Snowden (Oliver Stone, 2016) คะแนน B+
By Form Corleone
" ความมั่นคง หรือ เสรีภาพ " หลังจาก 'Citizenfour' ของผู้กำกับหนังสารคดี 'Laura Poitras ' ในปี 2015 ทำให้ทั่วโลกตกตลึงและประสบความสําเร็จอย่างมากในปีนั้น ทำให้ในปีนี้เราได้ดูหนังชีวประวัติของ 'Edward Snowden' อดีตเจ้าหน้าที่ NSA และ CIA ที่ดูแลเกี่ยวกับด้านไอที ได้นำข้อมูลของรัฐบาลสหรัฐฯออกมาเปิดเผยสู่สายตาโลก เกี่ยวกับการเก็บข้อมูลออนไลน์และการเข้าถึงการใช้เครื่องมือสื่อสารทุกชนิดของคนอเมริการวมไปถึงคนทั่วโลก จนกลายเป็นประเด็นการเมืองและคำถามเกี่ยวกับความมั่งคงของประเทศหรือเสรีภาพของประชาชนอย่างไหนสำคัญกว่ากัน รวมไปถึง 'คนรักชาติหรือคนทรยศชาติ' จากหนังสารคดีถูกเปลี่ยนร่างสร้างโครงกลายร่างเป็นภาพยนตร์ชีวประวัติที่ตอบสนองความบังเทิงสำหรับคนทั่วไปได้อย่างสนุกมากๆ ที่สำคัญคือดูง่ายและเข้าถึงง่ายว่าตัวละครกำลังทำอะไรอยู่ และเนื้อเรื่องกำลังดำเนินไปทางไหน สำหรับคนที่ไม่เคยดู 'Citizenfour' การได้นั่งดู 'Snowden' จะทำให้เรารู้สึกมีส่วนร่วมไปกับตัวละครมาก แต่สำหรับใครที่เคยดู 'Citizenfour' เราคิดว่าความรู้สึกไม่ได้ขัดใจถึงแม้จะรู้เหตุการณ์ทั้งหมดแล้วก็ตาม หนังมีความยาว 2 ชั่วโมง 14 นาที ที่คุ้มค่ามากๆ เพราะหนังค่อยๆปูทางเรื่องราวได้อย่างแนบเนียบ พิถีพิถันเกือบจะทุกองค์ประกอบ
คำถามของเราที่มีตลอดช่วงเวลาที่นั่งดูคือ อะไรที่ทำให้ Snowden หนุ่มที่มีอนาคตไกลในหน้าที่การงานด้วยความเป็นอัจฉริยะภาพของเขา มีอาชีพที่มั่งคง ได้รับตำแหน่งต่างๆมากมาย มีครอบครัวที่ดีและคนข้างกายที่โครตจะโชคดี ทำไมถึงเลือกทางเดินชีวิตที่เสี่ยงภัยทั้งตัวเองและคนข้างกายขนาดนั้น แล้วถ้าเป็นเรา เราจะเลือกทางไหน? อาจจะดูเท่ๆ ที่ได้เปิดเผยข้อมูลลับแต่มันคุ้มกับสิ่งที่ตัวเองเสียไปหรือเปล่า? สิ่งที่ 'Edward Snowden' ทำนั้น เราคงต้องเลือกที่จะมองว่าเป็นสิ่งที่ถูกหรือสิ่งที่ผิดด้วยตัวของเราเอง เพราะทั้งหนังเรื่องนี้และหนังสารคดีท้ายสุดก็ไม่ได้ยัดเยียดว่าสิ่งที่ 'Edward Snowden' ทำนั้นมีคุณค่ามหาศาลต่อเพื่อนมนุษย์ แต่แค่สะท้อนในมุมมองที่ทำให้เราต้องคิดต่อว่าสิ่งที่รัฐบาลสหรัฐฯทำนั้น ถูกต้องแล้วหรือไม่ เราที่เป็นคนดูจะเป็นผู้ตัดสินเรื่องราวเหล่านี้ด้วยตัวของเราเอง
ข้อเสียที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของหนังคือ ศัพท์วิชาการเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์หรือศัพท์เกี่ยวกับกฎหมายต่างๆ บลาๆ ที่เข้าใจยากและไม่เข้าใจเลยด้วยซ้ำสำหรับเรา จนบางครั้งรู้สึกว่าหนังเนือยๆไปบ้างบางช่วง แต่ด้วยฝีมือการกำกับของ 'Oliver Stone' ที่ให้จังหวะลุ้นระทึกเป็นช่วงๆอยู่เสมอๆ ทำให้จากอารมณ์เนือยๆจนเกือบหลุดเพราะประโยคที่นักโปรแกรมเมอร์เข้าใจกันเองนั้นถูกเรียกกับคืนสู่เส้นทางของหนังอีกครั้ง ไม่เพียงแค่การเล่าชีวิตของตัว Snowden เองเท่านั้น หนังยังเล่าประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างแฟนสาว ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อชีวิตของเขามาก ทั้งในแง่ความคิดและการใช้ชีวิตที่มีพัฒนาการของความสัมพันธ์เรื่อยๆ ในส่วนนี้หนังก็ถ่ายทอดได้ดีไม่แพ้กัน ความสำเร็จหรือความกล้าที่จะทำอะไรที่ยิ่งใหญ่ มักจะมีใครสักคนอยู่เบื้องหลังความสำเร็จและการตัดสินใจเหล่านั้นเสมอ การแสดงของ Joseph Gordon-Levitt ในบทของ Edward Snowden ทำได้ดีมาก เรารับรู้ถึงพัฒนาการของตัวละครตัวนี้ได้เป็นอย่างดี ให้ความรู้สึกที่เหมือนตัว Snowden จริงมากๆ (จากสารคดี) เพราะตอนท้ายเรื่องหนังก็ตัดสลับจาก Joseph Gordon-Levitt เป็น Edward Snowden ตัวจริงเสียเลย และให้พูดปิดท้ายเรื่องในสิ่งที่เขาต้องการจะพูด ทำให้เรารู้สึกอินมากๆ การแสดงของ 'Shailene Woodley' ที่รับบทเป็นแฟนสาว ก็ช่วยยกให้เรารู้สึกเข้าถึงความสัมพันธ์ของคนสองคนได้ไม่น้อยเลย
สุดท้าย 'Snowden' อาจทิ้งคำถามว่าชายคนดีคือ 'คนรักชาติหรือคนทรยศชาติกันแน่' คำตอบคงอยู่ที่คนดูที่ต้องตัดสินกันเอง สำหรับเรา Edward Snowden ได้ให้แรงบรรดาลใจในการกล้าที่จะทำในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าถูกต้องโดยไม่สนใจถึงผลลัพธ์ว่ามันจะร้ายแรงแค่ไหน สิ่งที่ชายคนนี้ได้ทำนั้น เขาได้ตอบคำถามกับสิ่งที่เขาทำด้วยตัวของเขาเองแล้วและยึดมั่นในสิ่งที่เขาได้ทำจนถึงที่สุด ทั้งหมดทั้งมวลที่หนังเรื่องนี้นำเสนอนั้นได้ส่งข้อความบางสิ่งที่กระตุ้นให้เราหยุดคิดกับสิ่งที่เราทำอยู่ ณ ขณะนี้ ว่าเราพอใจกับสิ่งที่เราทำอยู่แล้วหรือยัง?? สิ่งที่เราทำอยู่มันถูกต้องแล้วหรือเปล่า?? เรากล้าที่จะเลือกเส้นทางที่ตัวเราเองคิดว่าถูกต้องเหมาะสมด้วยตัวของเราเองแล้วหรือยัง?? ถึงอย่างไรก็ตาม อย่างน้อยๆเราคิดว่าเราได้รู้จัก 'Edward Snowden' ไม่มากก็น้อยจากหนังเรื่องนี้แน่นอน
ขอให้มีความสุขกับการดูหนังครับ
ฝากกด like page ด้วยนะครับ
Page:
https://www.facebook.com/MoviesDelightClub/
Blog:
http://moviesdelightclub.blogspot.com/ 
Review: Snowden (Oliver Stone, 2016) เขียนโดย Form Corleone
By Form Corleone
" ความมั่นคง หรือ เสรีภาพ " หลังจาก 'Citizenfour' ของผู้กำกับหนังสารคดี 'Laura Poitras ' ในปี 2015 ทำให้ทั่วโลกตกตลึงและประสบความสําเร็จอย่างมากในปีนั้น ทำให้ในปีนี้เราได้ดูหนังชีวประวัติของ 'Edward Snowden' อดีตเจ้าหน้าที่ NSA และ CIA ที่ดูแลเกี่ยวกับด้านไอที ได้นำข้อมูลของรัฐบาลสหรัฐฯออกมาเปิดเผยสู่สายตาโลก เกี่ยวกับการเก็บข้อมูลออนไลน์และการเข้าถึงการใช้เครื่องมือสื่อสารทุกชนิดของคนอเมริการวมไปถึงคนทั่วโลก จนกลายเป็นประเด็นการเมืองและคำถามเกี่ยวกับความมั่งคงของประเทศหรือเสรีภาพของประชาชนอย่างไหนสำคัญกว่ากัน รวมไปถึง 'คนรักชาติหรือคนทรยศชาติ' จากหนังสารคดีถูกเปลี่ยนร่างสร้างโครงกลายร่างเป็นภาพยนตร์ชีวประวัติที่ตอบสนองความบังเทิงสำหรับคนทั่วไปได้อย่างสนุกมากๆ ที่สำคัญคือดูง่ายและเข้าถึงง่ายว่าตัวละครกำลังทำอะไรอยู่ และเนื้อเรื่องกำลังดำเนินไปทางไหน สำหรับคนที่ไม่เคยดู 'Citizenfour' การได้นั่งดู 'Snowden' จะทำให้เรารู้สึกมีส่วนร่วมไปกับตัวละครมาก แต่สำหรับใครที่เคยดู 'Citizenfour' เราคิดว่าความรู้สึกไม่ได้ขัดใจถึงแม้จะรู้เหตุการณ์ทั้งหมดแล้วก็ตาม หนังมีความยาว 2 ชั่วโมง 14 นาที ที่คุ้มค่ามากๆ เพราะหนังค่อยๆปูทางเรื่องราวได้อย่างแนบเนียบ พิถีพิถันเกือบจะทุกองค์ประกอบ
คำถามของเราที่มีตลอดช่วงเวลาที่นั่งดูคือ อะไรที่ทำให้ Snowden หนุ่มที่มีอนาคตไกลในหน้าที่การงานด้วยความเป็นอัจฉริยะภาพของเขา มีอาชีพที่มั่งคง ได้รับตำแหน่งต่างๆมากมาย มีครอบครัวที่ดีและคนข้างกายที่โครตจะโชคดี ทำไมถึงเลือกทางเดินชีวิตที่เสี่ยงภัยทั้งตัวเองและคนข้างกายขนาดนั้น แล้วถ้าเป็นเรา เราจะเลือกทางไหน? อาจจะดูเท่ๆ ที่ได้เปิดเผยข้อมูลลับแต่มันคุ้มกับสิ่งที่ตัวเองเสียไปหรือเปล่า? สิ่งที่ 'Edward Snowden' ทำนั้น เราคงต้องเลือกที่จะมองว่าเป็นสิ่งที่ถูกหรือสิ่งที่ผิดด้วยตัวของเราเอง เพราะทั้งหนังเรื่องนี้และหนังสารคดีท้ายสุดก็ไม่ได้ยัดเยียดว่าสิ่งที่ 'Edward Snowden' ทำนั้นมีคุณค่ามหาศาลต่อเพื่อนมนุษย์ แต่แค่สะท้อนในมุมมองที่ทำให้เราต้องคิดต่อว่าสิ่งที่รัฐบาลสหรัฐฯทำนั้น ถูกต้องแล้วหรือไม่ เราที่เป็นคนดูจะเป็นผู้ตัดสินเรื่องราวเหล่านี้ด้วยตัวของเราเอง
ข้อเสียที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของหนังคือ ศัพท์วิชาการเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์หรือศัพท์เกี่ยวกับกฎหมายต่างๆ บลาๆ ที่เข้าใจยากและไม่เข้าใจเลยด้วยซ้ำสำหรับเรา จนบางครั้งรู้สึกว่าหนังเนือยๆไปบ้างบางช่วง แต่ด้วยฝีมือการกำกับของ 'Oliver Stone' ที่ให้จังหวะลุ้นระทึกเป็นช่วงๆอยู่เสมอๆ ทำให้จากอารมณ์เนือยๆจนเกือบหลุดเพราะประโยคที่นักโปรแกรมเมอร์เข้าใจกันเองนั้นถูกเรียกกับคืนสู่เส้นทางของหนังอีกครั้ง ไม่เพียงแค่การเล่าชีวิตของตัว Snowden เองเท่านั้น หนังยังเล่าประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างแฟนสาว ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อชีวิตของเขามาก ทั้งในแง่ความคิดและการใช้ชีวิตที่มีพัฒนาการของความสัมพันธ์เรื่อยๆ ในส่วนนี้หนังก็ถ่ายทอดได้ดีไม่แพ้กัน ความสำเร็จหรือความกล้าที่จะทำอะไรที่ยิ่งใหญ่ มักจะมีใครสักคนอยู่เบื้องหลังความสำเร็จและการตัดสินใจเหล่านั้นเสมอ การแสดงของ Joseph Gordon-Levitt ในบทของ Edward Snowden ทำได้ดีมาก เรารับรู้ถึงพัฒนาการของตัวละครตัวนี้ได้เป็นอย่างดี ให้ความรู้สึกที่เหมือนตัว Snowden จริงมากๆ (จากสารคดี) เพราะตอนท้ายเรื่องหนังก็ตัดสลับจาก Joseph Gordon-Levitt เป็น Edward Snowden ตัวจริงเสียเลย และให้พูดปิดท้ายเรื่องในสิ่งที่เขาต้องการจะพูด ทำให้เรารู้สึกอินมากๆ การแสดงของ 'Shailene Woodley' ที่รับบทเป็นแฟนสาว ก็ช่วยยกให้เรารู้สึกเข้าถึงความสัมพันธ์ของคนสองคนได้ไม่น้อยเลย
สุดท้าย 'Snowden' อาจทิ้งคำถามว่าชายคนดีคือ 'คนรักชาติหรือคนทรยศชาติกันแน่' คำตอบคงอยู่ที่คนดูที่ต้องตัดสินกันเอง สำหรับเรา Edward Snowden ได้ให้แรงบรรดาลใจในการกล้าที่จะทำในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าถูกต้องโดยไม่สนใจถึงผลลัพธ์ว่ามันจะร้ายแรงแค่ไหน สิ่งที่ชายคนนี้ได้ทำนั้น เขาได้ตอบคำถามกับสิ่งที่เขาทำด้วยตัวของเขาเองแล้วและยึดมั่นในสิ่งที่เขาได้ทำจนถึงที่สุด ทั้งหมดทั้งมวลที่หนังเรื่องนี้นำเสนอนั้นได้ส่งข้อความบางสิ่งที่กระตุ้นให้เราหยุดคิดกับสิ่งที่เราทำอยู่ ณ ขณะนี้ ว่าเราพอใจกับสิ่งที่เราทำอยู่แล้วหรือยัง?? สิ่งที่เราทำอยู่มันถูกต้องแล้วหรือเปล่า?? เรากล้าที่จะเลือกเส้นทางที่ตัวเราเองคิดว่าถูกต้องเหมาะสมด้วยตัวของเราเองแล้วหรือยัง?? ถึงอย่างไรก็ตาม อย่างน้อยๆเราคิดว่าเราได้รู้จัก 'Edward Snowden' ไม่มากก็น้อยจากหนังเรื่องนี้แน่นอน
ขอให้มีความสุขกับการดูหนังครับ
ฝากกด like page ด้วยนะครับ
Page: https://www.facebook.com/MoviesDelightClub/
Blog: http://moviesdelightclub.blogspot.com/