By มาร์ตี้ แม็คฟลาย
คงไม่ต้องบอกถึงความโด่งดังและวัฒนธรรมป็อปที่ถือเป็นอุบัติการณ์แห่งยุคสมัยในช่วงปี 90 สำหรับวงการดนตรีอังกฤษอย่างวงโอเอซิส ที่เริ่มต้นขึ้นในปี 1991 วงดนตรีของพวกเด็กหนุ่มวัยคะนองในเมืองแมนเชสเตอร์ที่มีจุดศูนย์กลางคือ โนล และ เลียม แกลลาเกอร์ สองพี่น้อง ที่สร้างปรากฏการณ์ดนตรีตั้งแต่อัลบั้มแรกที่วางขาย (อัลบั้ม Definitely Maybe) ในผลงานชื่อดังอย่างเพลง Live Forever, Supersonic, Cigarettes & Alcohol และต่อเนื่องความสำเร็จที่พาวงโอเอซิสสู่จุดสูงสุดในฐานะวงดนตรีที่ดังที่สุดในเกาะอังกฤษในอัลบั้มที่สอง (อัลบั้ม (What’s Story) Morning Glory?) อย่างเพลง Some Might Say, Champagne Supernova, Wonderwall และ Don’t Look Back in Anger ที่เป็นจุดเริ่มต้นของคอนเสิร์ตประวัติศาสตร์ที่เน็บเวิร์ธ พาร์ค กับการแสดงสดต่อหน้าแฟนเพลงจำนวน 250000 คน
หลังจากนั้นวงโอเอซิสได้มาอัลบั้มต่อมาเรื่อย ๆ และยังคงมีเพลงฮิตที่เป็นตำนานตามออกมาอีกหลายเพลง จนกระทั่งเข้าสู่ช่วงปี 2000 ที่เริ่มเสื่อมความนิยมลงมาบ้าง เวลาผ่านไปจนกระทั่งปี 2009 วงโอเอซิสก็มาถึงจุดสิ้นสุด เพราะความบาดหมางที่เป็นรอยแผลมาอย่างยาวนานของสองพี่น้องแกลลาเกอร์
มาในปัจจุบัน การรอคอยสำหรับสาวกสิ้นสุดลงเสียที เมื่อมีหนังสารคดีเกี่ยวกับโอเอซิสได้เข้าฉาย พาเหล่าสาวกได้ย้อนเวลากลับไปดูจุดเริ่มต้นและการขึ้นสู่จุดสูงสุดของวงดนตรีแห่งยุค ใน Oasis: Supersonic
การเล่าเรื่องที่โครตจะเป็นโอเอซิส
หากติดตามโอเอซิสจะได้เห็นโฉมหน้าและนิสัย ของเลียม และ โนล คงจะพอรู้กันอยู่แล้วว่าทั้งสองคนเป็นคนนิสัยอย่างไร ซึ่งในจุดนี้ แมท ไวท์ครอส ผู้กำกับหนังสารคดีเรื่องนี้คงรู้ดี เพราหนังสารคดีเรื่องนี้เล่าเรื่องโดยใช้ความเป็นโอเอซิสได้ตอบโจทย์ อย่างการเล่าเรื่องผ่านคำบอกเล่าของบุคคลในเหตุการณ์ที่ไล่เรียงทั้ง เลียม โนล สมาชิกคนอื่นของวง และผู้ใกล้ชิดทั้ง เพ็กกี แม่ของสองพี่น้อง โปรดิวเซอร์ และคนอื่น ๆที่เกี่ยวกับวง โดยใช้เสียงของคนนั้นประกอบกับภาพนิ่ง คลิปวิดีโอ หรือแม้แต่ภาพกราฟฟิกที่ใช้เทคนิคพิเศษเล็ก ๆน้อย ๆสร้างขึ้นมา ร้อยเรียงกันไปเรื่อย ๆในจังหวะรวดเร็ว ไม่อ้อยอิ่ง ตรงประเด็น มีอารมณ์ขัน และ กวน(เท้า)ในบางครั้ง
การเล่าเรื่องด้วยวิธีนี้ส่งผลด้านอารมณ์ที่เข้ากับเรื่องราวที่กำลังรับรู้ เพลงประกอบทั้งหมด ที่ร้องเรียงกันเข้ามา ทำให้คนดูที่กำลังดูอยู่เหมือนกำลังย้อนอดีตไปดูชีวิตของคนกลุ่มนี้จริง ๆ ผ่านเสียงของเจ้าตัว ภาพประกอบ โดยไม่รู้สึกสะดุดกับความประดิษฐ์หรืออารมณ์ที่ไม่เหมาะกับการดูโอเอซิส ซึ่งจุดนี้ต้องยกเครดิตให้ผู้กำกับที่รู้ดีว่าควรจะเล่าเรื่องของโอเอซิสออกมาอย่างไร และทำออกมาได้เหมาะสมกับความเป็นโอเอซิส
เรื่องราวที่รับรู้อาจไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่สนุกและตื่นเต้นเหมือนได้รู้ครั้งแรก
แน่นอนว่าเรื่องราวของโอเอซิส โดยมากเป็นเรื่องราวที่ทุกคนอาจจะรู้อยู่แล้ว ต่างกันแค่รู้มาก รู้น้อย และ รู้จริง (หรือเปล่า) ดังนั้นโดยมากเรื่องราวของวงดนตรีวงนี้ ที่เราได้รู้ระหว่างที่กำลังชมในบางเรื่องก็อาจจะเคยรู้อยู่แล้ว แต่ความพิเศษของการดูหนังสารคดี โดยเฉพาะเมื่อเรากำลังดูเรื่องของโอเอซิส คือเรื่องนั้น ๆจะตื่นเต้นและชวนหัวเราะทุกครั้งที่ได้รู้อีกครั้ง เพราะในหนังเราจะได้ยินทั้งเสียงเล่าจากปากเจ้าตัวจริง ๆ (ซึ่งแต่ละคนก็เล่าได้ไม่แคร์ภาพพจน์อะไรทั้งนั้น พูดตามที่คิดทั้งหมด และอารมณ์มาเต็ม) ประกอบกับภาพนิ่ง และคลิปวิดีโอที่หายากยิ่ง ที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนที่เรียงร้อยเข้ามา ทำให้ถึงแม้เราจะรับรู้เรื่องนั้นอยู่แล้ว แต่พอได้มาเห็นอีกครั้งในรูปแบบนี้ ความรู้สึกที่คิดว่ารู้แล้ว ทำอะไรกับความรู้สึกที่กำลังรับรู้ไม่ได้เลย
แต่กับเรื่องบางเรื่องที่เราอาจไม่เคยรู้ก็มี เช่นเรื่องของ ทอมมี แกลลาเกอร์ ผู้เป็นพ่อของสองพี่น้องแกลลาเกอร์ ที่เป็นจุดเริ่มต้นของความบาดหมางในครอบครัว คนที่ลูก ๆและแม่ ต่างเกลียดชัง แน่นอนว่าเรื่องราวแบบนี้อาจจะเคยรู้มาบ้างแต่การที่จะมาได้ยินเรื่องของพ่อ จากปากของพี่น้องแกลลาเกอร์ที่พูดถึงเรื่องนี้อย่างจริงจัง คุณไม่เคยได้ยินที่ไหนแน่
และอีกหลายเรื่องที่กล่าวถึงความสัมพันธ์ของสองพี่น้อง ในแบบที่เป็น “เรื่องจริง” ที่ไม่ได้ไปฟังจากคนอื่นว่าใครคิดกับใครแบบไหน หรือสื่อที่ไปตีข่าวให้เป็นเรื่องใหญ่ เรื่องราวที่มีมากกว่าที่สื่อพยายามให้เราเห็น (เพื่อสร้างข่าว) เรื่องราวจากปากของคนนั้นจริง ๆ ที่แท้จริงแล้ว มีอะไรอีกมากนักที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของคนหลายคนในหนัง ให้เราได้เข้ารับรู้
พรสวรรค์ของเลียมและโนล
อีกสิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดในหนัง คือการเล่าถึงพรสวรรค์ทางด้านดนตรีของทั้ง เลียม และ โนล
สำหรับเลียม ในวงโอเอซิสจะรับหน้าที่เป็น Front man หรือนักร้องนำ ที่เราจะได้เห็นถึงความสามารถในการร้องเพลงที่ในตอนอัดเพลงในสตูดิโอ ที่เลียมสามารถถือเนื้อร้องเข้าไปอัดเพลงได้เลยหลังจากที่ฟังโนลเล่นทำนองให้ฟังเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ! และยังมีความสามารถในการอัดเพลงต่อเนื่องรวดเดียว แล้วผ่านเลย (เพื่อจะรีบไปดูบอลต่อ ฮา) ซึ่งนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ได้ทำกันง่าย ๆเลยสำหรับความสามารถแบบนั้น ที่สำหรับเราแล้ว เรามักจะเห็นภาพลักษณ์ของเลียมที่ดูเป็นคนไม่เอาไหน หรือดูไม่เก่ง แต่ความคิดก็เปลี่ยนเมื่อได้เห็นอะไรที่มากขึ้น
สำหรับโนล รับหน้าที่เป็นผู้แต่งเพลงและทำดนตรีเกือบทั้งหมดของวงโอเอซิส ที่เราจะได้เห็นถึงความสามารถและพรสวรรค์อย่างชัดเจน ในตอนที่หนังเล่าถึงที่มาของเพลงที่เป็นตำนานจากปลายปากกาของเขาเอง ที่มักจะสอดคล้องกับบางสถานการณ์หรือปัญหาบางอย่างที่กำลังเผชิญอยู่ ที่ทำให้เราเห็นถึงความคิดและทัศนคติในการมองสถานการณ์นั้น ๆของเขา จากคำบอกเล่าของตัวเขาเอง
สิ่งที่ผู้คนหวังจะได้รู้ แต่กลับไม่ได้เล่า
จริง ๆเรื่องราวของโอเอซิสถ้าจะเล่า มีหลากหลายประเด็นเหลือเกินที่สามารถเล่าได้ ชนิดที่ทำเป็นหนัง 3 ชั่วโมงก็อาจจะไม่พอ เป็นเรื่องปกติที่ผู้กำกับจำเป็นต้องเลือก และจำกัดกรอบในการเล่าว่าจะเล่าประเด็นใดบ้าง แน่นอนว่าจะมีบางประเด็นที่ถูกตัดออกไปเพราะหลุดคอนเซ็บป์ที่วางไว้ อย่างประเด็นหนึ่งที่แฟนโอเอซิสจำนวนไม่น้อยพูดถึง เช่นเรื่องราวของสงครามบริตป็อประหว่างวงโอเอซิส กับ วงเบลอ ที่เป็นคู่แข่งกันในจุดที่ทั้งคู่กำลังโด่งดัง หรือต้องการรู้เรื่องราวที่ครอบคลุมตั้งแต่จุดเริ่มต้นของวง ไปจนถึงจุดจบของวง (เพราะหนังเล่าตั้งแต่จุดเริ่มต้นและจบที่จุดสูงสุดกับการคอนเสิร์ตครั้งประวัติศาสตร์ที่เน็บเวิร์ธ)
และบางประเด็นที่หนังมีการพูดถึงและทิ้งประเด็นไว้ และกลับไม่มีการสานต่อ (ประเด็นการฟ้องร้องของโทนี แม็คแครอล มือกลองที่โดนวงไล่ออก) สิ่งเหล่านี้เป็นจุดต่าง ๆที่บางคนมองเป็นจุดบกพร่อง แต่สามารถเข้าใจได้ เพราะเรารู้สึกถึงจุดประสงค์ของหนังสารคดีเรื่องนี้ที่ต้องการพูดถึงโอเอซิสอย่างเดียว ในช่วงเวลาเริ่มต้นจนถึงช่วงเวลาที่เป็นตำนาน ดังนั้นเรื่องอื่นนอกเหนือจากนี้คงไม่เป็นจำเป็น และหากอยากรู้ คงต้องไปหาข้อมูลกันเอาเอง
ยังมีเรื่องราวที่มากที่ไม่ได้เขียนออกมาในบทความรีวิวนี้ เรื่องราวของบุคคลเหล่านี้ยังมีอะไรอีกมากที่น่ารู้ หรือแม้แต่ชวนคิด ลักษณะนิสัย ความคิด ความอ่อนไหว ดนตรี การใช้ชีวิต และ สายเลือด เรื่องราวพวกนี้ เรามองเพียงไม่ได้ และหนังเรื่องกำลังเสนออีกด้านที่หลายคนอาจไม่เคยเห็น หรือแม้แต่คิดถึง
แต่คิดง่าย ๆเอาแค่หนังเรื่องนี้สามารถพาเราย้อนกลับไปดูช่วงตั้งไข่ไล่เรียงไปจนถึงจุดสูงสุด ที่ในระหว่างนั้นก็แฝงด้วยเรื่องราวระหว่างทางที่น่าสนใจมากมาย สุดยอดเพลงหลายต่อหลายเพลงที่ไล่เรียงมาให้เราได้นึกถึงและร้องตามเบา ๆ
สำหรับแฟนเพลงของโอเอซิสแล้ว แค่นี้ก็คือที่สุดแล้วครับ .
ขอบคุณรูปภาพจาก Documentary Club
หากอ่านแล้วชอบ ติดตามบทความจากภาพยนตร์เรื่องอื่น ๆได้ที่
https://www.facebook.com/thelastseatsontheleft/ นะครับ
รีวิว Oasis: Supersonic : ข้าคือโอเอซิส !!
By มาร์ตี้ แม็คฟลาย
คงไม่ต้องบอกถึงความโด่งดังและวัฒนธรรมป็อปที่ถือเป็นอุบัติการณ์แห่งยุคสมัยในช่วงปี 90 สำหรับวงการดนตรีอังกฤษอย่างวงโอเอซิส ที่เริ่มต้นขึ้นในปี 1991 วงดนตรีของพวกเด็กหนุ่มวัยคะนองในเมืองแมนเชสเตอร์ที่มีจุดศูนย์กลางคือ โนล และ เลียม แกลลาเกอร์ สองพี่น้อง ที่สร้างปรากฏการณ์ดนตรีตั้งแต่อัลบั้มแรกที่วางขาย (อัลบั้ม Definitely Maybe) ในผลงานชื่อดังอย่างเพลง Live Forever, Supersonic, Cigarettes & Alcohol และต่อเนื่องความสำเร็จที่พาวงโอเอซิสสู่จุดสูงสุดในฐานะวงดนตรีที่ดังที่สุดในเกาะอังกฤษในอัลบั้มที่สอง (อัลบั้ม (What’s Story) Morning Glory?) อย่างเพลง Some Might Say, Champagne Supernova, Wonderwall และ Don’t Look Back in Anger ที่เป็นจุดเริ่มต้นของคอนเสิร์ตประวัติศาสตร์ที่เน็บเวิร์ธ พาร์ค กับการแสดงสดต่อหน้าแฟนเพลงจำนวน 250000 คน
หลังจากนั้นวงโอเอซิสได้มาอัลบั้มต่อมาเรื่อย ๆ และยังคงมีเพลงฮิตที่เป็นตำนานตามออกมาอีกหลายเพลง จนกระทั่งเข้าสู่ช่วงปี 2000 ที่เริ่มเสื่อมความนิยมลงมาบ้าง เวลาผ่านไปจนกระทั่งปี 2009 วงโอเอซิสก็มาถึงจุดสิ้นสุด เพราะความบาดหมางที่เป็นรอยแผลมาอย่างยาวนานของสองพี่น้องแกลลาเกอร์
มาในปัจจุบัน การรอคอยสำหรับสาวกสิ้นสุดลงเสียที เมื่อมีหนังสารคดีเกี่ยวกับโอเอซิสได้เข้าฉาย พาเหล่าสาวกได้ย้อนเวลากลับไปดูจุดเริ่มต้นและการขึ้นสู่จุดสูงสุดของวงดนตรีแห่งยุค ใน Oasis: Supersonic
การเล่าเรื่องที่โครตจะเป็นโอเอซิส
หากติดตามโอเอซิสจะได้เห็นโฉมหน้าและนิสัย ของเลียม และ โนล คงจะพอรู้กันอยู่แล้วว่าทั้งสองคนเป็นคนนิสัยอย่างไร ซึ่งในจุดนี้ แมท ไวท์ครอส ผู้กำกับหนังสารคดีเรื่องนี้คงรู้ดี เพราหนังสารคดีเรื่องนี้เล่าเรื่องโดยใช้ความเป็นโอเอซิสได้ตอบโจทย์ อย่างการเล่าเรื่องผ่านคำบอกเล่าของบุคคลในเหตุการณ์ที่ไล่เรียงทั้ง เลียม โนล สมาชิกคนอื่นของวง และผู้ใกล้ชิดทั้ง เพ็กกี แม่ของสองพี่น้อง โปรดิวเซอร์ และคนอื่น ๆที่เกี่ยวกับวง โดยใช้เสียงของคนนั้นประกอบกับภาพนิ่ง คลิปวิดีโอ หรือแม้แต่ภาพกราฟฟิกที่ใช้เทคนิคพิเศษเล็ก ๆน้อย ๆสร้างขึ้นมา ร้อยเรียงกันไปเรื่อย ๆในจังหวะรวดเร็ว ไม่อ้อยอิ่ง ตรงประเด็น มีอารมณ์ขัน และ กวน(เท้า)ในบางครั้ง
การเล่าเรื่องด้วยวิธีนี้ส่งผลด้านอารมณ์ที่เข้ากับเรื่องราวที่กำลังรับรู้ เพลงประกอบทั้งหมด ที่ร้องเรียงกันเข้ามา ทำให้คนดูที่กำลังดูอยู่เหมือนกำลังย้อนอดีตไปดูชีวิตของคนกลุ่มนี้จริง ๆ ผ่านเสียงของเจ้าตัว ภาพประกอบ โดยไม่รู้สึกสะดุดกับความประดิษฐ์หรืออารมณ์ที่ไม่เหมาะกับการดูโอเอซิส ซึ่งจุดนี้ต้องยกเครดิตให้ผู้กำกับที่รู้ดีว่าควรจะเล่าเรื่องของโอเอซิสออกมาอย่างไร และทำออกมาได้เหมาะสมกับความเป็นโอเอซิส
เรื่องราวที่รับรู้อาจไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่สนุกและตื่นเต้นเหมือนได้รู้ครั้งแรก
แน่นอนว่าเรื่องราวของโอเอซิส โดยมากเป็นเรื่องราวที่ทุกคนอาจจะรู้อยู่แล้ว ต่างกันแค่รู้มาก รู้น้อย และ รู้จริง (หรือเปล่า) ดังนั้นโดยมากเรื่องราวของวงดนตรีวงนี้ ที่เราได้รู้ระหว่างที่กำลังชมในบางเรื่องก็อาจจะเคยรู้อยู่แล้ว แต่ความพิเศษของการดูหนังสารคดี โดยเฉพาะเมื่อเรากำลังดูเรื่องของโอเอซิส คือเรื่องนั้น ๆจะตื่นเต้นและชวนหัวเราะทุกครั้งที่ได้รู้อีกครั้ง เพราะในหนังเราจะได้ยินทั้งเสียงเล่าจากปากเจ้าตัวจริง ๆ (ซึ่งแต่ละคนก็เล่าได้ไม่แคร์ภาพพจน์อะไรทั้งนั้น พูดตามที่คิดทั้งหมด และอารมณ์มาเต็ม) ประกอบกับภาพนิ่ง และคลิปวิดีโอที่หายากยิ่ง ที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนที่เรียงร้อยเข้ามา ทำให้ถึงแม้เราจะรับรู้เรื่องนั้นอยู่แล้ว แต่พอได้มาเห็นอีกครั้งในรูปแบบนี้ ความรู้สึกที่คิดว่ารู้แล้ว ทำอะไรกับความรู้สึกที่กำลังรับรู้ไม่ได้เลย
แต่กับเรื่องบางเรื่องที่เราอาจไม่เคยรู้ก็มี เช่นเรื่องของ ทอมมี แกลลาเกอร์ ผู้เป็นพ่อของสองพี่น้องแกลลาเกอร์ ที่เป็นจุดเริ่มต้นของความบาดหมางในครอบครัว คนที่ลูก ๆและแม่ ต่างเกลียดชัง แน่นอนว่าเรื่องราวแบบนี้อาจจะเคยรู้มาบ้างแต่การที่จะมาได้ยินเรื่องของพ่อ จากปากของพี่น้องแกลลาเกอร์ที่พูดถึงเรื่องนี้อย่างจริงจัง คุณไม่เคยได้ยินที่ไหนแน่
และอีกหลายเรื่องที่กล่าวถึงความสัมพันธ์ของสองพี่น้อง ในแบบที่เป็น “เรื่องจริง” ที่ไม่ได้ไปฟังจากคนอื่นว่าใครคิดกับใครแบบไหน หรือสื่อที่ไปตีข่าวให้เป็นเรื่องใหญ่ เรื่องราวที่มีมากกว่าที่สื่อพยายามให้เราเห็น (เพื่อสร้างข่าว) เรื่องราวจากปากของคนนั้นจริง ๆ ที่แท้จริงแล้ว มีอะไรอีกมากนักที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของคนหลายคนในหนัง ให้เราได้เข้ารับรู้
พรสวรรค์ของเลียมและโนล
อีกสิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดในหนัง คือการเล่าถึงพรสวรรค์ทางด้านดนตรีของทั้ง เลียม และ โนล
สำหรับเลียม ในวงโอเอซิสจะรับหน้าที่เป็น Front man หรือนักร้องนำ ที่เราจะได้เห็นถึงความสามารถในการร้องเพลงที่ในตอนอัดเพลงในสตูดิโอ ที่เลียมสามารถถือเนื้อร้องเข้าไปอัดเพลงได้เลยหลังจากที่ฟังโนลเล่นทำนองให้ฟังเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ! และยังมีความสามารถในการอัดเพลงต่อเนื่องรวดเดียว แล้วผ่านเลย (เพื่อจะรีบไปดูบอลต่อ ฮา) ซึ่งนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ได้ทำกันง่าย ๆเลยสำหรับความสามารถแบบนั้น ที่สำหรับเราแล้ว เรามักจะเห็นภาพลักษณ์ของเลียมที่ดูเป็นคนไม่เอาไหน หรือดูไม่เก่ง แต่ความคิดก็เปลี่ยนเมื่อได้เห็นอะไรที่มากขึ้น
สำหรับโนล รับหน้าที่เป็นผู้แต่งเพลงและทำดนตรีเกือบทั้งหมดของวงโอเอซิส ที่เราจะได้เห็นถึงความสามารถและพรสวรรค์อย่างชัดเจน ในตอนที่หนังเล่าถึงที่มาของเพลงที่เป็นตำนานจากปลายปากกาของเขาเอง ที่มักจะสอดคล้องกับบางสถานการณ์หรือปัญหาบางอย่างที่กำลังเผชิญอยู่ ที่ทำให้เราเห็นถึงความคิดและทัศนคติในการมองสถานการณ์นั้น ๆของเขา จากคำบอกเล่าของตัวเขาเอง
สิ่งที่ผู้คนหวังจะได้รู้ แต่กลับไม่ได้เล่า
จริง ๆเรื่องราวของโอเอซิสถ้าจะเล่า มีหลากหลายประเด็นเหลือเกินที่สามารถเล่าได้ ชนิดที่ทำเป็นหนัง 3 ชั่วโมงก็อาจจะไม่พอ เป็นเรื่องปกติที่ผู้กำกับจำเป็นต้องเลือก และจำกัดกรอบในการเล่าว่าจะเล่าประเด็นใดบ้าง แน่นอนว่าจะมีบางประเด็นที่ถูกตัดออกไปเพราะหลุดคอนเซ็บป์ที่วางไว้ อย่างประเด็นหนึ่งที่แฟนโอเอซิสจำนวนไม่น้อยพูดถึง เช่นเรื่องราวของสงครามบริตป็อประหว่างวงโอเอซิส กับ วงเบลอ ที่เป็นคู่แข่งกันในจุดที่ทั้งคู่กำลังโด่งดัง หรือต้องการรู้เรื่องราวที่ครอบคลุมตั้งแต่จุดเริ่มต้นของวง ไปจนถึงจุดจบของวง (เพราะหนังเล่าตั้งแต่จุดเริ่มต้นและจบที่จุดสูงสุดกับการคอนเสิร์ตครั้งประวัติศาสตร์ที่เน็บเวิร์ธ)
และบางประเด็นที่หนังมีการพูดถึงและทิ้งประเด็นไว้ และกลับไม่มีการสานต่อ (ประเด็นการฟ้องร้องของโทนี แม็คแครอล มือกลองที่โดนวงไล่ออก) สิ่งเหล่านี้เป็นจุดต่าง ๆที่บางคนมองเป็นจุดบกพร่อง แต่สามารถเข้าใจได้ เพราะเรารู้สึกถึงจุดประสงค์ของหนังสารคดีเรื่องนี้ที่ต้องการพูดถึงโอเอซิสอย่างเดียว ในช่วงเวลาเริ่มต้นจนถึงช่วงเวลาที่เป็นตำนาน ดังนั้นเรื่องอื่นนอกเหนือจากนี้คงไม่เป็นจำเป็น และหากอยากรู้ คงต้องไปหาข้อมูลกันเอาเอง
ยังมีเรื่องราวที่มากที่ไม่ได้เขียนออกมาในบทความรีวิวนี้ เรื่องราวของบุคคลเหล่านี้ยังมีอะไรอีกมากที่น่ารู้ หรือแม้แต่ชวนคิด ลักษณะนิสัย ความคิด ความอ่อนไหว ดนตรี การใช้ชีวิต และ สายเลือด เรื่องราวพวกนี้ เรามองเพียงไม่ได้ และหนังเรื่องกำลังเสนออีกด้านที่หลายคนอาจไม่เคยเห็น หรือแม้แต่คิดถึง
แต่คิดง่าย ๆเอาแค่หนังเรื่องนี้สามารถพาเราย้อนกลับไปดูช่วงตั้งไข่ไล่เรียงไปจนถึงจุดสูงสุด ที่ในระหว่างนั้นก็แฝงด้วยเรื่องราวระหว่างทางที่น่าสนใจมากมาย สุดยอดเพลงหลายต่อหลายเพลงที่ไล่เรียงมาให้เราได้นึกถึงและร้องตามเบา ๆ
สำหรับแฟนเพลงของโอเอซิสแล้ว แค่นี้ก็คือที่สุดแล้วครับ .
ขอบคุณรูปภาพจาก Documentary Club
หากอ่านแล้วชอบ ติดตามบทความจากภาพยนตร์เรื่องอื่น ๆได้ที่ https://www.facebook.com/thelastseatsontheleft/ นะครับ