ขสมก.ชี้แจงและรับข้อคิดเห็นร่างโครงการจัดซื้อรถเมล์ล็อตแรก 489 คันจาก 3,183 คัน พร้อมย้ำชานต่ำทุกคัน ฟากผู้พิการเชื่อรถชานต่ำช่วยให้คนทุกคนไม่ว่าจะพิการ คนแก่ คนท้อง เด็ก ฯลฯ เข้าถึงรถสาธารณะเท่าเทียมกัน
ปัจจุบัน ขสมก.มีผู้ใช้บริการกว่า 1.7 ล้านคนต่อวัน สูงกว่ารถไฟฟ้าบีทีเอสที่มีคนใช้บริการเฉลี่ย 600,000 คนต่อวัน และรถไฟใต้ดิน 200,000 คนต่อวัน รถเมล์ชานสูงรุ่นเก่าที่ใช้งานมากว่า 23 ปี สภาพทรุดโทรม จึงไม่สามารถตอบโจทย์ในการเดินทางที่เอื้อต่อคนทุกคนได้ หลังจากยืดเยื้อในการจัดซื้อรถเมล์ล็อตใหม่นานกว่า 8 ปี จนเมื่อปี 2556 ได้มีแผนการจัดซื้อรถเมล์เอ็นจีวี 3,183 คัน วงเงินกว่า 13,000 ล้านบาท แบ่งเป็นรถเมล์ธรรมดา 1,659 คัน และรถเมล์ปรับอากาศ 1,524 คัน โดยมีกำหนดระยะเวลาจัดหาให้เสร็จสิ้นภายใน 18 เดือน แต่กลับเกิดปัญหาความล่าช้า และมีการทักท้วงเรื่องราคากลางที่สูงเกินจริง จึงทำให้โครงการถูกชะลอเรื่อยมา
ยุกต์ จารุภูมิ รองผู้จัดการฝ่ายบริหาร ขสมก.ยังยืนยันด้วยว่า ในตอนนี้สเปคของรถทั้ง 489 คันที่จะทำการสั่งซื้อ ยังคงเป็นรถชานต่ำ (Low – floor bus) ทั้งหมด
สุระชัย เจียมวชิรสกุล ผู้อำนวยการ ขสมก. กล่าวว่า จะเคาะราคาในวันที่ 8 ก.ค.2559 และทำสัญญาให้เสร็จสิ้นภายในเดือนเดียวกัน
ด้านบรรยง อัมพรตระกูล ประธานรถร่วม ขสมก.ได้ให้ความเห็นว่า แนะให้ผู้ประกอบการนำรถเข้ามาประกอบในไทยเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ และเสนอให้พิจารณาขนาดของรถเมล์ที่เหมาะสมว่าจำเป็นจะต้องใช้ขนาด 12 เมตรหรือไม่ และหากเป็นขนาด 8 หรือ 10 เมตร จะช่วยประหยัดได้มากขึ้นหรือไม่
ด้านผู้ประกอบการรถเมล์สัญชาติจีน ซึ่งนั่งสังเกตการณ์กล่าวว่า มั่นใจว่านโยบาย ซื้อ 1 แถม 1 โดยจะเปลี่ยนรถล็อตใหม่เมื่อใช้ครบ 5 ปี ของบริษัทนั้น จะทำให้ประเทศไทยได้รับประโยชน์สูงสุด
สุจินดา เชิดชัย หรือเจ๊เกียว เจ้าของอู่ต่อรถและบริษัทเดินรถ เชิดชัย กล่าวว่าปัจจุบันธุรกิจต่อรถในไทยกำลังซบเซา จึงอยากให้กำหนดให้ต้องต่อรถเมล์ในประเทศไทยเท่านั้น เพื่อเปิดโอกาสให้กับอู่ต่อรถต่างๆ และเสนอให้นำเอารถเมล์ที่มีอยู่แล้วมาซ่อมแซม พัฒนา ปรับปรุง พร้อมชี้ว่า รถเมล์ชานต่ำน่าจะไม่สามารถนำมาใช้ได้บนถนนอย่างกรุงเทพฯ ซึ่งประสบปัญหาน้ำท่วม คอสะพานสูง พื้นถนนที่สูงต่ำไม่เท่ากัน ฯลฯ ได้
ด้านตัวแทนคนพิการ มานิตย์ อินทรพิมพ์ ยืนยันว่า อย่างไรรถเมล์ที่จัดซื้อใหม่ทั้งหมดก็ต้องเป็นรถเมล์ชานต่ำ เพื่อให้คนทุกคนสามารถใช้ได้อย่างเท่าเทียม พร้อมยกตัวอย่างประเทศสิงคโปร์ที่ปัจจุบันใช้รถเมล์ชานต่ำแล้วร้อยละ 50 และจะใช้รถเมล์ชานต่ำทั้งหมดภายในอีก 10 ปีข้างหน้า ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความพยายามที่จะขับเคลื่อนเรื่องระบบขนส่งสาธารณะที่คนทุกคนเข้าถึงได้อย่างแท้จริง
http://prachatai.com/journal/2016/04/65306
=====รถเมล์ใหม่ล็อตแรก=====
ปัจจุบัน ขสมก.มีผู้ใช้บริการกว่า 1.7 ล้านคนต่อวัน สูงกว่ารถไฟฟ้าบีทีเอสที่มีคนใช้บริการเฉลี่ย 600,000 คนต่อวัน และรถไฟใต้ดิน 200,000 คนต่อวัน รถเมล์ชานสูงรุ่นเก่าที่ใช้งานมากว่า 23 ปี สภาพทรุดโทรม จึงไม่สามารถตอบโจทย์ในการเดินทางที่เอื้อต่อคนทุกคนได้ หลังจากยืดเยื้อในการจัดซื้อรถเมล์ล็อตใหม่นานกว่า 8 ปี จนเมื่อปี 2556 ได้มีแผนการจัดซื้อรถเมล์เอ็นจีวี 3,183 คัน วงเงินกว่า 13,000 ล้านบาท แบ่งเป็นรถเมล์ธรรมดา 1,659 คัน และรถเมล์ปรับอากาศ 1,524 คัน โดยมีกำหนดระยะเวลาจัดหาให้เสร็จสิ้นภายใน 18 เดือน แต่กลับเกิดปัญหาความล่าช้า และมีการทักท้วงเรื่องราคากลางที่สูงเกินจริง จึงทำให้โครงการถูกชะลอเรื่อยมา
ยุกต์ จารุภูมิ รองผู้จัดการฝ่ายบริหาร ขสมก.ยังยืนยันด้วยว่า ในตอนนี้สเปคของรถทั้ง 489 คันที่จะทำการสั่งซื้อ ยังคงเป็นรถชานต่ำ (Low – floor bus) ทั้งหมด
สุระชัย เจียมวชิรสกุล ผู้อำนวยการ ขสมก. กล่าวว่า จะเคาะราคาในวันที่ 8 ก.ค.2559 และทำสัญญาให้เสร็จสิ้นภายในเดือนเดียวกัน
ด้านบรรยง อัมพรตระกูล ประธานรถร่วม ขสมก.ได้ให้ความเห็นว่า แนะให้ผู้ประกอบการนำรถเข้ามาประกอบในไทยเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ และเสนอให้พิจารณาขนาดของรถเมล์ที่เหมาะสมว่าจำเป็นจะต้องใช้ขนาด 12 เมตรหรือไม่ และหากเป็นขนาด 8 หรือ 10 เมตร จะช่วยประหยัดได้มากขึ้นหรือไม่
ด้านผู้ประกอบการรถเมล์สัญชาติจีน ซึ่งนั่งสังเกตการณ์กล่าวว่า มั่นใจว่านโยบาย ซื้อ 1 แถม 1 โดยจะเปลี่ยนรถล็อตใหม่เมื่อใช้ครบ 5 ปี ของบริษัทนั้น จะทำให้ประเทศไทยได้รับประโยชน์สูงสุด
สุจินดา เชิดชัย หรือเจ๊เกียว เจ้าของอู่ต่อรถและบริษัทเดินรถ เชิดชัย กล่าวว่าปัจจุบันธุรกิจต่อรถในไทยกำลังซบเซา จึงอยากให้กำหนดให้ต้องต่อรถเมล์ในประเทศไทยเท่านั้น เพื่อเปิดโอกาสให้กับอู่ต่อรถต่างๆ และเสนอให้นำเอารถเมล์ที่มีอยู่แล้วมาซ่อมแซม พัฒนา ปรับปรุง พร้อมชี้ว่า รถเมล์ชานต่ำน่าจะไม่สามารถนำมาใช้ได้บนถนนอย่างกรุงเทพฯ ซึ่งประสบปัญหาน้ำท่วม คอสะพานสูง พื้นถนนที่สูงต่ำไม่เท่ากัน ฯลฯ ได้
ด้านตัวแทนคนพิการ มานิตย์ อินทรพิมพ์ ยืนยันว่า อย่างไรรถเมล์ที่จัดซื้อใหม่ทั้งหมดก็ต้องเป็นรถเมล์ชานต่ำ เพื่อให้คนทุกคนสามารถใช้ได้อย่างเท่าเทียม พร้อมยกตัวอย่างประเทศสิงคโปร์ที่ปัจจุบันใช้รถเมล์ชานต่ำแล้วร้อยละ 50 และจะใช้รถเมล์ชานต่ำทั้งหมดภายในอีก 10 ปีข้างหน้า ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความพยายามที่จะขับเคลื่อนเรื่องระบบขนส่งสาธารณะที่คนทุกคนเข้าถึงได้อย่างแท้จริง
http://prachatai.com/journal/2016/04/65306