ตามล่าแสง(เวียดนาม)เหนือ Hanoi – Ha Long Bay
14-17 ต.ค. 59
ก่อนอื่นของบอกเลยว่าทริปนี้มีจุดเริ่มต้นมาจากความเบื่อ เบื่องาน เบื่อทุกอย่าง ของนักศึกษาตอนปลาย(มหาลัย) จากนั้นการจองตั๋วจึงเกิดขึ้น!! ปล.การรีวิวนี้เป็นครั้งแรกของเราและไอดีตัวเองไม่ได้ยืมเพื่อนแต่อย่างใด หากผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ ทริปนี้เรามีผู้ร่วม survival ไปด้วยกันทั้งหมด 8 ชีวิต ซึ่งเราเลือกที่จะเดินทางไปเวียดนามเพราะงบและเวลาที่จำกัด ถ้ามีตังค์คงไปไกลกว่านี้แล้ว 5555 คอนเซ็ปของทริปนี้จึงออกไปในแนว ทริปคุ้มค่าราคาประหยัดกับเวลา 4 วัน โดยการเดินทางไปประเทศเวียดนามนั้นเราเลือกที่เดินทางโดยเครื่องบิน บินปลอดภัยไปกับ Jetstar airline ส่วนที่พักเราเลือกเป็น Hostel จองผ่านทาง Airbnb ได้ในราคา 350 บาท/คน/คืน เท่านั้น ก็เป็นอีกช่องทางในการหาที่พักที่สะดวกและหลากหลายที่พวกเราใช้อยู่เรื่อยๆ
Day 1
และแล้ววันนี้ก็มาถึง วันที่เราจะเป็นไท(จากโปรเจค)ซัก 3-4 วัน อิอิ การเดินทางของเราเริ่มต้นในเช้าวันที่ 14 ตุลาคม เมื่อทุกคนพร้อมเราก็ออกเดินทางไปยังสนามบินสุวรรณภูมิเพื่อบินสู่ดินแดนเวียดนามเหนือ กรุง Hanoi นั่นเอง ค่าเงินที่ใช้ในประเทศเวียดนามจะเรียกว่า ดอง โดยสามารถคำนวณได้ง่ายๆโดย เอาเงินดองมาตัดศูนย์สามตัวออกแล้วคูณ 1.5 ก็จะเป็นเงินบาทจ้า หลังจากหลับๆตื่นๆอยู่บนเครื่องบินได้ประมาณ 2 ชม. เราก็ได้ลงเหยียบบนดินแดนเวียดนามซักที สิ่งแรกที่ต้องทำก่อนออกจากสนามบินนั่นก็คือการหารถโดยสารเพื่อไปที่พัก การเดินทางออกจากสนามบินไปยังตัวเมืองฮานอยนั้นก็มีทั้งทางรถเมล์ก็ได้ หรือจะเช่ารถตู้ก็ได้ ซึ่งภายในสนามบินก็จะมีบูทของบริษัททัวร์ตั้งเรียงรายอยู่สำหรับคนที่อยากจะหาซื้อทัวร์หรือเช่ารถตู้ก็สามารถหาได้จากที่นี้หรือจะเป็นซิมการ์ดก็มีขายเช่นกัน

แต่สำหรับคนที่อยากประหยัดเงินแนะนำลองไปหาซื้อในเมืองจะถูกกว่าเพราะที่สนามบินส่วนใหญ่ขายแต่โปร Unlimited หลังจากเดินวนในสนามบินกันจนพอแล้วก็ได้ข้อสรุปว่าเราจะเดินทางกันโดยรถตู้ที่ติดต่อจากบูทของบริษัททัวร์แถวนั้นเพื่อไปยังโรงแรมกัน เนื่องจากถ้าการเดินทางโดยรถเมล์ต้องใช้เวลามากถึง 2 ชม. ค่าใช้จ่ายตกคนละ 3$ แต่รถตู้แค่คนละ 5$ ซึ่งขอบอกเลยว่าตัดสินใจถูกมากเพราะสภาพที่นึกไว้คือต้องป็นรถเก่าๆแน่นอน แต่พอเจอของจริงบอกเลยว่าหรูมากก VIP สุดๆ ที่สำคัญได้ไกด์แถมมาด้วยหนึ่งคนไม่มีบวกเพิ่มด้วยนะ

จากการหาข้อมูลมาจากในเน็ตทำให้เราระแวงเวียดนาม เราเช่ารถเพื่อเข้าโรงแรม คิดว่าจะมีแค่คนขับรถ แต่ดันมีไกด์ขึ้นมาด้วยหนึ่งคน เราคิดกันว่าจะโดนเก็บเพิ่มรึป่าว จะโดนเล่นตั้งแต่เหยียบประเทศเลยมั้ย ไกด์คนนี้ชื่อว่าคุณเฟื่อง (Phoung) คอยแนะนำเราตลอดทาง แนะนำที่เที่ยว ที่กิน ระหว่างทางเราเห็นการจราจรที่ค่อนข้างน่ากลัวสำหรับเรา คนเวียดนามจะขับรถกันเลนขวา และบีบแตรกันเยอะมากกก แต่ถึงจะน่ากลัวยังไง ที่เราเห็นตลอดคือคนเวียดนามใส่หมวกกันน็อกกันทุกคน ทั้งคนซ้อนและคนขับ เราเลยถามคุณเฟื่องเรื่องอุบัติเหตุ คุณเฟื่องหัวเราะพร้อมบอกว่า.....เกิดประจำ
ตึกต่างๆของเวียดนามจะเป็นตึกแคบๆแต่หลายชั้น เพราะค่าที่ของเวียดนามนั้นแพงบรรลัย คนเวียดนามจึงนิยมทำร้านค้าหรือห้องเช่าแบบลึกเค้าไปในตัวตึกและหลายชั้นแทน

รูปตึกต่างๆที่แสดงอยู่ในแกลลอรี่
คุณเฟื่องพาเรามาจนถึงหน้าโรงแรม luxury backpacker โดยไม่คิดค่าบริการเพิ่ม ทำให้เรารู้สึกผิดที่ไปสงสัยเค้าในตอนแรก นอกจากนี้คุณเฟื่องยังเป็นคนพาทัวร์ในวันที่สองอีกด้วยแบบไม่คิดตังค์เพิ่ม ยิ่งทำให้รู้สึกผิดกว่าเดิมไปอีก โรงแรมอยู่ในย่าน old quarter เข้ามาไม่ลึกจากถนนใหญ่ เรียกได้ว่าย่านคนต่างชาติ ถ้าบ้านเราก็อารมณ์ก็ข้าวสารเราหละมั้ง มีพนักงานมาต้อนรับพร้อม welcome drink ที่เป็นชารสชาติเหมือนสมุนไพร
หลังจากเก็บสัมภาระเรียบร้อยเราก็พร้อมสำหรับมื้อแรกในเวียดนาม เราเริ่มกันที่ “ Bun cha “ อาหารขึ้นชื่อประจำฮานอยซื้อคุณเฟื่องได้แนะนำว่าอร่อยมาก และยังเป็นอาหารที่ตอนปธน.โอบาม่าได้แวะกินตอนมาฮานอย “ Bun cha “ จะเสิร์ฟเป็นเส้นขนมจีน หมูย่างในน้ำซุป น้ำจิ้ม และผักเคียง วิธีการกินคือใส่เส้น ใส่ผัก พริกกระเทียม น้ำจิ้ม ลงไปในน้ำซุปหมู แล้วก็เอาตะเกียบคีบกิน เป็นอาหารที่จขกท.ยกให้อร่อยที่สุดในทริปนี้
Hanoi Night market เป็นตลาดที่มีเฉพาะ ศ-อา เป็นตลาดที่ขายทุกอย่าง อารมณ์เหมือนตลาดบ้านเราเนี่ยแหละ แต่ยาวและกว้างมาก ตลอด 3 คืนเราได้ออกมาเดินเล่นทุกคืนแต่ก็ยังเดินไม่หมด ตลาดจะอยู่บริเวณทะเลสาบคืนดาบ
เกือบทุกมุมของถนนจะมีการแสดง ทั้งการแสดงประจำชาติหรือเป็นดนตรีสากลก็มีนะ เพราะมากซะด้วย
ติดกันจะมีลานกว้างที่เป็นที่ทำกิจกรรมร่วมกันของทั้งเด็กเล็ก วัยทำงาน คนสูงอายุ ที่มาทำกิจกรรมร่วมกัน ซึ่งต่างจากพื้นที่สาธารณะในไทย และในไทยไม่ค่อยมี บริเวณนี้จะมีการละเล่นพื้นบ้าน กระโดดเชือก ตะกร้อขนไก่ และหมากขุม หมากขุมนี้ทุกคนจะมานั่งเล่นกัน โดยขีดตารางเอง เอาหินมาเอง และเล่นกับคนแปลกหน้าที่เจอแถวนั้น มีคู่รักชาวเวียดนามได้ยินเราพูดไทยกันเลยเดินเข้ามาทักทายเป็นภาษาไทยว่า "สวัสดีครับ" เราจึงได้โอกาสคุยและให้เค้าสอนเล่นหมากขุม ผลคือ.......ไม่รู้เรื่องเหมือนเดิม
พอกลับมาถึงที่พักเราก็ได้ซื้อทัวร์ไปฮาลองเบย์กับทางโรงแรม โดยเดินทางในวันพรุ่งนี้เช้า โปรดติดตามครับ
[CR] รีวิวแบกเป้เที่ยวเวียดนาม 4 วัน 3 คืน
14-17 ต.ค. 59
ก่อนอื่นของบอกเลยว่าทริปนี้มีจุดเริ่มต้นมาจากความเบื่อ เบื่องาน เบื่อทุกอย่าง ของนักศึกษาตอนปลาย(มหาลัย) จากนั้นการจองตั๋วจึงเกิดขึ้น!! ปล.การรีวิวนี้เป็นครั้งแรกของเราและไอดีตัวเองไม่ได้ยืมเพื่อนแต่อย่างใด หากผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ ทริปนี้เรามีผู้ร่วม survival ไปด้วยกันทั้งหมด 8 ชีวิต ซึ่งเราเลือกที่จะเดินทางไปเวียดนามเพราะงบและเวลาที่จำกัด ถ้ามีตังค์คงไปไกลกว่านี้แล้ว 5555 คอนเซ็ปของทริปนี้จึงออกไปในแนว ทริปคุ้มค่าราคาประหยัดกับเวลา 4 วัน โดยการเดินทางไปประเทศเวียดนามนั้นเราเลือกที่เดินทางโดยเครื่องบิน บินปลอดภัยไปกับ Jetstar airline ส่วนที่พักเราเลือกเป็น Hostel จองผ่านทาง Airbnb ได้ในราคา 350 บาท/คน/คืน เท่านั้น ก็เป็นอีกช่องทางในการหาที่พักที่สะดวกและหลากหลายที่พวกเราใช้อยู่เรื่อยๆ
Day 1
และแล้ววันนี้ก็มาถึง วันที่เราจะเป็นไท(จากโปรเจค)ซัก 3-4 วัน อิอิ การเดินทางของเราเริ่มต้นในเช้าวันที่ 14 ตุลาคม เมื่อทุกคนพร้อมเราก็ออกเดินทางไปยังสนามบินสุวรรณภูมิเพื่อบินสู่ดินแดนเวียดนามเหนือ กรุง Hanoi นั่นเอง ค่าเงินที่ใช้ในประเทศเวียดนามจะเรียกว่า ดอง โดยสามารถคำนวณได้ง่ายๆโดย เอาเงินดองมาตัดศูนย์สามตัวออกแล้วคูณ 1.5 ก็จะเป็นเงินบาทจ้า หลังจากหลับๆตื่นๆอยู่บนเครื่องบินได้ประมาณ 2 ชม. เราก็ได้ลงเหยียบบนดินแดนเวียดนามซักที สิ่งแรกที่ต้องทำก่อนออกจากสนามบินนั่นก็คือการหารถโดยสารเพื่อไปที่พัก การเดินทางออกจากสนามบินไปยังตัวเมืองฮานอยนั้นก็มีทั้งทางรถเมล์ก็ได้ หรือจะเช่ารถตู้ก็ได้ ซึ่งภายในสนามบินก็จะมีบูทของบริษัททัวร์ตั้งเรียงรายอยู่สำหรับคนที่อยากจะหาซื้อทัวร์หรือเช่ารถตู้ก็สามารถหาได้จากที่นี้หรือจะเป็นซิมการ์ดก็มีขายเช่นกัน
แต่สำหรับคนที่อยากประหยัดเงินแนะนำลองไปหาซื้อในเมืองจะถูกกว่าเพราะที่สนามบินส่วนใหญ่ขายแต่โปร Unlimited หลังจากเดินวนในสนามบินกันจนพอแล้วก็ได้ข้อสรุปว่าเราจะเดินทางกันโดยรถตู้ที่ติดต่อจากบูทของบริษัททัวร์แถวนั้นเพื่อไปยังโรงแรมกัน เนื่องจากถ้าการเดินทางโดยรถเมล์ต้องใช้เวลามากถึง 2 ชม. ค่าใช้จ่ายตกคนละ 3$ แต่รถตู้แค่คนละ 5$ ซึ่งขอบอกเลยว่าตัดสินใจถูกมากเพราะสภาพที่นึกไว้คือต้องป็นรถเก่าๆแน่นอน แต่พอเจอของจริงบอกเลยว่าหรูมากก VIP สุดๆ ที่สำคัญได้ไกด์แถมมาด้วยหนึ่งคนไม่มีบวกเพิ่มด้วยนะ
จากการหาข้อมูลมาจากในเน็ตทำให้เราระแวงเวียดนาม เราเช่ารถเพื่อเข้าโรงแรม คิดว่าจะมีแค่คนขับรถ แต่ดันมีไกด์ขึ้นมาด้วยหนึ่งคน เราคิดกันว่าจะโดนเก็บเพิ่มรึป่าว จะโดนเล่นตั้งแต่เหยียบประเทศเลยมั้ย ไกด์คนนี้ชื่อว่าคุณเฟื่อง (Phoung) คอยแนะนำเราตลอดทาง แนะนำที่เที่ยว ที่กิน ระหว่างทางเราเห็นการจราจรที่ค่อนข้างน่ากลัวสำหรับเรา คนเวียดนามจะขับรถกันเลนขวา และบีบแตรกันเยอะมากกก แต่ถึงจะน่ากลัวยังไง ที่เราเห็นตลอดคือคนเวียดนามใส่หมวกกันน็อกกันทุกคน ทั้งคนซ้อนและคนขับ เราเลยถามคุณเฟื่องเรื่องอุบัติเหตุ คุณเฟื่องหัวเราะพร้อมบอกว่า.....เกิดประจำ
ตึกต่างๆของเวียดนามจะเป็นตึกแคบๆแต่หลายชั้น เพราะค่าที่ของเวียดนามนั้นแพงบรรลัย คนเวียดนามจึงนิยมทำร้านค้าหรือห้องเช่าแบบลึกเค้าไปในตัวตึกและหลายชั้นแทน
รูปตึกต่างๆที่แสดงอยู่ในแกลลอรี่
คุณเฟื่องพาเรามาจนถึงหน้าโรงแรม luxury backpacker โดยไม่คิดค่าบริการเพิ่ม ทำให้เรารู้สึกผิดที่ไปสงสัยเค้าในตอนแรก นอกจากนี้คุณเฟื่องยังเป็นคนพาทัวร์ในวันที่สองอีกด้วยแบบไม่คิดตังค์เพิ่ม ยิ่งทำให้รู้สึกผิดกว่าเดิมไปอีก โรงแรมอยู่ในย่าน old quarter เข้ามาไม่ลึกจากถนนใหญ่ เรียกได้ว่าย่านคนต่างชาติ ถ้าบ้านเราก็อารมณ์ก็ข้าวสารเราหละมั้ง มีพนักงานมาต้อนรับพร้อม welcome drink ที่เป็นชารสชาติเหมือนสมุนไพร
หลังจากเก็บสัมภาระเรียบร้อยเราก็พร้อมสำหรับมื้อแรกในเวียดนาม เราเริ่มกันที่ “ Bun cha “ อาหารขึ้นชื่อประจำฮานอยซื้อคุณเฟื่องได้แนะนำว่าอร่อยมาก และยังเป็นอาหารที่ตอนปธน.โอบาม่าได้แวะกินตอนมาฮานอย “ Bun cha “ จะเสิร์ฟเป็นเส้นขนมจีน หมูย่างในน้ำซุป น้ำจิ้ม และผักเคียง วิธีการกินคือใส่เส้น ใส่ผัก พริกกระเทียม น้ำจิ้ม ลงไปในน้ำซุปหมู แล้วก็เอาตะเกียบคีบกิน เป็นอาหารที่จขกท.ยกให้อร่อยที่สุดในทริปนี้
Hanoi Night market เป็นตลาดที่มีเฉพาะ ศ-อา เป็นตลาดที่ขายทุกอย่าง อารมณ์เหมือนตลาดบ้านเราเนี่ยแหละ แต่ยาวและกว้างมาก ตลอด 3 คืนเราได้ออกมาเดินเล่นทุกคืนแต่ก็ยังเดินไม่หมด ตลาดจะอยู่บริเวณทะเลสาบคืนดาบ
ชาวต่างชาติเยอะมาก
เกือบทุกมุมของถนนจะมีการแสดง ทั้งการแสดงประจำชาติหรือเป็นดนตรีสากลก็มีนะ เพราะมากซะด้วย
ติดกันจะมีลานกว้างที่เป็นที่ทำกิจกรรมร่วมกันของทั้งเด็กเล็ก วัยทำงาน คนสูงอายุ ที่มาทำกิจกรรมร่วมกัน ซึ่งต่างจากพื้นที่สาธารณะในไทย และในไทยไม่ค่อยมี บริเวณนี้จะมีการละเล่นพื้นบ้าน กระโดดเชือก ตะกร้อขนไก่ และหมากขุม หมากขุมนี้ทุกคนจะมานั่งเล่นกัน โดยขีดตารางเอง เอาหินมาเอง และเล่นกับคนแปลกหน้าที่เจอแถวนั้น มีคู่รักชาวเวียดนามได้ยินเราพูดไทยกันเลยเดินเข้ามาทักทายเป็นภาษาไทยว่า "สวัสดีครับ" เราจึงได้โอกาสคุยและให้เค้าสอนเล่นหมากขุม ผลคือ.......ไม่รู้เรื่องเหมือนเดิม
บรรยากาศทะเลสาปยามค่ำคืน
พอกลับมาถึงที่พักเราก็ได้ซื้อทัวร์ไปฮาลองเบย์กับทางโรงแรม โดยเดินทางในวันพรุ่งนี้เช้า โปรดติดตามครับ