รีวิว Doctor Strange : บทภาพยนตร์และการกำกับสำคัญไฉน?



By มาร์ตี้ แม็คฟลาย
เปิดตัวอย่างเป็นทางการกับฮีโร่คนใหม่จากค่ายมาร์เวล สตูดิโอส่งเข้าประกวด ที่จะเป็นตัวละครใหม่ที่จะเป็นหนึ่งในตัวละครในกลุ่ม Avengers เพื่อต่อกรกับวายร้ายแห่งจักรวาลอย่าง ธานอส ใน Avengers: Infinity War ที่จะเข้าฉายในปี 2018 แต่ก่อนจะถึงเวลานั้น เราต้องมาดูจุดกำเนิดของฮีโร่พลังเวทย์กันก่อน

ด็อกเตอร์ สตีเฟน สเตรนจ์ หมอศัลยแพทย์มือหนึ่ง ผู้หยิ่งทะนงและมีชีวิตเพียบพร้อมทั้งความสามารถ สถานะทางสังคมและเงินทอง ได้ประสบอุบัติเหตุร้ายแรงที่ส่งผลให้มือของเขา ที่เป็นอวัยวะที่สำคัญที่สุดสำหรับศัลยแพทย์ ใช้งานไม่ได้เหมือนเดิม ด็อกเตอร์สเตรนจ์ จึงพยายามหาทุกวิถีทางที่จะสามารถทำให้มือของเขากลับมาใช้งานได้ดั่งเดิม จนกระทั่งเขาได้ไปเจอกลุ่มลับที่คนในกลุ่มมีพลังเวทย์มนต์ จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการฝึกฝนและกลายมาเป็นจอมเวทย์พลังแกร่งกล้าที่คอยปกป้องโลก


หนังมาร์เวลที่มีบทอ่อนยวบปวกเปียกที่สุดนับตั้งแต่ Thor: The Dark World

ไม่ว่ากระแสของหนังจากรีวิวที่อื่นจะเป็นอย่างไร ผมต้องขอออกตัวก่อนเลยว่า ตั้งแต่ดูหนังของมาร์เวลสตูดิโอมา นี่คือหนังมาร์เวลที่ไม่ชอบที่สุด (โดยล้ม Thor: The Dark World ที่เคยเป็นสถิติก่อนหน้าไปเป็นที่เรียบร้อย) โดยจุดหลักที่ทำให้คิดเช่นนั้น ตามที่เห็นนั้นคือบทภาพยนตร์ และปัญหาในการกำกับของ สก็อตต์ เดอร์ริคสัน

บทหนังของ Doctor Strange ประสบปัญหาอย่างหนักในความล่องลอยของหนัง จากวิธีการเล่าเรื่องเรียบเรื่อย และเข้าถึงได้ยาก อาจเข้าใจได้ในแง่ของเรื่องราวที่ไกลตัวและอาจจะยากต่อการทำความเข้าใจ เช่นปรัชญาจากโลกตะวันออก และศาสนา แต่หนังสามารถมีคำอธิบายและเล่าเรื่องให้ผู้คนเข้าใจได้ง่ายกว่านี้ เพราะเมื่อกลายเป็นการยากต่อการเข้าถึงจะทำให้สมาธิในการตามเรื่องจะหลุด (เพราะยังพยายามเข้าใจ บางคนอาจจะถึงปล่อยไปเลย)
นอกจากเล่าเรื่องที่ยากต่อการเข้าถึงแล้ว ปัญหาต่อมาคือ การวางรายละเอียดประเด็นของหนังที่ไม่ดี ทั้งจังหวะของเหตุการณ์แต่ละเหตุการณ์ที่แบนราบ และการวางบุคลิกของตัวละครที่ตื้นเขินและค่อนข้างราบเรียบ แม้แต่กับตัวเอกอย่าง ด็อกเตอร์สเตรนจ์ ที่คนดูยังคงมีเครื่องหมายคำถามถึงการกระทำ และการตัดสินใจช่วยโลกหรืออะไรก็แล้วแต่อยู่ดี เพราะเหตุและผลของตัวละครมีไม่เพียงพอที่เราจะเข้าใจได้มากพอ หรือแม้แต่เพื่อความ “เชื่อ” และไม่ใช่แค่ตัวละครนี้ หากแต่เป็นเกือบทุกตัวละคร ทั้งตัวละครสมทบ ร่วมถึงตัวร้ายที่สุดแสนจะแบนราบ (ที่เห็นได้ดาษดื่นในหนังแอ็คชั่นทั่ว ๆไป) ที่เป็นพวกตัวละครจำพวกสิ่งมีชีวิตทำลายดาว ที่เราเคยส่ายหัวกันอย่างตัวร้ายในหนัง Green Lantern นั้นแหละ แต่กับเรื่องนี้หนักกว่า เพราะภาพลักษณ์และสีสันดูน่ารักจนไร้ความน่าเกรงขามจนเหลือทน

และน่าเสียดาย คือแม้แต่ตัวละครที่มาส่งเรื่องโรแมนติกอย่าง คริสติน พลัมเมอร์ นางเอกที่มีความรู้สึกกับ ด็อกเตอร์สเตรนจ์ ที่รับบทโดย เรเชล แม็คอดัมส์ ก็ยังเล่าเรื่องได้คลุมเครือ ครึ่ง ๆกลาง ๆ เสียยิ่งกว่าความสัมพันธ์ของโทนี สตารก์ และ เพ็พเพอร์ พ็อทส์ ในหนัง Iron Man ภาคแรกเสียอีก (ที่ความสัมพันธ์ดูคลุมเครือแต่รู้สึกได้ว่าลึก ๆแล้วทั้งสองคนรักกัน) แต่กับความสัมพันธ์ของ ดร.สเตรนจ์และพลัมเมอร์นี่เรากลับไม่รู้สึกเลย กล่าวคือ รู้นะว่ารักกัน แต่กลับไม่รู้สึกว่ารักกัน (ซึ่งนี่เป็นปัญหาด้านมิติของตัวละครด็อกเตอร์สเตรนจ์นั้นเอง)

ส่วนเรื่องของจังหวะของหนัง จริง ๆหนังเรื่องนี้ประสบปัญหาเดียวกับ Thor: The Dark World และ Ant-Man ตรงที่เป็นการเล่าเรื่อย ๆเรียง ๆ ไม่มีจังหวะจะโคน ที่จะเน้นพาร์ทใดเป็นพิเศษ แตกต่างกันที่ กับเรื่องแรก อย่างน้อยมุกตลกยังทำงานได้ดี แม้จะมีบทอ่อนปวกเปียกพอกัน แต่ไคลแม็กซ์และคนดูยังสามารถตามเรื่องได้ (และเสน่ห์ของ โลกิ ที่เป็นตัวชูรสชั้นดี) กับเรื่องหลัง มีการเล่าเรื่องที่สนุก เข้าถึงง่าย ไม่ยากต่อการทำความเข้าใจ และมุกตลกทำงานได้ผลตลอด แต่กับ Doctor Strange นอกจากจะมีปัญหาเรื่องบทที่กล่าวไปข้างต้นแล้ว ก็มีจังหวะที่ไม่ชวนให้ติดตาม ซึ่งนี่ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้กำกับไปเต็ม ๆ ที่เล่าเรื่องได้ไม่มีจังหวะใด ๆที่จะดึงความน่าสนใจของคนดูที่มีต่อหนังได้ โดยเฉพาะพาร์ทฝึกฝนของด็อกเตอร์ที่มาเรื่อย ๆแฝงมาแต่ความแห้งแล้ง โชว์ความสามารถด้านเทคนิคคอมพิวเตอร์กราฟฟิกอันน่าตื่นตาเพียงอย่างเดียว อารมณ์ของเรื่องไม่ได้ทำงานตามความสวยงามของภาพ และมุกตลกที่พยายามแฝงเข้ามาก็ไม่ตลกเท่าไร ที่แสดงให้เห็นถึงความถนัดของเดอร์ริคสันว่าไม่เหมาะกับหนังตลกอย่างยิ่ง


วิสัยทัศน์ด้านภาพอันสวยงามตระการตา
งานด้านภาพของหนัง เป็นจุดเด่นที่สุดของหนังเรื่องนี้ ซึ่งเป็นนั้นจริงตามที่เราได้เห็นในตัวอย่างหนัง มันช่างตื่นตา และน่าตกตะลึงถึงวิสัยทัศน์ในการสร้างซีนพลังเวทย์มนต์ที่เปลี่ยนสถานที่ให้บิดกลับหัว ซึ่งเป็นผลของการใช้เทคโนโลยีการใช้คอมพิวเตอร์กราฟฟิกได้คุ้มค่าเท่าที่จะสามารถทำได้แล้ว แต่อย่างไรก็ตาม ตามหลักภาพยนตร์แล้ว ความสามารถของการเล่าเรืองและบทภาพยนตร์เป็นส่วนสำคัญที่สุดอยู่แล้ว งานด้านภาพและเทคนิคพิเศษเป็นส่วนประกอบของการสร้างอารมณ์ร่วมของหนัง ไม่ใช่ทุกอย่างของหนัง

เมื่อหนังมีปัญหาที่กล่าวข้างต้น แม้ว่าภาพที่เราเห็นจะสวยงามดาวล้านดวงอย่างไร เมื่อไร้อารมณ์ร่วมและวิธีการเล่าเรื่องที่ดี ก็ไร้ประโยชน์ เพราะเราจะเห็นแต่เทคนิคด้านภาพที่สวย แล้วจบแค่นั้น

เช่นในฉากแอ็คชั่นในไคลแมกซ์ของหนังเรื่องนี้ ตามความเห็นส่วนตัว หนังไม่สามารถทำให้เราอินกับการต่อสู้นั้นได้เลย (อาจเพราะไม่อินกับอะไรของหนังเลยมาตั้งแต่แรก) ทำให้ฉากไคลแมกซ์ของเรื่องนี้ประสบปัญหาหนักกว่าฉากแอ็คชั่นโลกวินาศ ที่มีแต่ซีจีแต่ไร้อารมณ์ร่วมใน Man of Steel เสียอีก เพราะใน Doctor Strange ไม่ก่อให้เกิดความรู้สึกให้เอาใจช่วย ลุ้นระทึก และสนุกเลยแม้แต่นิด เป็นแค่ความรู้สึกที่ว่า “เออ ภาพสวยดี”แค่นั้นจริง ๆ


สก็อตต์ เดอร์ริคสัน ไม่เหมาะกับหนังฮีโร่มาร์เวลรึเปล่า
ประเด็นนี้จริงนั้น ๆมีปัญหามาตั้งแต่บทหนังแล้ว แต่หากมองแค่ประเด็นในฝีมือการกำกับของเดอร์ริคสัน ก็จะพบว่าผลงานเรื่องก่อน ๆดูไม่แห้งแล้งทางอารมณ์ขนาดนี้ ไล่ตั้งแต่หนังไซ-ไฟ คลาสสิกรีเมคอย่าง The Day the Earth Stood Still ที่แม้จะอุดมไปด้วยเทคนิคพิเศษด้านภาพทั้งเรื่อง แต่เรื่องราวและประเด็นของหนังก็แข็งแรงพอ ซึ่งเดอร์ริคสันก็กำกับออกมาได้ดีตามที่ควรจะเป็น และงานสยองขวัญขวัญใจนักวิจารณ์อย่าง Sinister ฝีมือของเดอร์ริคสันก็กำกับจังหวะคนดูด้วยอารมณ์หลอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นั้นหมายถึงฝีมือของเดอร์ริคสันในแง่การเล่าเรื่องไม่ได้มีปัญหาแต่อย่างใด แต่กับงานล่าสุดที่ไม่รู้ว่าเดอร์ริคสันกลับเอาไม่อยู่ เพราะด้วยโทนหนังแบบมาร์เวลอาจจะสดใสเกิน, ต้องเล่าเรื่องประเด็นที่อ่อนเกินไป หรืออาจจะประสบปัญหาโปรดิวเซอร์ เควิน ไฟจี แทรกแซงการทำงานหรือเปล่าก็ไม่ทราบได้ ผลงานถึงออกมาจืดชืดขนาดนี้

ต้องขออภัยด้วย สำหรับใครที่ดูแล้วชอบหนังด้วยความที่เป็นแฟนหนังมาร์เวลหรืออะไรก็แล้วแต่ ซึ่งทุกคนมีสิทธิ์จะชอบมาก ๆหรือไม่ชอบเลยก็ได้ แต่สำหรับผู้เขียนต้องบอกตามตรงว่าไม่ชอบเอาเสียเลย เพราะหนังไม่ได้องค์ประกอบที่ดีมากพอ หรือดีพอแต่อาจไม่ใช่ที่ผู้เขียนชอบก็ได้ เพราะด้วยมาตรฐานค่ายหนังมาร์เวลที่เคยสร้างหนังสมบูรณ์แบบอย่าง Iron Man, Captain America: The Winter Soldier และ Guardians of the Galaxy มาแล้ว
ผลงานอย่าง Doctor Strange ไม่มีคุณสมบัติใด ๆที่ดีเท่าหรือแม้แต่จะเทียบเคียงหนังสามเรื่องก่อนหน้าหรือแม้แต่หนังระดับดีปานกลางของหนังมาร์เวลเรื่องอื่น ๆได้เลย

ขอบคุณรูปภาพจาก www.comicbookmovie.com

หากอ่านแล้วชอบ ติดตามบทความจากหนังเรื่องอื่น ๆได้ที่ https://www.facebook.com/thelastseatsontheleft นะครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่