยว่าไร้ซึ่งความมั่นใจ ต้องเปลี่ยนไปทำหน้าตลกๆ บ้างอะไรบ้าง ยิ้มสวยๆไม่เป็น เพราะฟันทะลักออกมา
ไม่ชอบการถูกถ่ายรูปไปเลย แต่ที่บ้านเราค่อนข้างหัวโบราณ ไม่อยากให้มาจัดฟัน เพราะก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร จนกระทั่งเราทำงาน หาเงินใช้เอง
หาเงินได้เองแล้ว จัดไปสิคะ รออะไร จัดการเรื่องทุกอย่าง ที่บ้านไม่รู้เรื่องเลย รู้อีกทีคือมีเหล็กบนฟันแล้ว ห้ามหนูไม่ทันล้าวววว โดนบ่นไปสัก1 สัปดาห์
ข้อมูลเรื่องการจัดฟันเราศึกษาอยู่ค่อนข้างนานค่ะ อ่านรีวิวรัวๆ จัดที่ไหนดี จัดแบบไหนดี นั่งมองกำลังทรัพย์ตัวเอง ที่เราศึกษามาคร่าวๆ ก็สามารถแบ่งได้ประมาณนี้ค่ะ
จัดแบบโลหะ เป็นวิธีที่นิยมมากที่สุด แบบที่มียางหลากสีสันนั่นแหละค่ะ ค่าใช้จ่ายประมาณ 40k-50k ระยะเวลาจัดประมาณ 2 ปี
จัดแบบเดมอน แบบนี้จะคล้ายแบบโลหะค่ะ แต่ระยะเวลาสั้นกว่าประมาณ 1ปี ถึง ปีครึ่ง เจ็บมากกว่า และแพงกว่านิดหน่อยค่ะ ประมาณ 50k-60k
จัดแบบเซรามิกใส คล้ายกับการจัดแบบโลหะค่ะ แต่เปลี่ยนจากการใช้โลหะมาใช้วัสดุเป็นเซรามิกแทน จะไม่มียางเป็นสีๆ ตอนแรกเราสนใจแบบนี้นะคะ มันดูสะอาด ไม่รกดี แต่คุณหมอแนะนำแบบโลหะมากกว่า เพราะคุณหมอบอกว่าโลหะแข็งแรงกว่าค่ะ ค่าใช้จ่ายประมาณ 70k
จัดฟันด้านใน คือการติดเครื่องมือไว้ด้านในฟันค่ะ วิธีนี้ด้านนอกจะมองไม่เห็นเหล็ก แต่จะทำความสะอาดได้ค่อนข้างยาก เป็นวิธีที่คุณหมอก็ไม่แนะนำเท่าไหร่ค่ะ
จัดฟันแบบใส อันนี้แนะนำว่าใครมีงบก็จัดเลยค่ะ ราคาประมาณ 200k ลักษณะคือเหมือนมีพิมพ์ฟันใสๆ มาครอบฟันเราอีกที มองไม่เห็นว่าจัดฟัน แต่เลือกที่เชื่อถือได้หน่อยนะคะ เพราะการสั่งพิมพ์ฟันตอนที่เราศึกษามาคือต้องส่งไปทำที่อเมริกาเท่านั้น ค่าใช้จ่ายเลยสูง
เมื่อศึกษาข้อมุลแล้ว เราก็เลยตัดสินใจทำแบบแรกค่ะ คำถามต่อมาคือ จะไปทำที่ไหน รพ vs คลินิก นั่งอ่านรีวิวไปมากมาย เลยเลือกไปทำที่โรงพยาบาลค่ะ กับคุณหมอที่มีชื่อหน่อย ตั้งใจจะโทรไปนัดคุณหมอชื่อคุณหมอ ปราณี ที่โรงพยาบาลยันฮี ตอนช่วงประมาณเดือน 4’15 แต่พยาบาลแจ้งวา่คุณหมองดรับ case ใหม่ จนกว่าจะถึงเดือน 11’15 เพราะคุณหมอมีปัญหาที่ข้อมือ แต่เรามีกำหนดรับปริญญาช่วงเดือน 11’15 พอดี อยากยิ้มสวยๆ ได้ก่อนรับปริญญา จึงหาข้อมูลต่อไปเรื่อยๆ จนมาเลือกคุณหมอที่ฮิตอันดับสองของ รพ เดิม ชื่อคุณหมอศิริเพ็ญ คุณหมอทั้งสองท่านจบโดยตรงเรื่องการจัดฟันค่ะ จึงทำการโทรนัดพบคุณหมอ แต่คุณหมอก็คิวทองมากเช่นกัน พยาบาลเลยแนะนำให้มา walk in แทน เราเลยไป walk in ตอนปลายเดือน 5’15 ได้คิวติดเครื่องมือที่เร็วที่สุดคือ 1 July 15 คุณหมอให้เคลียช่องปากให้เสร็จก่อนติดเครื่องมือ ซึ่งเรามีเวลาแค่ 1 เดือนในการเคลียร์ช่องปาก
เมื่อพบคุณหมอเสร็จ เราก็เริ่มไปพิมพ์ฟัน, X-ray ช่องปาก ค่าใช้จ่ายวันนั้นประมาณ 2400 บาท (จำตัวเลขแน่นอนไม่ได้) แล้วไปพบคุณหมออีกรอบ คุณหมอก็จะชี้แจงแผนการจัดฟันให้เราฟัง กรณีเรามีฟันคุดครบ 4 ซี่ T^T ต้องเอาออกให้หมด แต่ละซี่ยังไม่โผล่ออกมาเลย คุณหมอบอกว่าควรเอาออกให้หมด เพราะหากฟันคุดโผล่ขึ้นมาตอนติดเครื่องมืออยู่จะเอาออกยาก และอาจจะทำให้ฟันที่จัดแล้วล้มได้ คุณหมอจะไม่มีการถอนฟันเพิ่มเติม เพราะฟันหน้าเราห่าง แต่จะมีการฝังน้อตไว้ที่ขากรรไกรบนทั้งสองข้าง ข้างละ 1 ตัว ตัวละ 4,500 บาท มาถึงจุดนี้ ช็อคไปสิคะ น้อตอะไรไม่เคยคิดว่าต้องติด เพื่อนที่จัดฟันมาก็ไม่เห็นว่ามีใครจะต้องมาฝัง คุณหมอก็อธิบายให้ฟังว่าการฝังน้อตจะทำให้ฟันเข้าไปได้เร็วขึ้น เราก็เลยตกลงไปด้วยความรู้สึกมึนๆ เมื่อคุยกับคุณหมอจบแล้ว ก็ถึงเวลาทำนัดผ่าฟันคุด เรามี 4 ซี่ใช่มั้ยคะ เท่ากับว่าเราต้องเอาออกวีคละซี่ ก็เลยรีบจัดการนัดคุณหมอให้เร็วที่สุดค่ะ อ่อ คุณหมอที่ผ่าฟันคุดคนละคนกับคุณหมอที่จัดฟันนะคะ เราสามารถเคลียร์ช่องปากที่โรงพยาบาลอื่นได้นะคะ ถ้าโรงพยาบาลรัฐค่าใช้จ่ายจะถูกกว่า
หลังจากได้นัดผ่าฟันคุดมาแล้ว ซี่แรกเริ่มที่วีคแรกของเดือน 6 ค่ะ เริ่มจากการถามหมอว่าเจ็บมากมั้ยคะ ฮ่าๆ หมอ บอกว่าหมอคงไม่โกหกคนไข้ว่าไม่เจ็บ ฮืออออ เลยถามหมอไปอีกว่าถ้าหนูไม่อยากเจ็บตัวหลายรอบ เอาออกทีเดียว 2 ซี่เลยได้มั้ยคะ หมอตอบมาว่า เอาแค่ซี่เดียวก่อนแล้วกัน ถ้าไหว รอบหน้าค่อยเอาออกทีเดียว 2 วันนี้เราเลยเอาออกแค่ซี่เดียวค่ะ ระหว่างทำ เริ่มเจ็บที่ฉีดยาชาค่ะ ตอนถอนนี่มันถอนต้นไม้เลยค่ะ ความรู้สึกแบบมันมีรากฝังอยู่ใต้ดิน กว่าจะเอามันออกมาได้ ซี่แรกใช้เวลาประมาณ 40 นาที เย็บแผลเสร็จก็ได้นัดตัดไหมในวีคหน้า กลับไปถึงบ้านซื้อโจ๊กตุนเป็นสิ่งแรก ตกกลางคืนมันก็ไม่ได้ปวดเท่าที่คิดไว้ ไม่บวมมากมาย เลยรู้สึกไม่ได้กลัวเหมือนครั้งแรกอีกต่อไป
เวลาผ่านไปแปปเดียว ก็ถึงวันนัดตัดไหมหมอก็บอกว่าแผลโอเค อีกสามวันมาผ่าต่อ สามวันผ่านไปไว้เหมือนโกหก รู้สึกตัวอีกทีก็นอนอยู่บนเตียงเรียบร้อย พร้อมบอกหมอว่ารอบนี้จัด 2 เลยค่ะหมอ รอบที่แล้วชิวๆ ใช้เวลาเบ็ดเสร็จไปเกือบชั่วโมง ปากไม่มีแรงอ้า พร้อมมีอาการปากฉีกเล็กน้อยแต่พองาม ทำไมมันไม่เหมือนซี่แรก หยอดน้ำข้าวต้มจริงจังก็รอบนี้แหละ หลังผ่าอาการก็ประมาณนี้ค่ะ ปล ภาพไม่ชัด เพราะถ่ายกล้องหน้านะคะ
หลังจากนั้นก็ตัดไหมตามปกติ พร้อมผ่าซี่สุดท้าย หลังจากที่รอบที่แล้วพีคมาก เราเลยรู้สึกเฉยๆ กับซี่สุดท้าย เพราะเป็นฟันบน ที่หมอบอกว่าจะถอนง่ายกว่าฟันล่าง แต่ค่ะแต่ ซี่สุดท้ายนี้กินเวลาไปชั่วโมงกว่า เป็นความพีคที่สุดของการผ่าฟันคุด เพราะมันไม่ยอมออก จนหมอต้องเลื่อยฝันออกเป็นอันเล็กๆ แล้วค่อยเอาออกทีละส่วน ต้องฉีดยาชาซ้ำระหว่างการผ่า เพราะรู้สึกเจ็บ ทำไปน้ำตาไหลไป ปากไม่มีแรงอ้า ต้องใช้อุปกรณ์มาถ่างปาก แต่ก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ค่าใช้จ่ายในการผ่าฟันคุดตกซี่ละประมาณ 5k โดยหากเป็นการถอนฟันคุดที่โผล่พ้นเหงือกมาแล้วจะราคาประมาณซี่ละ 2K ซึ่งเราไม่มีซี่ไหนโผล่ออกมาเลย ถูกสุดคือซี่แรก 4,500 บาท แพงสุดคือซี่สุดท้าย 5,500 บาท 4 ซี่จบด้วยเงิน 20k
ผ่านมาจนถึงวันที่ 1 July 15 เป็นวันที่คุณหมอนัดมาติดเครื่องมือครั้งแรก การจ่ายเงินสำหรับจัดฟันนั้น เลือกได้ 2 วิธีค่ะ คือจ่ายเป็นก้อนเลย 45k ไม่รวมค่าน็อต ค่ารีเทนเนอร์ กับจ่ายทีละงวด ซึ่งเราเลือกเป็นจ่ายทีละงวด งวดแรก 7k ค่าเครื่องมือ งวด 2,3 ค่าน็อต งวดละ 4,500 บาท เพราะเราฝัง 2 ตัว งวด 4,5 อีกงวดละ 7k จากนั้นอีก 16 งวด งวดละ 1,500 บาท เริ่มรู้สึกค่าตัวแพงแล้วใช่มั้ยคะ ฮาาา กลับมาที่การติดเครื่องมือค่ะ ตอนแรกเราเข้าใจว่าคุณหมอจะติดเครื่องมือบนหรือล่างแค่อย่างเดียว ปรากฏว่าไม่ค่ะ คุณหมอติดบนล่างให้พร้อมกัน พร้อมฉีดยาชาฝังน้อตอีกสองตัวไปพร้อมกันเลย ตอนทำเราไม่รู้สึกเจ็บอะไรค่ะ ใช้เวลาติดเครื่องมือประมาณ 1 ชั่วโมง กาวจะกลิ่นเปรี้ยวๆ แต่เราก็ไม่ได้รู้สึกขมนะคะ คุณหมอจะมีเครื่องมือมาทำให้เราอ้าปาก ทำให้เราไม่ต้องออกแรงปากมากเท่าไหร่ เมื่อเราออกจากห้องหมอเราถึงทราบว่าคุณหมอติดเครื่องมือบนล่า่งให้พร้อมกัน เพราะจากการอ่านรีวิว เราเข้าใจว่าจะต้องติดทีละแถบ เลยถามพยาบาล พยาบาลตอบว่าถ้าทำกับคุณหมอคนนี้คุณหมอจะติดให้พร้อมกันเลย จะได้เจ็บแค่ครั้งเดียว หลังจากติดเครื่องมือเสร็จก็ยังไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดอะไรเท่าไหร่ค่ะ แค่รุ้สึกว่าเวลาพูดแล้วฟันไปกระทบกันพอดีจะเจ็บมาก มาเจ็บจริงๆ ก็ตอนนั่งรถกลับค่ะ รู้สึกเหมือนต้องอ้าปากไว้ตลอดเวลา เพราะถ้าถนนไม่เรียบแล้วฟันไปกระทบกัน จะรู้สึกเจ็บมาก ข้าวเย็นวันนั้น ไม่เคี้ยวค่ะ ซื้อโจ๊กมาแล้วกลืนอย่างเดียว หมูเขี่ยทิ้ง หอมผักชี ขิง ทานไม่ได้ ตามด้วยยาแก้ปวดแล้วรีบหลับให้เร็วที่สุด สรุปว่าเราปวดแค่คืนเดียวแบบที่คุณหมอบอกจริงๆค่ะ ในทีนี้คือปวดแม้จะไม่ได้ทานอะไรนะคะ แต่ยังมีอาการเคี้ยวข้าวไม่ได้ไปประมาณ 1 วีคค่ะ ง่ายๆคือ เศษหมูในโจ๊กคัพก็เคี้ยวไม่ได้
รูปนี้เป็นรูปที่ติดเครื่องมือแรกๆนะคะ ภาพไม่ค่อยชัดเลย เพราะส่วนใหญ่ถ่ายด้วยกล้องหน้า แรกๆเราจะรู้สึกปิดปากไม่ได้ค่ะ เหมือนอมอะไรไว้ตลอดเวลา เวลายิ้มก็จะกว้างมาก
ปล 1 ไม่แน่ใจว่าแท็กศัลยกรรมถูกมั้ย เพราะไม่แน่ใจว่าถือว่าเข้าข่ายหรือเปล่า
ปล2 มีต่อจ้า ยังไม่จบน้า