หลายๆคนคงจะเคยมีหนี้ ไม่มากก็น้อยนะครับ บางคนมีมากจนมองไม่เห็นหนทางที่จะใช้คืน บางคนมีน้อยแต่ก็มีเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ ไม่หมดสักที บางคนมีหนี้แล้วถูกแฟนทิ้ง บางคนโดนทวงหนี้ด้วยวิธีต่างๆนาๆ ทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนเกิดได้กับคนทั่วๆไปอย่างเรา ผมก็เป็นคนหนึ่งครับ ที่ประสบปัญหาเรื่องการมีหนี้ หลายครั้งที่มืดแปดด้าน หาทางออกไม่เจอ หลายครั้งอยากจะหาทางออก แต่ไม่มีคนให้ปรึกษา เพราะอาย ไม่อยากเอาเรื่องหนี้ตัวเองไปบอกใครๆ
วันนี้ผมจะมาแชร์ ประสบการณ์ตรง ที่เจอมากับตัวเองและครอบครัวนะครับ หลายๆคนอาจจะมีปัญหาที่แย่กว่าผม หรืออาจจะเจอปัญหาที่น้อยกว่าผม แต่ที่มาเล่าวันนี้เพราะอยากแชร์แนวคิด และวิธีแก้ปัญหาต่างๆ เผื่อเรื่องนี้จะเป็นกำลังใจให้คนที่กำลังเจอปัญหาและทุกข์ใจนะครับ ถึงจะเจอปัญหารุมเร้าเข้ามาในชีวิต ผมเชื่อว่าถ้าทุกคนมีแนวคิดและกำลังใจที่ดีจะสามารถผ่านพ้นวันแย่ๆไปได้แน่นอนครับ วันนี้เลยมาขอแชร์แนวคิดประสบการณ์ตรงที่ผมเจอมา จนทำให้ผมสามารถใช้หนี้ได้หมด และผ่านพ้นปัญหามาได้จนมาถึงวันนี้ วันที่พอจะมีเงินเก็บ ถึงไม่มาก แต่ก็ภูมิใจครับ เหมือนตายแล้วเกิดใหม่เลยครับ
ต้องบอกก่อนเลยว่า เริ่มแรก ผมเกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะปานกลาง แต่ด้วยปัญหาเศรษฐกิจในช่วงปี 39-40 เลยทำให้ ครอบครัวผม ล้มละลาย ทั้งพ่อและแม่ โดนฟ้องล้มละลายทั้งคู่ ทางบ้านขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรง จนผมมีปัญหาในการจ่ายค่าเทอม และตอนนั้นอยู่ในช่วงปีสุดท้ายของการเรียนพอดี ความโชคดีของผมคือผมสอบได้ทุนของคณะและมหาวิทยาลัยไปฝึกงานต่างประเทศ แต่ ผมไม่มีเงินไปครับ เพราะคณะออกให้เพียงส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งต้องซัพพอตเอง สุดท้ายก็มีอาจารย์ใจดี ให้กู้ยืมเงิน จำนวน 8 หมื่นบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจากทุนที่ได้จากมหาวิทยาลัยมา ในการจ่ายค่าเทอมและจ่ายค่าไปฝึกงานต่างประเทศ ซึ่งนี่
เป็นจุดเริ่มต้นของภาระหนี้ของผมและเป็นจุดเริ่มต้นการเดินทางในครั้งนี้
ข้อคิดที่ 1.ตั้งสติให้ดีเวลาเจอเรื่องร้ายๆ
หลังจากกลับมาจากการฝึกงานที่ต่างประเทศ ผมก็ได้รับข่าวดีจาก อาจารย์ท่านหนึ่ง ท่านได้ recommend ให้ผมได้เข้าทำงาน เป็นเซลล์ ในบริษัทๆหนึ่ง ซึ่งผมก็ได้ไปสอบสัมภาษณ์ และได้รับเข้าทำงานตั้งแต่ตังเองยังเรียนไม่จบ ซึ่งตอนนั้นเป็นปีสุดท้ายของการเรียน และเหลืออีกเพียง 4 เดือนผมก็จะจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย ทางบริษัท เลยรับผมเข้าทำงานก่อน และผมก็ใช้เวลาที่เหลืออีก4 เดือนทำโปรแจ็คจบ พร้อมกับทำงานไปด้วย ซึ่งอาจารย์ก็ยินดี และให้โอกาสผมได้ทำงานและเรียนไปพร้อมๆกัน
ฟังมาถึงตรงนี้หลายๆคนอาจจะคิดว่า ชีวิตผมมันก็ดีหนิ ไม่เห็นมีอะไรน่ากังวล แต่จริงๆไม่ใช่เลยครับ นี่เป็นแค่การเริ่มต้นของภาระหนี้ทั้งหลาย ในช่วงเวลาเดียวกันนี้เอง เมื่อทางบ้านถูกฟ้องล้มละลาย พ่อ กับแม่ผม ก็แยกทางกัน พ่อผมรับไม่ได้ หายไปเลยเต็มๆ 3 เดือน โดยที่ผมและน้องๆอีก2 คน ไม่รู้ว่าพ่อหายไปไหน เป็นตายร้ายดียังไง ทิ้งไว้ให้แม่และผมกับน้องอยู่ด้วยกัน 4 คน ตอนนั้นทั้งครอบครัวแทบจะไม่มีเงินเหลือเลย มันทำให้ผมต้องรีบออกไปทำงาน และหาเงินมาจุนเจือครอบครัว
เช้าวันหนึ่ง ที่หน้าบ้าน เวลาประมาณ ตี 4 ก็มีเสียงดัง
“ ปั้ง!!! ปั้ง!!! ” ขึ้น 2 ครั้ง ผมและน้องๆตกใจมาก รีบวิ่งลงมาจากบ้านมาดู ปรากฏว่ารถของแม่ผมกระจกแตก และมีรูอยู่ข้างประตูรถอีก 1 รู ผมกับน้องโทรแจ้งตำรวจและหลบอยู่ในบ้าน ตอนนั้นรู้สึกกลัวมากครับ แต่ก็ได้แต่ตั้งสติ และบอกให้ทุกคนไม่ต้องกลัว เพราะถ้าผมกลัว แม่กับน้องก็คงยิ่งกลัวไปกว่าเดิม คนแถวนั้นบอกว่า มีมือปืน มายิ่งรถของแม่ผม เนื่องจาก เงินที่เคยยืมไปทำธุรกิจ หมดไปกับกิจการที่ถูกฟ้องล้มละลาย เจ้าหนี้เลยมาขู่ เพื่อที่จะเอาเงินคืน ตอนนั้น รู้สึกแย่มากๆ และหวาดกลัว เพราะไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อนในชีวิต ทำให้รู้เลยว่า จริงๆแล้ว ชีวิตเราจบได้ง่ายๆ มันไม่เป็นเหมือนที่วาดฝันไว้ในตอนเด็กๆ ผมได้แต่ปลอบใจน้องๆไม่ให้กลัว ทั้งๆที่ตัวเองก็กลัวจนฉี่จะราดอยู่แล้ว หลังจากวันนั้นทุกคนก็อยู่ด้วยความหวาดระแวง แทบไม่กล้าออกไปไหน
แต่ความคิดผมก็เปลี่ยนครับ มานั่งคิดทบทวน ว่าถ้าเรามัวแต่กลัว ไม่ออกไปทำงาน ชีวิตพวกเราคงจบกันแค่นี้ เป็นครั้งแรกที่ผมพูดกับตัวเองว่า ต่อไปนี้เวลาจะทำอะไร หรือมีเรื่องอะไรที่เหนือความคาดหมาย
เราควรตั้งสติให้ได้เร็วที่สุด อย่าตื่นตระหนกไปกับมัน ไม่งั้นเราจะหาทางออกไม่ได้ และจมกับปัญหาในที่สุด
ข้อคิดที่ 2.ถ้าหมดหนทางจริงๆการกู้นอกระบบหรือขายของเข้าตลาดมืดควรเป็นสิ่งสุดท้ายที่จะทำ
ณ เวลานั้น หนี้ก้อนที่สองผมก็ตามมา แม่ผมต้องวิ่งไปยืมเงินจากญาติๆ และคนรู้จัก เพื่อที่จะเอามาจ่ายหนี้ที่จำเป็นต้องจ่ายก่อน เงินที่ไปยืมญาติมารวมๆประมาณ 2 แสน และแม่ผมก็นำรถที่มี ไปขาย เพื่อเอาเงินมาเป็นค่าเทอมให้ผมและน้องๆ ส่วนรถที่ขาย ก็ยังติดไฟแนนซ์อยู่ 3 แสน แม่ผมเอาไปขายในตลาดมืด ซึ่งได้เงินมา5 หมื่น แลกกับการขายรถไปทั้งคัน แบบที่ยังติดไฟแนนซ์ ทุกวันนี้ก็ยังไม่เคยเจอคนเอามาขับเลยครับ น่าจะเอาไปขายประเทศเพื่อนบ้านเรียบร้อยแล้ว หนี้รถในไฟแนนซ์ตอนนั้นคือ 3 แสนบาท ซึ่งตอนนั้น แม่ผมคงไม่มีทางเลือกจริงๆ เพราะสถานการณ์บังคับ ทั้งเจ้าหนี้มาทวง และค่าใช้จ่ายในบ้านอีกมากมาย ซึ่งต้องบอกว่าถ้าผมย้อนกลับไปได้คงไม่ให้แม่ทำแบบนี้ เพราะรถก็ไม่ได้ใช้แถม ต้องมานั่งใช้หนี้ไฟแนนซ์อีก ไม่ต่างกับการต้องจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้นอกระบบเลย เพราะได้เงินมา 5หมื่น ต้องจ่ายดอกเบี้ยถึง3 แสน
ถ้าคุณหาทางออกไม่ได้จริงๆเงินกู้นอกระบบ และขายของเข้าตลาดมืด ควรจะเป็นทางเลือกสุดท้ายที่คุณควรจะทำ เพราะคุณจะเสียเยอะกว่าที่คุณได้มา หลายเท่าตัวครับ
ข้อคิดที่ 3.อะไรที่เสียไปหรือพลาดไป อย่าไปเสียดาย หาใหม่ได้ ไม่งั้นคุณจะหาทางออกไม่ได้เพราะความคิดเสียดายของคุณนั้นแหละ
มาถึงตอนนี้ ผมมีหนี้ที่ต้องใช้คืน 8หมื่น+2แสน+3แสน รวมๆก็ เกือบๆ หกแสนบาท และหลังจากที่ผมเรียนจบและได้งานทำ บ้านที่เราอยู่ก็ถูกนำเข้ากรมบังคับคดี(บ้านในที่นี่คืออาคารพาณิชย์ที่เราอยู่นะครับผมขอเรียกว่าบ้านนะครับ) และถูกนำไปประมูลขายทอดตลาด ตอนนั้น ผมไม่มีความรู้เรื่องการทำธุรกิจอะไรเลย รู้แต่ว่า ยังไงต้องเอาบ้านหลังนี้ขึ้นมาให้ได้ เพราะเป็นบ้านที่อยู่มาตั้งแต่เด็กๆ และครอบครัวผมก็รักบ้านหลังนี้มากๆ ตอนนั้น ทำงานมาได้ 4 เดือน ไม่มีเงินเก็บสักบาท เพราะผมต้องส่งน้อง 2 คนเรียน(ตอนนั้นน้องอยู่ ม.6และ ปี1) แต่กลับต้องมารับภาระหนี้เพิ่ม จากการที่ต้องประมูลบ้านขึ้นมาจากกองบังคับคดี ยอดทั้งหมดในการซื้อบ้าน คือ 6.8 ล้าน เพราะเป็นอาคารพาณิชย์ 2 ห้อง กลางใจเมือง ผมไม่มีทางเลือก ต้องไปกู้เงินมาซื้อ ทั้งๆที่เครดิตก็ยังไม่มี และตอนนั้น ก็เป็นหนี้รถในชื่อของผม อีก 1 ล้าน(รวมดอกเบี้ย) ราคารถจริงๆประมาน 8.4 แสน ซึ่งผมจำเป็นต้องใช้รถในตอนนั้น เพราะอาชีพที่ทำคือ เซลล์ ไม่มีรถก็ทำงานไม่ได้ และตอนนั้นจะใช้รถเล็กๆก็ไม่ได้เพราะต้องเดินทางหลายจังหวัดมากๆ เลยจำเป็นต้องออกรถที่สมรรถนะโอเคหน่อยไม่เล็กจนเกินไป ตอนนั้นอาศัยว่า ดาวน้อยมากครับ แค่30 บาท เพราะมีแคมเปญพิเศษพอดี แต่ต้องผ่อนหนัก เดือนละประมาณ 17,000 บาท ซึ่งสุดท้าย ธนาคารก็ยอมให้ผมกู้ซื้อบ้าน ในราคา 6.8 ล้าน แบบผมก็งงๆ ว่ามันกู้ผ่านไปได้ยังไง เพราะใช้แค่สลิปคาร์บอนกับบัญชีหมุนเวียนไปยื่น
ตอนนั้นทั้ง ดีใจที่บ้านยังอยู่กับเรา และอีกใจก็ทุกข์มากๆ เพราะต้องผ่อน เดือนละ 52,000 บาท พอรวมกับค่ารถแล้ว ก็เดือนละ 69,000 บาท ไหนจะต้องส่งเงินให้น้อง คนละ4,000 บาท ทุกเดือน รวม8,000 บาท และไหนจะต้องจ่ายหนี้ อาจารย์ที่ผมไปกู้ยืมมาอีก และหนี้ของครอบครัว ที่มีเจ้าหนี้และญาติๆมาทวง แบบรายวัน ตอนนั้นต้องบอกว่า แทบจะเป็นโรคประสาทครับ มาคิดย้อนกลับไป ผมไม่ควรเสียดายบ้านของผมเลย ควรปล่อยมันไปและ เริ่มต้นชีวิตใหม่ ซึ่งอาจจะไม่ต้องทุกข์ทนหาเงินมาผ่อนแบบนี้ แต่นี่คือประสบการณ์ชั้นเยี่ยมครับ เพราะสอนให้ผมรู้ว่า
อะไรที่พลาดไป ถ้าเก็บกลับมาแล้วเราเป็นทุกข์เราก็ควรจะปล่อยมันไปไม่ควรเอามาเป็นอุปสรรคในชีวิตอีก
ข้อคิดที่4. บางทีเราจะเจอศาสตร์ด้านมืดโดยที่เราไม่รู้ตัว หมั่นสวดมนต์และทำดีเข้าไว้แล้วจะผ่านมันไปเอง
หลังจากทำงานมาได้ 8 เดือน ผมเริ่มมีความรู้สึกว่า มีเรื่องไม่ดีเข้ามาอยู่เรื่อยๆ มีคนมายืนด่าอยู่หน้าบ้านเพื่อทวงหนี้บ่อยขึ้น และมีปัญหาภายในครอบครัวระหว่างพ่อกับแม่ผมเป็นอย่างมาก ทั้งๆที่ก็เลิกกันไปแล้ว วันหนึ่งผมกับน้องช่วยกันทำความสะอาดบ้าน โดยยกลังไม้ที่วางอยู่ตรงบริเวณหน้าบ้านออก สิ่งที่ผมเห็น แทบจะไม่เชื่อตาตัวเองครับ มีถุงพลาสติก ห่ออุจจาระในนั้น และมีผ้ายันต์และมีองค์พระเล็กๆ 4-5 องค์ มัดรวมอยู่กับก้อนอุจจาระนั้น ตัวองค์พระเขียนว่าหลวงพ่อพระไสย ตัวผมเองไม่มีความรู้เรื่องไสยศาสตร์อะไรทั้งสิ้น ได้แต่เอาถุงพลาสติกนี้ ไปทิ้งอยู่ใต้ต้นโพธิ์ที่วัด ในบริเวณที่เค้าเอาไว้ ศาลและรูปปั้นพระที่ชำรุด กองรวมๆกันไว้ ผมหาเจอ ตอนประมาณ 5 ทุ่ม เอาไปไว้วัดตอนเที่ยงคืนครับ ขนลุกตลอดทาง ที่มากกว่านั้นคือ หมาพร้อมใจหอนพร้อมกัน ตอนเอาถุงไปวางใต้ต้นโพธิ์ ผมกับน้อง รีบขับรถกลับบ้านทั้งๆที่ยังขนลุกสู้ทั้งตัว
ผมไม่รู้ว่ามันเป็นสาเหตุที่ทำให้ คนในครอบครัวของเราทะเลากันบ่อยไหม หลังจากนั้น ผมก็สวดมนต์ไหว้พระ บ่อยขึ้น จากที่ไม่เคยสวดเลย ก็เริ่มที่จะหันมาสวดบ้าง บางทีก็สวดต่อกันเป็นอาทิตย์ แล้วแต่ว่าเหนื่อยจากการทำงานมาแค่ไหน ส่วนตัวคิดว่ามันช่วยให้จิตใจเราสงบ และสิ่งที่ไม่ดีก็จะผ่านพ้นไปเอง ยังไงใครมีปัญหาทุกร้อนใจเหมือนผม แนะนำเลยครับ สวดมนต์ แพร่เมตตา ช่วยได้เยอะมากๆในเรื่องจิตใจครับ
ข้อคิดที่ 5. เมื่อเป็นหนี้ อย่าหนีครับ ต้องใช้คืนให้หมด แต่จะช้าเร็ว ต้องคุยกับเจ้าหนี้ทุกรายให้รู้เรื่อง และหามาใช้คืนให้ได้ เพราะไม่งั้นมันจะเป็นตราปาปไปตลอดชีวิตของคุณ
สรุป ณ ตอนนั้น ผมมีหนี้
-80,000 ที่ยืมอาจารย์มา (ผ่อนเดือนละ 5,000)
-3 แสน หนี้รถที่แม่ผมติดไฟแนนท์ (ขอเลื่อนชำระหนี้)
-2 แสน ที่ไปยืมญาติๆมา (ขอผ่อนผันไปก่อน)
-1 ล้านค่ารถผมเองที่ใช้ทำงาน (ผ่อน 17,000)
-6.8 ล้าน กู้ซื้ออาคารพาณิชย์ที่ถูกยึด (ผ่อน52,000)
-8,000 ค่ากินอยู่รายเดือนของน้องๆ2 คน คนละ4 พันบาท
ทั้งเดือนต้องจ่ายประมาณ82,000บาทต่อเดือน
นี่ยังไม่รวมค่ากินอยู่และค่าเช่าห้องพักของผม ซึ่งก็รวมๆประมาน 7-8 พันบาทต่อเดือน แต่ยังโชคดีที่ บริษัทของผมให้ค่าน้ำมัน ค่าโรงแรม และอาหาร แบบเหมารวม ผม เลยเบาภาระตรงนี้ไปพอสมควร และสิ่งที่ผมเลือกที่จะทำเป็นอย่างแรกคือ ขอผ่อนผันภาระหนี้กับเจ้าหนี้ที่คิดว่าจะทำได้ก่อนครับ เพราะถ้าให้จ่ายพร้อมๆกันคงตายแน่ๆ เลือกก่อนเลยครับ อันไหนสำคัญอันไหนไม่สำคัญ ผมเลือกที่จะคุยกับไฟแนนซ์รถของแม่ผมก่อนเลย เพราะรถก็ไม่อยู่แล้ว เป็นหนี้ที่ไร้ประโยชน์มากๆ หนี้ตัวอื่นๆสำคัญมากกว่า ผมขอระยะเวลา 1-2 ปีในการเริ่มผ่อนชำระหนี้ จริงๆทางไฟแนนซ์ก็ไม่ยอมหรอกครับ แต่ผมก็บอกไป ว่าไม่มีจริงๆ แต่จะใช้คืนแน่ๆ ให้พี่ติดต่อมาเรื่อยๆ ถ้าผมมี ผมจะเริ่มจ่ายให้จนครบ ไม่ต้องห่วง ซึ่งก็ได้ผลครับ ติดต่อมาทุกเดือน 555 แต่ผมก็ขอผลัดไปเรื่อยๆ ทำอะไรไม่ได้ครับ ผมยังไม่มีเงิน และเจ้าหนี้ที่เป็นญาติๆ บางรายก็ยอมให้เลื่อนการชำระหนี้ไป บางรายก็ไม่ยอมครับ ก็จ่ายให้ตามกำลังที่ผมพอจะมี ส่วนบ้านและรถของผม คงผ่อนผันไม่ได้เพราะพึ่งกู้มา เดี๋ยวเครดิตจะเสียเอา พาลให้ทำธุรกิจอย่างอื่นไม่ได้อีก ถ้าเพื่อนๆเจอปัญหาหนี้รุมเร้าแบบผม คุยกับเจ้าหนี้เลยครับ ถ้าเราแสดงความจริงใจที่จะใช้คืนแน่ๆ ยังไงบางคนก็ต้องเห็นใจบ้างไม่มากก็น้อย ดีกว่าทิ้งล้าง ไม่ติดต่อ หรือหนีหายไปดื้อๆนะครับ เพราะเป็นปาปทั้งต่อตัวเรา และ
ดีไม่ดีลูกเราต้องมารับผลกรรมแทนเราด้วยนะครับ

ต่อด้านล่างคับ
17ข้อคิด จากคนที่มีหนี้ตั้งแต่เรียนจบ8ล้าน จนมาถึงวันนี้ปลดหนี้ และมีเงินเก็บ1ล้านบาท
วันนี้ผมจะมาแชร์ ประสบการณ์ตรง ที่เจอมากับตัวเองและครอบครัวนะครับ หลายๆคนอาจจะมีปัญหาที่แย่กว่าผม หรืออาจจะเจอปัญหาที่น้อยกว่าผม แต่ที่มาเล่าวันนี้เพราะอยากแชร์แนวคิด และวิธีแก้ปัญหาต่างๆ เผื่อเรื่องนี้จะเป็นกำลังใจให้คนที่กำลังเจอปัญหาและทุกข์ใจนะครับ ถึงจะเจอปัญหารุมเร้าเข้ามาในชีวิต ผมเชื่อว่าถ้าทุกคนมีแนวคิดและกำลังใจที่ดีจะสามารถผ่านพ้นวันแย่ๆไปได้แน่นอนครับ วันนี้เลยมาขอแชร์แนวคิดประสบการณ์ตรงที่ผมเจอมา จนทำให้ผมสามารถใช้หนี้ได้หมด และผ่านพ้นปัญหามาได้จนมาถึงวันนี้ วันที่พอจะมีเงินเก็บ ถึงไม่มาก แต่ก็ภูมิใจครับ เหมือนตายแล้วเกิดใหม่เลยครับ
ต้องบอกก่อนเลยว่า เริ่มแรก ผมเกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะปานกลาง แต่ด้วยปัญหาเศรษฐกิจในช่วงปี 39-40 เลยทำให้ ครอบครัวผม ล้มละลาย ทั้งพ่อและแม่ โดนฟ้องล้มละลายทั้งคู่ ทางบ้านขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรง จนผมมีปัญหาในการจ่ายค่าเทอม และตอนนั้นอยู่ในช่วงปีสุดท้ายของการเรียนพอดี ความโชคดีของผมคือผมสอบได้ทุนของคณะและมหาวิทยาลัยไปฝึกงานต่างประเทศ แต่ ผมไม่มีเงินไปครับ เพราะคณะออกให้เพียงส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งต้องซัพพอตเอง สุดท้ายก็มีอาจารย์ใจดี ให้กู้ยืมเงิน จำนวน 8 หมื่นบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจากทุนที่ได้จากมหาวิทยาลัยมา ในการจ่ายค่าเทอมและจ่ายค่าไปฝึกงานต่างประเทศ ซึ่งนี่ เป็นจุดเริ่มต้นของภาระหนี้ของผมและเป็นจุดเริ่มต้นการเดินทางในครั้งนี้
ข้อคิดที่ 1.ตั้งสติให้ดีเวลาเจอเรื่องร้ายๆ
หลังจากกลับมาจากการฝึกงานที่ต่างประเทศ ผมก็ได้รับข่าวดีจาก อาจารย์ท่านหนึ่ง ท่านได้ recommend ให้ผมได้เข้าทำงาน เป็นเซลล์ ในบริษัทๆหนึ่ง ซึ่งผมก็ได้ไปสอบสัมภาษณ์ และได้รับเข้าทำงานตั้งแต่ตังเองยังเรียนไม่จบ ซึ่งตอนนั้นเป็นปีสุดท้ายของการเรียน และเหลืออีกเพียง 4 เดือนผมก็จะจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย ทางบริษัท เลยรับผมเข้าทำงานก่อน และผมก็ใช้เวลาที่เหลืออีก4 เดือนทำโปรแจ็คจบ พร้อมกับทำงานไปด้วย ซึ่งอาจารย์ก็ยินดี และให้โอกาสผมได้ทำงานและเรียนไปพร้อมๆกัน
ฟังมาถึงตรงนี้หลายๆคนอาจจะคิดว่า ชีวิตผมมันก็ดีหนิ ไม่เห็นมีอะไรน่ากังวล แต่จริงๆไม่ใช่เลยครับ นี่เป็นแค่การเริ่มต้นของภาระหนี้ทั้งหลาย ในช่วงเวลาเดียวกันนี้เอง เมื่อทางบ้านถูกฟ้องล้มละลาย พ่อ กับแม่ผม ก็แยกทางกัน พ่อผมรับไม่ได้ หายไปเลยเต็มๆ 3 เดือน โดยที่ผมและน้องๆอีก2 คน ไม่รู้ว่าพ่อหายไปไหน เป็นตายร้ายดียังไง ทิ้งไว้ให้แม่และผมกับน้องอยู่ด้วยกัน 4 คน ตอนนั้นทั้งครอบครัวแทบจะไม่มีเงินเหลือเลย มันทำให้ผมต้องรีบออกไปทำงาน และหาเงินมาจุนเจือครอบครัว
เช้าวันหนึ่ง ที่หน้าบ้าน เวลาประมาณ ตี 4 ก็มีเสียงดัง “ ปั้ง!!! ปั้ง!!! ” ขึ้น 2 ครั้ง ผมและน้องๆตกใจมาก รีบวิ่งลงมาจากบ้านมาดู ปรากฏว่ารถของแม่ผมกระจกแตก และมีรูอยู่ข้างประตูรถอีก 1 รู ผมกับน้องโทรแจ้งตำรวจและหลบอยู่ในบ้าน ตอนนั้นรู้สึกกลัวมากครับ แต่ก็ได้แต่ตั้งสติ และบอกให้ทุกคนไม่ต้องกลัว เพราะถ้าผมกลัว แม่กับน้องก็คงยิ่งกลัวไปกว่าเดิม คนแถวนั้นบอกว่า มีมือปืน มายิ่งรถของแม่ผม เนื่องจาก เงินที่เคยยืมไปทำธุรกิจ หมดไปกับกิจการที่ถูกฟ้องล้มละลาย เจ้าหนี้เลยมาขู่ เพื่อที่จะเอาเงินคืน ตอนนั้น รู้สึกแย่มากๆ และหวาดกลัว เพราะไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อนในชีวิต ทำให้รู้เลยว่า จริงๆแล้ว ชีวิตเราจบได้ง่ายๆ มันไม่เป็นเหมือนที่วาดฝันไว้ในตอนเด็กๆ ผมได้แต่ปลอบใจน้องๆไม่ให้กลัว ทั้งๆที่ตัวเองก็กลัวจนฉี่จะราดอยู่แล้ว หลังจากวันนั้นทุกคนก็อยู่ด้วยความหวาดระแวง แทบไม่กล้าออกไปไหน
แต่ความคิดผมก็เปลี่ยนครับ มานั่งคิดทบทวน ว่าถ้าเรามัวแต่กลัว ไม่ออกไปทำงาน ชีวิตพวกเราคงจบกันแค่นี้ เป็นครั้งแรกที่ผมพูดกับตัวเองว่า ต่อไปนี้เวลาจะทำอะไร หรือมีเรื่องอะไรที่เหนือความคาดหมาย เราควรตั้งสติให้ได้เร็วที่สุด อย่าตื่นตระหนกไปกับมัน ไม่งั้นเราจะหาทางออกไม่ได้ และจมกับปัญหาในที่สุด
ข้อคิดที่ 2.ถ้าหมดหนทางจริงๆการกู้นอกระบบหรือขายของเข้าตลาดมืดควรเป็นสิ่งสุดท้ายที่จะทำ
ณ เวลานั้น หนี้ก้อนที่สองผมก็ตามมา แม่ผมต้องวิ่งไปยืมเงินจากญาติๆ และคนรู้จัก เพื่อที่จะเอามาจ่ายหนี้ที่จำเป็นต้องจ่ายก่อน เงินที่ไปยืมญาติมารวมๆประมาณ 2 แสน และแม่ผมก็นำรถที่มี ไปขาย เพื่อเอาเงินมาเป็นค่าเทอมให้ผมและน้องๆ ส่วนรถที่ขาย ก็ยังติดไฟแนนซ์อยู่ 3 แสน แม่ผมเอาไปขายในตลาดมืด ซึ่งได้เงินมา5 หมื่น แลกกับการขายรถไปทั้งคัน แบบที่ยังติดไฟแนนซ์ ทุกวันนี้ก็ยังไม่เคยเจอคนเอามาขับเลยครับ น่าจะเอาไปขายประเทศเพื่อนบ้านเรียบร้อยแล้ว หนี้รถในไฟแนนซ์ตอนนั้นคือ 3 แสนบาท ซึ่งตอนนั้น แม่ผมคงไม่มีทางเลือกจริงๆ เพราะสถานการณ์บังคับ ทั้งเจ้าหนี้มาทวง และค่าใช้จ่ายในบ้านอีกมากมาย ซึ่งต้องบอกว่าถ้าผมย้อนกลับไปได้คงไม่ให้แม่ทำแบบนี้ เพราะรถก็ไม่ได้ใช้แถม ต้องมานั่งใช้หนี้ไฟแนนซ์อีก ไม่ต่างกับการต้องจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้นอกระบบเลย เพราะได้เงินมา 5หมื่น ต้องจ่ายดอกเบี้ยถึง3 แสน ถ้าคุณหาทางออกไม่ได้จริงๆเงินกู้นอกระบบ และขายของเข้าตลาดมืด ควรจะเป็นทางเลือกสุดท้ายที่คุณควรจะทำ เพราะคุณจะเสียเยอะกว่าที่คุณได้มา หลายเท่าตัวครับ
ข้อคิดที่ 3.อะไรที่เสียไปหรือพลาดไป อย่าไปเสียดาย หาใหม่ได้ ไม่งั้นคุณจะหาทางออกไม่ได้เพราะความคิดเสียดายของคุณนั้นแหละ
มาถึงตอนนี้ ผมมีหนี้ที่ต้องใช้คืน 8หมื่น+2แสน+3แสน รวมๆก็ เกือบๆ หกแสนบาท และหลังจากที่ผมเรียนจบและได้งานทำ บ้านที่เราอยู่ก็ถูกนำเข้ากรมบังคับคดี(บ้านในที่นี่คืออาคารพาณิชย์ที่เราอยู่นะครับผมขอเรียกว่าบ้านนะครับ) และถูกนำไปประมูลขายทอดตลาด ตอนนั้น ผมไม่มีความรู้เรื่องการทำธุรกิจอะไรเลย รู้แต่ว่า ยังไงต้องเอาบ้านหลังนี้ขึ้นมาให้ได้ เพราะเป็นบ้านที่อยู่มาตั้งแต่เด็กๆ และครอบครัวผมก็รักบ้านหลังนี้มากๆ ตอนนั้น ทำงานมาได้ 4 เดือน ไม่มีเงินเก็บสักบาท เพราะผมต้องส่งน้อง 2 คนเรียน(ตอนนั้นน้องอยู่ ม.6และ ปี1) แต่กลับต้องมารับภาระหนี้เพิ่ม จากการที่ต้องประมูลบ้านขึ้นมาจากกองบังคับคดี ยอดทั้งหมดในการซื้อบ้าน คือ 6.8 ล้าน เพราะเป็นอาคารพาณิชย์ 2 ห้อง กลางใจเมือง ผมไม่มีทางเลือก ต้องไปกู้เงินมาซื้อ ทั้งๆที่เครดิตก็ยังไม่มี และตอนนั้น ก็เป็นหนี้รถในชื่อของผม อีก 1 ล้าน(รวมดอกเบี้ย) ราคารถจริงๆประมาน 8.4 แสน ซึ่งผมจำเป็นต้องใช้รถในตอนนั้น เพราะอาชีพที่ทำคือ เซลล์ ไม่มีรถก็ทำงานไม่ได้ และตอนนั้นจะใช้รถเล็กๆก็ไม่ได้เพราะต้องเดินทางหลายจังหวัดมากๆ เลยจำเป็นต้องออกรถที่สมรรถนะโอเคหน่อยไม่เล็กจนเกินไป ตอนนั้นอาศัยว่า ดาวน้อยมากครับ แค่30 บาท เพราะมีแคมเปญพิเศษพอดี แต่ต้องผ่อนหนัก เดือนละประมาณ 17,000 บาท ซึ่งสุดท้าย ธนาคารก็ยอมให้ผมกู้ซื้อบ้าน ในราคา 6.8 ล้าน แบบผมก็งงๆ ว่ามันกู้ผ่านไปได้ยังไง เพราะใช้แค่สลิปคาร์บอนกับบัญชีหมุนเวียนไปยื่น
ตอนนั้นทั้ง ดีใจที่บ้านยังอยู่กับเรา และอีกใจก็ทุกข์มากๆ เพราะต้องผ่อน เดือนละ 52,000 บาท พอรวมกับค่ารถแล้ว ก็เดือนละ 69,000 บาท ไหนจะต้องส่งเงินให้น้อง คนละ4,000 บาท ทุกเดือน รวม8,000 บาท และไหนจะต้องจ่ายหนี้ อาจารย์ที่ผมไปกู้ยืมมาอีก และหนี้ของครอบครัว ที่มีเจ้าหนี้และญาติๆมาทวง แบบรายวัน ตอนนั้นต้องบอกว่า แทบจะเป็นโรคประสาทครับ มาคิดย้อนกลับไป ผมไม่ควรเสียดายบ้านของผมเลย ควรปล่อยมันไปและ เริ่มต้นชีวิตใหม่ ซึ่งอาจจะไม่ต้องทุกข์ทนหาเงินมาผ่อนแบบนี้ แต่นี่คือประสบการณ์ชั้นเยี่ยมครับ เพราะสอนให้ผมรู้ว่า อะไรที่พลาดไป ถ้าเก็บกลับมาแล้วเราเป็นทุกข์เราก็ควรจะปล่อยมันไปไม่ควรเอามาเป็นอุปสรรคในชีวิตอีก
ข้อคิดที่4. บางทีเราจะเจอศาสตร์ด้านมืดโดยที่เราไม่รู้ตัว หมั่นสวดมนต์และทำดีเข้าไว้แล้วจะผ่านมันไปเอง
หลังจากทำงานมาได้ 8 เดือน ผมเริ่มมีความรู้สึกว่า มีเรื่องไม่ดีเข้ามาอยู่เรื่อยๆ มีคนมายืนด่าอยู่หน้าบ้านเพื่อทวงหนี้บ่อยขึ้น และมีปัญหาภายในครอบครัวระหว่างพ่อกับแม่ผมเป็นอย่างมาก ทั้งๆที่ก็เลิกกันไปแล้ว วันหนึ่งผมกับน้องช่วยกันทำความสะอาดบ้าน โดยยกลังไม้ที่วางอยู่ตรงบริเวณหน้าบ้านออก สิ่งที่ผมเห็น แทบจะไม่เชื่อตาตัวเองครับ มีถุงพลาสติก ห่ออุจจาระในนั้น และมีผ้ายันต์และมีองค์พระเล็กๆ 4-5 องค์ มัดรวมอยู่กับก้อนอุจจาระนั้น ตัวองค์พระเขียนว่าหลวงพ่อพระไสย ตัวผมเองไม่มีความรู้เรื่องไสยศาสตร์อะไรทั้งสิ้น ได้แต่เอาถุงพลาสติกนี้ ไปทิ้งอยู่ใต้ต้นโพธิ์ที่วัด ในบริเวณที่เค้าเอาไว้ ศาลและรูปปั้นพระที่ชำรุด กองรวมๆกันไว้ ผมหาเจอ ตอนประมาณ 5 ทุ่ม เอาไปไว้วัดตอนเที่ยงคืนครับ ขนลุกตลอดทาง ที่มากกว่านั้นคือ หมาพร้อมใจหอนพร้อมกัน ตอนเอาถุงไปวางใต้ต้นโพธิ์ ผมกับน้อง รีบขับรถกลับบ้านทั้งๆที่ยังขนลุกสู้ทั้งตัว
ผมไม่รู้ว่ามันเป็นสาเหตุที่ทำให้ คนในครอบครัวของเราทะเลากันบ่อยไหม หลังจากนั้น ผมก็สวดมนต์ไหว้พระ บ่อยขึ้น จากที่ไม่เคยสวดเลย ก็เริ่มที่จะหันมาสวดบ้าง บางทีก็สวดต่อกันเป็นอาทิตย์ แล้วแต่ว่าเหนื่อยจากการทำงานมาแค่ไหน ส่วนตัวคิดว่ามันช่วยให้จิตใจเราสงบ และสิ่งที่ไม่ดีก็จะผ่านพ้นไปเอง ยังไงใครมีปัญหาทุกร้อนใจเหมือนผม แนะนำเลยครับ สวดมนต์ แพร่เมตตา ช่วยได้เยอะมากๆในเรื่องจิตใจครับ
ข้อคิดที่ 5. เมื่อเป็นหนี้ อย่าหนีครับ ต้องใช้คืนให้หมด แต่จะช้าเร็ว ต้องคุยกับเจ้าหนี้ทุกรายให้รู้เรื่อง และหามาใช้คืนให้ได้ เพราะไม่งั้นมันจะเป็นตราปาปไปตลอดชีวิตของคุณ
สรุป ณ ตอนนั้น ผมมีหนี้
-80,000 ที่ยืมอาจารย์มา (ผ่อนเดือนละ 5,000)
-3 แสน หนี้รถที่แม่ผมติดไฟแนนท์ (ขอเลื่อนชำระหนี้)
-2 แสน ที่ไปยืมญาติๆมา (ขอผ่อนผันไปก่อน)
-1 ล้านค่ารถผมเองที่ใช้ทำงาน (ผ่อน 17,000)
-6.8 ล้าน กู้ซื้ออาคารพาณิชย์ที่ถูกยึด (ผ่อน52,000)
-8,000 ค่ากินอยู่รายเดือนของน้องๆ2 คน คนละ4 พันบาท
ทั้งเดือนต้องจ่ายประมาณ82,000บาทต่อเดือน
นี่ยังไม่รวมค่ากินอยู่และค่าเช่าห้องพักของผม ซึ่งก็รวมๆประมาน 7-8 พันบาทต่อเดือน แต่ยังโชคดีที่ บริษัทของผมให้ค่าน้ำมัน ค่าโรงแรม และอาหาร แบบเหมารวม ผม เลยเบาภาระตรงนี้ไปพอสมควร และสิ่งที่ผมเลือกที่จะทำเป็นอย่างแรกคือ ขอผ่อนผันภาระหนี้กับเจ้าหนี้ที่คิดว่าจะทำได้ก่อนครับ เพราะถ้าให้จ่ายพร้อมๆกันคงตายแน่ๆ เลือกก่อนเลยครับ อันไหนสำคัญอันไหนไม่สำคัญ ผมเลือกที่จะคุยกับไฟแนนซ์รถของแม่ผมก่อนเลย เพราะรถก็ไม่อยู่แล้ว เป็นหนี้ที่ไร้ประโยชน์มากๆ หนี้ตัวอื่นๆสำคัญมากกว่า ผมขอระยะเวลา 1-2 ปีในการเริ่มผ่อนชำระหนี้ จริงๆทางไฟแนนซ์ก็ไม่ยอมหรอกครับ แต่ผมก็บอกไป ว่าไม่มีจริงๆ แต่จะใช้คืนแน่ๆ ให้พี่ติดต่อมาเรื่อยๆ ถ้าผมมี ผมจะเริ่มจ่ายให้จนครบ ไม่ต้องห่วง ซึ่งก็ได้ผลครับ ติดต่อมาทุกเดือน 555 แต่ผมก็ขอผลัดไปเรื่อยๆ ทำอะไรไม่ได้ครับ ผมยังไม่มีเงิน และเจ้าหนี้ที่เป็นญาติๆ บางรายก็ยอมให้เลื่อนการชำระหนี้ไป บางรายก็ไม่ยอมครับ ก็จ่ายให้ตามกำลังที่ผมพอจะมี ส่วนบ้านและรถของผม คงผ่อนผันไม่ได้เพราะพึ่งกู้มา เดี๋ยวเครดิตจะเสียเอา พาลให้ทำธุรกิจอย่างอื่นไม่ได้อีก ถ้าเพื่อนๆเจอปัญหาหนี้รุมเร้าแบบผม คุยกับเจ้าหนี้เลยครับ ถ้าเราแสดงความจริงใจที่จะใช้คืนแน่ๆ ยังไงบางคนก็ต้องเห็นใจบ้างไม่มากก็น้อย ดีกว่าทิ้งล้าง ไม่ติดต่อ หรือหนีหายไปดื้อๆนะครับ เพราะเป็นปาปทั้งต่อตัวเรา และ ดีไม่ดีลูกเราต้องมารับผลกรรมแทนเราด้วยนะครับ
ต่อด้านล่างคับ