รวม Easter Eggs สุดเจ๋งใน Doctor Strange


เข้าฉายไปเรียบร้อยแล้วสำหรับ Doctor Strange หนังฮีโร่ของค่าย Marvel ซึ่งก็เป็นธรรมเนียมทั่วไปของหนังซุปเปอร์ฮีโร่ที่ดัดแปลงมาจากคอมิคที่จะมี Easter Egg มาให้แฟน ๆ ได้ดูกัน ซึ่งสามารถรวบรวมได้ ดังนี้

การส่งอิทธิพลต่อวง Pink Floyd
  
ตอนที่ ดร. สเตรนจ์ ขับรถจนพบกับอุบัติเหตุเปลี่ยนชีวิต เพลงที่เขาเล่นขณะนั่นก็คือ Interstellar Overdrive (1967) ของวง Pink Floyd ย้อนกลับไปสมัยเป็นคอมิค Doctor Strange ได้ส่งอิทธิพลต่อ Pink Floyd ไม่น้อย เนื่องจากภาพวาดอัลบั้ม A Saucerful of Secrets ที่ Pink Floyd ปล่อยออกมาเมื่อปี 1968 คล้ายกับภาพในคอมิค Strange Tales #158 และมุมซ้ายบนของอัลบั้มก็มีใบหน้าของ The Living Tribunal อยู่ด้วย ส่วนด้านขวาก็เป็นรูปราง ๆ ของ ดร. สเตรนจ์


คนไข้ที่กระดูกสันหลังเคลื่อน

ในฉากที่ ดร. สเตรนจ์ ขับรถไปงานปาฐกถา เขาได้รับโทรศัพท์จากผู้ช่วย “มีทหารเรือนายหนึ่งอายุ 45 ปีกระดูกสันหลังเคลื่อนจากการทดลองชุดเกราะอะไรสักอย่าง” ซึ่งเหตุการณ์ที่ผู้ช่วยเขาพูดมานี้ก็ไปตรงกับภาพยนตร์เรื่อง Iron Man 2 ตอนที่ แฮมเมอร์ ทดลองสร้างชุดเกราะมหาประลัยก่อนเกิดความผิดพลาดกับผู้สวมใส ซึ่งแฮมเมอร์ยังชี้แจงกับสภาอีกว่าผู้ทดลองยังมีชีวิตอยู่ดี และจาก Easter Egg ชิ้นนี้ก็ทำให้เรารู้ว่าไทม์ไลน์ภาพยนตร์เรื่อง Doctor Strange เป็นเช่นไร

ป.ล. แต่ผู้กำกับ สก็อตต์ เดอร์ริกสัน บอกกับ IGN ว่าคนไข้คนดังกล่าวไม่ใช่คนของแฮมเมอร์ และไม่ใช่โรดดี้จาก Civil War ด้วย


ตึกอเวนเจอร์
  
จากตัวอย่างของ Doctor Strange ที่ปล่อยออกมา มีฉากหนึ่งที่เผยให้เห็นตึกของพวกอเวนเจอร์ โดยตึกที่ว่ามีตัว A สีฟ้าติดอยู่ ซึ่งทำให้เราสามารถกะระยะเวลาที่เกิดเรื่องได้ เนื่องจากก่อนที่จะมาเป็นตึกอเวนเจอร์อย่างทุกวันนี้ ตึกดังกล่าวเป็นสตาร์กโทเวอร์มาก่อน ซึ่งในเรื่อง Age of Ultron (2015) สัญลักษณ์รูปตัว A ก็เป็นสีฟ้าเหมือนอย่างที่เราเห็นใน Doctor Strange


หว่องพูดถึงทีมอเวนเจอร์
  
อีกหนึ่ง Easter Egg ที่บอกระยะเวลาว่าเหตุการณ์ตอน สตีเฟ่น สเตรนจ์ ไปคามาทาจ มีทีมอเวนเจอร์แล้วก็คือคำพูดของหว่อง “ทีมอเวนเจอร์ปกป้องโลกจากอันตรายที่จับต้องได้ ส่วนพวกเราปกป้องโลกจากภัยคุกคามลึกลับ”

ซึ่งเมื่อนำมารวมกันแล้วจะสามารถเรียงไทม์ไลน์ได้ ดังนี้ ดร. สเตรนจ์เกิดอุบัติเหตุ (Iron Man 2) -> หาวิธีการรักษาด้านการแพทย์นานหลายปีจนหมดเงินหมดทอง (Avengers) -> ใช้เงินก้อนสุดท้ายไปคามาทาจ และปกป้องโลกจากดอร์มามมู (ก่อนหรือประมาณช่วง Age of Ultron)

ความเห็น 10 ได้ให้ข้อมูลว่ามีถ้วยรางวัลปี 2016 ซึ่งน่าจะเป็นไทม์ไลน์ปัจจุบันครับ


คทาของ Living Tribunal

ตอน ดร. สเตรนจ์ ฝึกการต่อสู้กับ มอร์โด้ จู่ ๆ มอร์โด้ก็หยิบคทาของ Living Tribunal ขึ้นมา โดย Living Tribunal คือสิ่งมีชีวิตอมตะที่คอยดูแลความเป็นไปของทุกจักรวาล เขามีใบหน้าทั้งหมด 3 หน้าด้วนกัน ซึ่งแต่ละหน้าจะแทนความหมายที่ต่างกันออกไป นั่นคือหน้าที่ถูกปิดทั้งใบหน้าแทนความจำเป็น หน้าที่เปิดเฉพาะปากคือการแก้แค้น ส่วนหน้าที่เปิดออกหมดคือความยุติธรรม


คทาของ Watoomb
  
ในภาพยนตร์เรื่องนี้มีของวิเศษหลายต่อหลายชิ้น หนึ่งในนั้นก็คือคทาของ Watoomb ที่หว่องใช้ต่อสู้เพื่อปกป้องแซงค์ทัมที่ฮ่องกง ในเวอร์ชั่นคอมิคคทาของ Watoomb ได้ถูกทำลายลง ก่อนลูกศิษย์ของดอร์มามมูจะสร้างขึ้นมาอีกครั้ง ของวิเศษอีกชิ้นที่เราเห็นชัด ๆ ก็คือรองเท้าที่มอร์โด้ใส่อยู่ (Vaulting Boots of Valtorr) ซึ่งเราก็ได้เห็นพลังของรองเท้านี้ไปแล้ว



หนังสือที่ สแตน ลี อ่าน

กลายเป็นสัญลักษณ์ประจำหนัง Marvel ไปแล้วสำหรับสแตน ลีที่ปรากฏตัวในภาพยนตร์ซุปเปอร์ฮีโร่ที่เขาเคยเป็นบรรณาธิการ ซึ่งใน Doctor Strange ลุงแกก็ไม่พลาดเช่นเคย โดยครั้งนี้เขามาพร้อมกับหนังสือ The Doors of Perception ของ อัลดัส ฮักซลีย์ งานเขียนแนวปรัชญาเกี่ยวกับประสบการณ์ใช้ยาเมสคาลินซึ่งมีผลหลอนประสาทคล้ายกับแอลเอสดี และน่าเป็นการอ้างถึงมิติต่าง ๆ ที่คล้ายกับภาพหลอนที่ สตีเฟ่น สเตรนจ์ ต้องเจอ


มิติควอนตัมของ Ant-Man
  
ในเรื่อง Ant-Man แฮงก์ พิมได้อธิบายถึงมิติควอนตัมที่ภรรยาของเขาติดอยู่ให้สก็อตต์ แลงก์ฟัง ซึ่งใน Doctor Strange ก็มีการพูดถึงมิติดังกล่าวเช่นกัน โดยคนที่บอกก็คือมอร์โด้ที่เตือน ดร. สเตรนจ์ ว่ามีมิติหนึ่งที่หลุดเข้าไปแล้วจะออกมาไม่ได้

นอกจากนี้ เควิน ไฟกี ผู้อำนวยการ Marvel ยังเคยให้สัมภาณ์ตอน Ant-Man เข้าฉายอีกว่า “หากพูดถึงมิติควอนตัมตอนที่ตัวเล็กลงแล้วก็ อย่างที่แฮงก์ พิมได้บอกไป ช่วงเวลาจะไร้ความหมาย” ก่อนที่เขาจะพูดต่อ “มันมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เราจะนำไปปรับใช้กับ Doctor Strange มิติควอนตัมเป็นแค่น้ำย่อยแค่นั้น”


มิติมืด
  
ในเวอร์ชั่นคอมิค สตีฟ ดิตโก ได้วาดภาพมิติมืดเอาไว้แล้ว ซึ่งในเวอร์ชั่นภาพยนตร์ก็ถอดแบบมาจากที่เขาวาดอย่างเห็นได้ชัด



นิค เวสต์
  
นายแพทย์ที่ผ่าตัดมือของสตีเฟ่นก็คือ นิโคเดมัส เวสต์ หรือ นิค เวสต์ (คนในรูปล่าง) นั่นเอง ซึ่งในภาพยนตร์ก็รับบทโดย ไมเคิล สตูห์ลบาร์ก แต่ในเวอร์ชั่นคอมิคตัวละครตัวนี้จะโดดเด่นเป็นพิเศษโดยเฉพาะใน The Oath (2007) ที่มีอิทธิพลกับหนังเรื่องนี้อย่างยิ่ง โดยในคอมิค นิค เวสต์จะตามสเตรนจ์ไปคามาร์ทาจและฝึกภายใต้การดูแลของแอนเชี่ยนวันก่อนจะออกสำนักก่อนนำหนด



ฉาก ดร. สเตรนจ์ โดนผ่าตัด

อีกหนึ่งฉากที่ได้รับอิทธิพลจากคอมิค The Oath ก็คือฉากที่สเตรนจ์ถอดจิตมาแนะนำพยาบาลตอนผ่าตัดตน แต่ในคอมิคคนที่ผ่า ดร. สเตรนจ์ คือไนท์ เนิร์ส ไม่ใช่คิสทีน พาวเมอร์



หนังสือคากริออสโทร
  
พล็อตเรื่องส่วนใหญ่ของเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับหนังสือคากริออสโทร โดยตอนเปิดเรื่องก็เป็นฉากที่เคซิเลียสเข้ามาขโมยหน้าหนึ่งของหนังสือเล่มนี้ แต่ในเวอร์ชั่นคอมิคคนที่เข้ามาขโมยหนังสือคากริออสโทรคือมอร์โด้เพื่อจะใช้พลังของมันเอาชนะแอนเชี่ยนวัน

นอกจากนี้เนื้อหาของหนังสือคากริออสโทรทั้งสองเวอร์ชั่นยังแตกต่างกันเล็กน้อยอีกด้วย โดยในเวอร์ชั่นคอมิคจะเป็นศาสตร์เรื่องการควบคุมเวลา ส่วนในภาพยนตร์ก็อย่างที่เรารู้กันว่าเป็นวิธีการใช้ดวงตาอกามอตโต้เพื่อใช้ควบคุมเวลาอีกทีหนึ่ง


ฮาเมียร์จอมเวทย์แขนกุด
  
ฮาเมียร์จอมเวทย์แขนกุดที่ตอนแรก สเตรนจ์ เข้าใจว่าเป็นแอนเชี่ยนวัน แท้จริงแล้วมีตัวตนจริง ๆ ในเวอร์ชั่นคอมิค ซึ่งตามหนังสือการ์ตูน Strange Tales ฤาษีฮาเมียร์คือคนรับใช้ส่วนตัวของแอชเชี่ยนวันที่มีอวัยวะสมบูรณ์ครบ 32 ประการ และยังเป็นพ่อของหว่องอีกด้วย โดยเว็บไซต์ IGN ได้ถาม สก็อตต์ เดอร์ริกสัน ผู้กำกับของเรื่องถึงประเด็นนี้แล้ว ซึ่งคำตอบที่ได้ก็คือฮาเมียร์ไม่ใช่พ่อของหว่องในเวอร์ชั่นภาพยนตร์แต่อย่างใด



แดเนียล ดรัมม์
  
จอมเวทย์ที่ปกป้องแซงค์ทัมที่นครนิวยอร์กคือแดเนียล ดรัมม์ พี่น้องฝาแฝดของ เจริโค ดรัมม์ ที่เป็นจอมเวทย์ผู้กล้าอีกคนของจักรวาล Marvel โดยในคอมิคเจริโคมักจะเรียกวิญญาณของพี่มาสู้คู่กับเขาอยู่บ่อย ๆ ซึ่งเราอาจเห็นเจริโคและการกลับมาอีกครั้งของแดเนียลในหนังภาคต่อของ Doctor Strange ก็เป็นได้



อินฟินิตี้สโตน
  
ในช่วงท้ายของเรื่อง หว่อง ก็ออกมายืนยันแล้วว่าในดวงตาอกามอตโต้มีอินฟินิตี้สโตนอยู่ผ่านคำเตือนที่ว่า “อย่าเดินไปไหนมาไหน โดยมีอินฟินิตี้สโตนห้อยอยู่สิ” ซึ่งอินฟินิตี้สโตนก้อนดังกล่าวน่าจะเป็นไทม์สโตนอย่างไม่ต้องสงสัย


เบเนดิกต์ เล่นเป็น ดอร์มามมู

อีกหนึ่งไฮไลท์ของเรื่องก็คือการปรากฏตัวของ ดอร์มามมู ผู้ปกครองมิติมืด ซึ่งตัวละครดังกล่าวก็ให้เสียงและเป็นต้นแบบใบหน้าโดย เบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตซ์ ผู้รับบท ดร. สเตรนจ์ นั่นเอง

“เรารู้ว่ามันต้องใช้ซีจีทั้งหมดในการถ่ายตัวละครตัวนี้ แต่ตอนที่อยู่ในขั้นตอนการผลิต เบเนดิกต์เดินมาบอกผมว่า ‘อยากให้ผมเล่นบทนี้ไหม’ ผมเลยตอบไปว่าขอคิดดูก่อนนะ” สก็อตต์ เดอร์ริกสันให้สัมภาษณ์ไว้

ซึ่งหลังจากนั้นเขาก็อนุมัติไฟเขียวให้เบเนดิกต์รับบทนี้เนื่องด้วยเหตุผลที่ว่า “ไม่มีใครเข้าใจดอร์มามมูเท่ากับเบเนดิกแล้ว ผมเขียนเรื่องให้ดอร์มามมูมีอีโก้สุด ๆ คล้ายกับสเตรนจ์ เขาเป็นจอมหยิ่งผยอง เป็นผู้พิชิตจักรวาลทุกหนทุกแห่ง บอกได้เลยว่าดอร์แมมมูเป็นตัวละครที่จักรวาลแทบจะหมุนอยู่รอบตัวเขา”


การมาเยือนของธอร์

สก็อตต์ เดอร์ริกสัน ผู้กำกับ Doctor Strange บอกกับเว็บไซต์ IGN ไว้ว่าสตีเฟ่นฝึกฝนอยู่ที่คามาทาจเป็นเวลานานแรมปี และตอนท้ายของหนังเขาก็ทำให้ตัวละครตัวนี้อยู่ในไทม์ไลน์เดียวกับฮีโร่เรื่องอื่น ๆ ซึ่งฉากที่ว่าก็คือการมาของธอร์นั่นเอง

โดยก่อนหน้านี้ก็มีรูปจากกองถ่าย Thor: Ragnarok ปล่อยออกมา เป็นภาพของคริส เฮมเวิร์ธผู้รับบทเทพเจ้าค้อนสายฟ้าถือแผ่นกระดาษเล็ก ๆ ที่เขียนว่า 177A Bleecker St. ที่อยู่ของแซงค์ทัมในกรุงนิวยอร์ก ซึ่งก็ชัดเจนแล้วว่าตอนนี้ธอร์กับโลกิกำลังตามหาโอดินอยู่บนโลกมนุษย์ โดยจะมีหมอแปลกคอยช่วยเหลือ


ที่มา:
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่