เราคิดว่าละครเรื่องนี้ โหดมาก โหดแบบไม่ธรรมดาจริงๆ
1. ภาพรวมเทคนิคการนำเสนอ
เป็นวิธีคิดทำละคร โดยการเอาเทคนิคการสื่อสารแบบภาพยนต์มาใช้
โดยการซ่อนไว้ด้วย บทสนทนา การสื่อสัญญลักษณ์ การตัดต่อ
ซึ่งปัญหาคือ ปรกติการดูภาพยนต์ เราใช้เวลาดู 2 ชั่วโมง
ดังนั้น การมองเห็น ฟัง เชื่อมโยงสารทั้งหมด จะมีไม่มากเพราะหนังไม่ยาว
แต่ละครเรืองนี้ เล่นเอาวิธีแบบหนังมาใช้ แล้วให้คนดูย้อนคิดไปคิดมา ถึงยี่สิบชั่วโมง
คนดูก็อ้วกแตกสิ
บทพูดที่พูดไว้เมื่อต้นเรื่อง เอามาทวนซ้ำอีกตอนสิบชั่วโมงต่อมา
ความจำของคนดูมันโหลดนานขนาดนั้นไม่ไหวหรอก
2. การนำเสนอเนื้อหา แบบผสมผสานหนังละคร
ปรกติการดูละคร บทจะทำให้คนดูสังเกตการณ์ และสามารถเข้าใจความคิดตัวละครได้ทันที
เหมือนว่า เราจะเห็นว่า ตัวละครนี้มีแง่มุมต่างๆในแต่ละที่ลับที่แจ้งอ่ย่างไร เราจะรู้มากกว่าคนในเรื่อง
แต่ละครเรื่องนี้ ทำแบบผสมกับหนัง คือคนดูบางทีก็เห็นเท่าคนอื่นในหนังนั่นแหละ
แถมบางอย่าง คนดูรู้ไม่เท่าตัวละครในเรื่องด้วยซ้ำ
การนำเสนอบางส่วน ปล่อยคนดูให้คิดสะกิดใจเอง ละครจะไม่พยายามเสนอตัวเองให้คนดูเข้าใจ
ยกตัวอย่างเช่น นางเอกที่ตายไปโดยฟังเพลงรัก แล้วปณิธานว่าขอลืม ตกลงมันยังไงกัน
3. การสื่อสัญญลักษณ์ อลังการงานสร้าง ตามไม่ทัน
สีสัน เสื้อผ้า การตัดภาพ
4. ประเด็นไม่ชัดเจนที่ยังไม่จบ อีกจำนวนมาก คนดูต้องเคลียร์เอง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้- ตกลงว่า เราต้องย้อนไปที่จุดเริ่มต้นว่า ประวัติศาสตร์เปลี่ยนได้ คนดูต้องยอมรับใช่ไหม
เราว่าอันนี้โหดมากเลยนะ มันไม่ใช่แค่ว่า ประวัติศาสตร์มีแง่มุมที่เราไม่รู้ แต่เขียนออกมาให้เราเห็นแค่นั้น
มันจะเหมือนหนัง inglorious bastard ที[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ ฮิตเลอร์ในเรื่องโดนพวกพระเอกทำให้ตาย ไม่เหมือนประวัติศาสตร์
คือ เหมือนดูหนังไทยย้อนไปแล้ว หนังบอกว่า
ที่สุดเราไม่ได้เสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง เรารบชนะ และอยุธยาเป็นเมืองหลวงจนถึงปัจจุบัน
- จากข้างบน ตกลงนางเอกเปลียนอดีตได้หรือเปล่า
ส่งผลให้ พระเอก นางเอก จีมง เปลี่ยนใช่ไหม
ตรงนี้จะเป็นที่มาของคำถามปวดประสาทอีกชุดใหญ่มากๆๆๆ
เพราะมันจะเกิดการวนลูปอินฟินิตี้ทันที
เนื่องจากเราจะเห็นว่า วังโซเปลี่ยน แล้วนั่นทำให้ ฮาจิน จีมง สภาพปัจจุบันเปลี่ยน
ซึ่งทำให้เกิดคำถามว่า ดังนั้น ฮาจินที่เปลี่ยนแล้ว จะยังตกน้ำกลับไปโครยอหรือเปล่า
ถ้าไม่ แล้ว วังโซจะเปลี่ยนได้ยังไง
- ความลักลั่นของเวลา ระหว่างข้อสังเกตว่านางเอกมาจากโลกอื่นของจีมง
กับมโนโลกมืดพระเอกที่จะตามหานางเอก เวลาที่เกิดคราสครั้งที่สอง
- มีใครมาอีกด้วยไหม นอกจากพระเอกกับจีมง
- พระเอกมาถึงโลกปัจจุบันเมื่อไหร่ อายุโลกปัจจุบันเท่าไหร่
- จีมง สำคัญอย่างไร
- ใครฆ่าแฮซูตัวจริง
- พฤติกรรมแตกต่างของแฮซูที่คนดูไม่เข้าใจ เมื่อเทียบกับคนยุคโครยอในละคร
ทีมงานต้องการส่งสารอะไรให้คนดู และ อยากให้คนดูมีปฏิริยาอะไร
...................
ขอเพิ่มความปวดประสาทเข้าไปอีกหนึ่งคำถามใหญ่ค่ะ
- ตอนนี้วิธีเสนอเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่ระหว่าง
1- ประวัตืศาสตร์โลกของแฮซูก่อนข้ามเวลา เป็นแบบหนึ่ง
แต่เมื่อแฮซูกลับมาแล้วประวัติศาสตร์เปลี่ยนเป็นปัจจุบันที่เราทั้งหลายทราบ และใช้ชีวิตอยู่
2 - ประวัติศาสตร์โลกของแฮซูก่อนข้ามเวลากับพวกเรา เป็นแบบเดียวกัน
แต่เมื่อแฮซูกลับมาแล้ว นางเปลี่ยนประวัติศาสตรแล้ว เป็นคนละประวัติศาสตร์กับพวกเรา
และจริงๆนั่นแปลว่า มันเป็นโลกคู่ขนาน ที่แตกรากมาจากยุคโครยอเดียวกัน
3. ประวัติศาสตร์โลกของแฮซูก่อนข้ามเวลากับพวกเรา เป็นแบบเดียวกัน
และ เมื่อแฮซูกลับมาแล้ว นางเปลี่ยนประวัติศาสตรแล้ว
และ บังคับให้คนดูพวกเรา อยู่ร่วมกันยอมรับประวัติศาสตร์ของแฮซูว่าเป็นจริง
เพื่อให้ง่าย ทีนี้ลองคิดแบบที่เรายกตัวอย่างว่านะคะ ว่า
ละครไทย ทำออกมาแล้ว เราไม่ได้เสียกรุงศรีครั้งที่สอง เมืองหลวงไทยเราเป็นอยุธยา
ตัวอย่างชัดๆๆ ทวิภพค่ะฉบับฟลอเรนซ์ ชัดเจนมาก
ที่สุดแห่ง ละครที่ปวดประสาทมาก คิดมากแล้วจะอ้วกเลย
หนังยี่สิบชั่วโมงนี่มันเกินไปไหม ทีมงาน
[Moon lovers] ฺ ฺ ฺ ฺ ฺ ฺ ฺ ฺเรื่องค้างคาใจ จำนวนมหาศาล
1. ภาพรวมเทคนิคการนำเสนอ
เป็นวิธีคิดทำละคร โดยการเอาเทคนิคการสื่อสารแบบภาพยนต์มาใช้
โดยการซ่อนไว้ด้วย บทสนทนา การสื่อสัญญลักษณ์ การตัดต่อ
ซึ่งปัญหาคือ ปรกติการดูภาพยนต์ เราใช้เวลาดู 2 ชั่วโมง
ดังนั้น การมองเห็น ฟัง เชื่อมโยงสารทั้งหมด จะมีไม่มากเพราะหนังไม่ยาว
แต่ละครเรืองนี้ เล่นเอาวิธีแบบหนังมาใช้ แล้วให้คนดูย้อนคิดไปคิดมา ถึงยี่สิบชั่วโมง
คนดูก็อ้วกแตกสิ
บทพูดที่พูดไว้เมื่อต้นเรื่อง เอามาทวนซ้ำอีกตอนสิบชั่วโมงต่อมา
ความจำของคนดูมันโหลดนานขนาดนั้นไม่ไหวหรอก
2. การนำเสนอเนื้อหา แบบผสมผสานหนังละคร
ปรกติการดูละคร บทจะทำให้คนดูสังเกตการณ์ และสามารถเข้าใจความคิดตัวละครได้ทันที
เหมือนว่า เราจะเห็นว่า ตัวละครนี้มีแง่มุมต่างๆในแต่ละที่ลับที่แจ้งอ่ย่างไร เราจะรู้มากกว่าคนในเรื่อง
แต่ละครเรื่องนี้ ทำแบบผสมกับหนัง คือคนดูบางทีก็เห็นเท่าคนอื่นในหนังนั่นแหละ
แถมบางอย่าง คนดูรู้ไม่เท่าตัวละครในเรื่องด้วยซ้ำ
การนำเสนอบางส่วน ปล่อยคนดูให้คิดสะกิดใจเอง ละครจะไม่พยายามเสนอตัวเองให้คนดูเข้าใจ
ยกตัวอย่างเช่น นางเอกที่ตายไปโดยฟังเพลงรัก แล้วปณิธานว่าขอลืม ตกลงมันยังไงกัน
3. การสื่อสัญญลักษณ์ อลังการงานสร้าง ตามไม่ทัน
สีสัน เสื้อผ้า การตัดภาพ
4. ประเด็นไม่ชัดเจนที่ยังไม่จบ อีกจำนวนมาก คนดูต้องเคลียร์เอง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ที่สุดแห่ง ละครที่ปวดประสาทมาก คิดมากแล้วจะอ้วกเลย
หนังยี่สิบชั่วโมงนี่มันเกินไปไหม ทีมงาน