เข้าไปอ่านกระทู้เก่าของผมได้นะครับ เที่ยวญี่ปุ่นใครว่าแพง Review ตะลุย Osaka 2 วัน 2 คืน ราคาประหยัดในแบบฉบับมือใหม่
http://pantip.com/topic/34275248
หลังจากเดือน ต.ค.ปีที่แล้วได้มีโอกาสไปสัมผัสประเทศญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกในชีวิตที่โอซากา แต่ไปแค่ 2 วัน 2 คืน รู้สึกว่ายังไม่เต็มอิ่มเท่าไหร่ แพลนตอนแรกกะว่าจะหาประเทศอื่นเที่ยวก่อน แล้วปี 2560 ค่อยไปญี่ปุ่นอีกครั้ง ซึ่งที่หมายตาไว้คือโตเกียว แต่หลังกลับจากโอซากาได้เดือนกว่า ดันมือบอนเข้าเว็บ Airasiago เพื่อลองเสิร์ชดูราคาตั๋วเครื่องบิน+ที่พักที่โตเกียวเล่นๆ ไปเจอช่วงวันที่ 1-5 ต.ค. 2559 ตั๋วเครื่องบิน+ที่พัก 4 คืน ราคา 10,440 บาท รวมค่าตัดบัตรเครดิตเป็น 10,630 บาท เจอราคานี้เข้าไปจะรอช้าอยู่ไย แพลนเปลี่ยนเดี๋ยวนั้นทันที กดจองโดยพลันพร้อมกับน้องๆ ร่วมทริปอีก 5 คน การไปครั้งนี้ก็ยึดแบบแผนเดิมเหมือนตอนไปโอซากา คือหาข้อมูลจากแฟนเพจในเฟซบุ๊ก และเว็บไซต์ต่างๆ ต้องบอกก่อนรีวิวของเราไม่ได้เน้นว่าของที่กิน หรือของที่ซื้อจะต้องราคาถูกสุดๆ แต่อย่างใด เพราะโดยส่วนตัวเราคิดว่าไหนๆ ไปเที่ยวทั้งทีแล้วก็ต้องเต็มที่ในการกินอยู่ แต่ก็ไม่ถึงขนาดสุรุ่ยสุร่าย ตลอดทริปเรากินตามปกติโดยเลือกดูราคาที่สมเหตุสมผล ซื้อของที่ดูแล้วว่าราคาถูกกว่าที่ขายในไทย
เราแลกเงินที่ Super Rich สีส้ม อัตรา ณ วันที่ 22 ก.ย. 2559 100 เยน = 0.3450 บาท (ช่างต่างจากปีที่แล้วเยอะมากกก T_T) แลกไป 16,000 บาท = 46,376 เยน เหลือกลับมา 17,660 เยน = 5,900 บาท สรุปทริปนี้ใช้เงินไป 10,630+10,100 = 20,730 บาท
วันเดินทาง เครื่องออกจากดอนเมือง 10.45 น. ถึงสนามบินนาริตะเวลาญี่ปุ่น 19.00 น. ผ่านตรวจคนเข้าเมือง ผ่านศุลกากร ก็ไปที่ชั้น 2 เพื่อซื้อตั๋ว Tokyo Subway 72 Hour ราคา 1,500 เยน ที่เคาน์เตอร์ Keisei Bus ซึ่งจะมีคู่มือโตเกียวเมโทรภาษาไทยให้หยิบที่หน้าเคาน์เตอร์ อย่าลืมหยิบติดมือมาด้วย เพราะแผ่นพับอันนี้เปรียบเสมือนลายแทงที่จะช่วยให้เราขึ้น-ลงรถไฟใต้ดินในโตเกียวได้แบบไม่มีหลง ตอนแรกที่ดูอาจจะงงๆ หน่อย เพราะเส้นทางตัดกันยุ่บยั่บไปหมด แต่เอาจริงๆ แล้วไม่ยากอย่างที่คิด แค่รู้ว่าเราอยู่ใกล้สถานีไหน สถานที่ที่เราจะไปอยู่สถานีไหน จะต้องเปลี่ยนขบวนที่สถานีไหน โดยในแผนที่จะมีเลขของแต่ละสถานีบอกไว้ด้วย ยกตัวอย่างเช่นเราอยู่ที่ Ningyocho (สาย Asakusa A 14) ต้องการจะไป Ueno (สาย Ginza G 16) เราต้องไปลงที่สถานี A 18 เพื่อต่อสาย G 19 ไปลงสถานี G 16 การเปลี่ยนรถไฟระหว่างสายบางสถานีก็เดินไม่ไกล บางสถานีก็เดินไกลมาก ต้องขึ้นบันไดหลายทอด เวลาเดินในสถานีให้ดูป้ายบอกทางที่จะมีเป็นระยะว่าทางไหนเป็นทางออก ทางไหนไปต่อสายไหน เดินตามป้ายบอกทางรับรองว่าไม่หลงแน่นอน เวลาขึ้นรถไฟก็ดูป้ายว่าชานชาลาไหนจะวิ่งไปทางสถานีไหน ซึ่งมีติดเอาไว้ที่เสาและตรงผนังของทางรถไฟ




ซื้อตั๋ว Tokyo Subway 72 Hour แล้วลงมาที่ชั้น 1 เพื่อซื้อตั๋วรถไฟเข้าเมืองที่ Skyliner & Keisei Information Center ซึ่งรถไฟก็จะมีหลายแบบ ทั้งแบบด่วนและไม่ด่วน เลือกได้ตามอัธยาศัย เราเลือกเป็นขบวน Keisei Main Line Ltd. Exp. ราคาตั๋ว 1,140 เยน ทางเข้าสถานีรถไฟอยู่ตรงข้ามกับ Skyliner & Keisei Information Center ซึ่งต้องเปลี่ยนขบวน 1 ครั้งที่สถานี Aoto เพื่อไปลงที่สถานี Ningyocho แล้วเดินต่ออีกนิดไปยังที่พัก ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งถึงที่พัก



เราพักที่โรงแรม Horidome Villa ย่าน Nihombashi ซึ่งการเดินทางจากที่พักไปยังย่านต่างๆ สะดวกมาก อยู่ใกล้รถไฟสาย Asakusa และสาย Shinjuku มีร้าน Yoshinoya, Family Mart, 7 Eleven และร้านอาหารต่างๆ อยู่ใกล้กับโรงแรม ร้านอาหารบางร้านก็เปิด 24 ชั่วโมง พักอยู่ตรงนี้ไม่มีอดตาย หิวเมื่อไหร่ก็ลงมาหาของกินได้ตลอดเวลา พนักงานของโรงแรมสามารถพูดภาษาอังกฤษได้ (แม้บางคำจะฟังยากไปซักหน่อย) ห้องพักก็ไม่ได้ใหญ่มากนัก เตียงถ้านอนคนเดียวสบาย ถ้านอน 2 คนก็ยังพอไหว แต่เรานอนกับน้องชายซึ่งตัวใหญ่ทั้งคู่ เลยต้องนอนท่าเดียวทั้งคืน พลิกตัวทีก็ต้องค่อยๆ พลิก พูดง่ายๆ คือห้องเอาไว้แค่เก็บของและซุกหัวนอนเท่านั้น แต่สิ่งอำนวยความสะดวกในห้องก็มีให้ครบครัน ทั้งทีวี ตู้เย็น ไดรเป่าผม กาต้มน้ำไฟฟ้า เครื่องปรับอากาศ ในห้องน้ำก็มีสบู่เหลว แชมพู ครีมนวด แปรงสีฟัน ยาสีฟัน ที่โกนหนวด ผ้าขนหนูผืนใหญ่-เล็ก ตรงล็อบบี้มีบริการกาแฟร้อนฟรีตั้งแต่เวลา 06.00-12.30 น.





วันที่ 1 : ตลาดปลาซึกิจิ – ตลาดอะเมะโยโกะ – ชิบูยา
สายบริโภคอย่างเราต้องหาของใส่ท้องก่อนเป็นอันดับแรก เรื่องอื่นเอาไว้ทีหลัง 555 ตื่นแต่เช้าเพื่อไปหาของกินที่ตลาดปลาซึกิจิ ซึ่งเป็นตลาดปลาเก่าแก่ที่เปิดดำเนินการมายาวนานถึง 81 ปี ตอนแรกตลาดปลาแห่งนี้จะปิดตัวลงในวันที่ 2 พ.ย. 2559 เพื่อย้ายไปยัง Toyosu ซึ่งห่างจากที่เดิมประมาณ 1-2 กิโลเมตร และเปิดในวันที่ 7 พ.ย. 2559 แต่ตอนนี้ได้ถูกระงับเอาไว้ก่อน เนื่องจากผลการตรวจสอบมลภาวะบริเวณ Toyosu ยังไม่เป็นที่น่าพอใจ เพราะฉะนั้นถ้าใครจะไปช่วงนี้ก็ยังได้สัมผัสตลาดปลาซึกิจิในแบบดั้งเดิมอยู่ วันที่เราไปเป็นวันอาทิตย์ ส่วนที่เป็นตลาดประมูลปลาปิดทำการ แต่ร้านของกิน ร้านของฝากเปิดตามปกติ หรือถ้าใครอยากจะชมการประมูลปลาก็ให้ไปวันจันทร์-เสาร์ ตั้งแต่เวลา 09.00 น. เค้าจะเปิดให้เข้าชมการประมูลปลา เดินเข้าไปไม่ถึงไหนก็ประเดิมด้วยสตรอเบอร์รี่กับองุ่นเสียบไม้ ตามด้วยข้าวหน้าปลาไหล ไอศกรีมมะม่วง ข้าวห่อสาหร่ายคำโตซึ่งไม่รู้ว่าเป็นปลาอะไร (ขอบอกว่าแม่ค้าน่ารักมาก ^__^) ตบท้ายด้วย Scallop ย่างเนย ซึ่ง Scallop ที่เค้านำมาทำคือตัวเป็นๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่ แงะเปลือกออกแล้วปรุงเดี๋ยวนั้นเลย เนื้อหวาน เคี้ยวกรุบๆ














อิ่มจนจุกถึงคอหอยแล้ว แวบไปถ่ายรูปตรงสะพานแดงซึ่งมีฉากหลังเป็นตึกอาซาฮีและโตเกียวสกายทรี และก็ถึงเวลาละลายทรัพย์ในกระเป๋าที่ตลาดอะเมะโยโกะ ตรงสถานี Ueno ตลาดนี้มีของขายเยอะแยะตาแป๊ะไก๋ ทั้งขนม รองเท้าสนีคเกอร์ รองเท้ากีฬา กระเป๋า น้ำหอม กางเกงยีนส์ ฯลฯ ตรงจุดนี้ได้ถ่ายรูปมาแค่รูปเดียวคือตรงป้ายทางเข้า เพราะหลังจากนั้นทั้งสองมือของแต่ละคนเต็มไปด้วยของพะรุงพะรังจนไม่มีมือถ่ายรูป (จริงๆ แล้วช็อปจนเพลินมากกว่า) ตลาดแห่งนี้จะแบ่งเป็น 2 ฝั่งซ้าย-ขวา ระยะทางไม่ยาวมากนัก จะเดินฝั่งไหนก่อนก็ได้ เพราะตรงสุดซอยจะมีซอยวกมายังอีกฝั่งนึงได้ ด้วยป้ายราคาของแต่ละร้านที่ติดไว้มันชวนให้เราเดินเข้าไปดูเกือบทุกร้าน แม้จะเป็นของที่ไม่ได้ตั้งใจจะซื้อแต่แรก ถ้าเข้าไปแล้วจะเหมือนโดนมนตร์สะกดให้เงินลอยออกจากกระเป๋า ถ้าพูดถึงร้านรองเท้ายอดนิยมอาจจะนึกถึงร้าน ABC Mart ถ้าพูดถึงกระเป๋า Anello ที่กำลังฮิตกันก็ต้องร้าน Magazines แต่เรากับน้องๆ ไม่ได้ซื้อรองเท้าและกระเป๋าที่ร้านพวกนี้เลย เพราะเทียบดูแล้วร้านอื่นราคาถูกกว่าพอสมควร อย่างรองเท้า Nike Tanjun ร้าน ABC Mart ราคาเงินไทยประมาณ 2,200 บาท ร้านอื่นราคาประมาณ 1,900 บาท กระเป๋า Anello ถ้าร้าน Magazines จะแค่ Tax Free 8% ร้านอื่น Tax Free 8% แล้วยังลดอีก 10% ถ้าจ่ายเป็นเงินสด ลด 5% ถ้าจ่ายด้วยบัตรเครดิต ตอนแรกกะว่าจะใช้เวลาที่ตลาดอะเมะโยโกะไม่นาน ที่ไหนได้เดินกันจนถึงหัวค่ำ แค่วันแรกก็เกือบหมดตูดกับตลาดแห่งนี้กันซะแล้ว


แวะเอาของไปเก็บที่โรงแรม แล้วไปท่องราตรีที่ย่านชิบูยา สิ่งที่จะลืมไม่ได้เลยคือการไปยืนแอ็กท่าถ่ายรูปตรง 5 แยกชิบูยา ซึ่งช็อตเด็ดจะอยู่ตรงเวลาที่คนเดินข้ามถนนมาจากทุกฝั่ง เรากับน้องๆ ใช้เวลาถ่ายรูปตรงนี้นานมากกว่าจะได้ภาพที่ถูกใจ แยกแห่งนี้เคยถูกใช้เป็นฉากในภาพยนตร์หลายเรื่อง ที่เราพอจะนึกออกก็ Fast & Furiuos : Tokyo Drift, Resident Evil : Afterlife, Lost In Translation ตรงแยกนี้ก็จะมีรูปปั้นของเจ้าหมา “ฮาจิโกะ” ผู้ซื่อสัตย์ที่มาคอยเจ้าของที่เสียชีวิตไปแล้วเป็นประจำทุกวันที่สถานีรถไฟชิบูยาเป็นเวลา 9 ปี จนถึงวาระสุดท้ายของมัน ตั้งแต่เช้าเพิ่งกินข้าวกันไปมื้อเดียวที่ตลาดปลา น้องๆ ก็รีเควสต์เป็นเสียงเดียวกันว่าอยากกินราเมงข้อสอบ เพราะเราไปโม้เอาไว้เยอะว่ามันอร่อยขนาดไหน 555 ไปถึงเจอคิวยาวขึ้นมาจากบันไดจนถึงถนนหน้าร้าน ด้วยความหิวเกือบจะถอดใจชวนน้องๆ ไปกินอะไรอย่างอื่นแทน แต่ไหนๆ ก็มาแล้ว ถ้าไม่ได้กินเดี๋ยวน้องๆ จะเคืองเอา ต่อคิวประมาณ 20 นาทีก็ได้กิน น้องๆ ที่ไม่เคยกินบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าอร่อยคุ้มค่ากับที่รอคิว ต่อจากนั้นไปเดินเล่นที่ร้าน Tower Record สาขาชิบูยา ซึ่งเป็นหนึ่งในร้านขายซีดีที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยสาขาชิบูยามีทั้งหมด 9 ชั้น แต่ละชั้นจะวางขายแนวเพลงต่างกันไป แต่เราเดินแค่ชั้นล่างชั้นเดียว พอมาเดินแล้วทำให้นึกถึงตอนที่ Tower Record มาเปิดที่บ้านเรา สมัยนั้นเรายังเรียนมัธยม เลิกเรียนแล้วชอบไปยืนฟังเพลงที่สาขาเดอะมอลล์ บางกะปิ เรารู้จักเดอะ มัสต์, ออดี้, ดาจิม ก็เพราะ Tower Record นี่แหละ 555 ไหนๆ มาถึงญี่ปุ่นถ้าไม่เสียเงินให้ร้าน Don Quijote แล้วเดี๋ยวจะนอนไม่หลับ ก่อนกลับที่พักก็เลยพาน้องๆ ระบายเงินในกระเป๋าอีกรอบ ระหว่างเดินไปดองกี้ก็เจอกับขบวน Mario Kart แต่คนขับนำใส่ชุดโปเกมอน 555 ใจก็อยากลองขับดูเหมือนกัน แต่เคยเข้าไปดูรายละเอียดในเว็บแล้วเค้าระบุว่าต้องมีใบขับขี่สากลด้วย




[CR] Review : เที่ยวโตเกียว 5 วัน 4 คืน ด้วยตัวเองง่ายนิดเดียว...ใครๆ ก็ไปได้
หลังจากเดือน ต.ค.ปีที่แล้วได้มีโอกาสไปสัมผัสประเทศญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกในชีวิตที่โอซากา แต่ไปแค่ 2 วัน 2 คืน รู้สึกว่ายังไม่เต็มอิ่มเท่าไหร่ แพลนตอนแรกกะว่าจะหาประเทศอื่นเที่ยวก่อน แล้วปี 2560 ค่อยไปญี่ปุ่นอีกครั้ง ซึ่งที่หมายตาไว้คือโตเกียว แต่หลังกลับจากโอซากาได้เดือนกว่า ดันมือบอนเข้าเว็บ Airasiago เพื่อลองเสิร์ชดูราคาตั๋วเครื่องบิน+ที่พักที่โตเกียวเล่นๆ ไปเจอช่วงวันที่ 1-5 ต.ค. 2559 ตั๋วเครื่องบิน+ที่พัก 4 คืน ราคา 10,440 บาท รวมค่าตัดบัตรเครดิตเป็น 10,630 บาท เจอราคานี้เข้าไปจะรอช้าอยู่ไย แพลนเปลี่ยนเดี๋ยวนั้นทันที กดจองโดยพลันพร้อมกับน้องๆ ร่วมทริปอีก 5 คน การไปครั้งนี้ก็ยึดแบบแผนเดิมเหมือนตอนไปโอซากา คือหาข้อมูลจากแฟนเพจในเฟซบุ๊ก และเว็บไซต์ต่างๆ ต้องบอกก่อนรีวิวของเราไม่ได้เน้นว่าของที่กิน หรือของที่ซื้อจะต้องราคาถูกสุดๆ แต่อย่างใด เพราะโดยส่วนตัวเราคิดว่าไหนๆ ไปเที่ยวทั้งทีแล้วก็ต้องเต็มที่ในการกินอยู่ แต่ก็ไม่ถึงขนาดสุรุ่ยสุร่าย ตลอดทริปเรากินตามปกติโดยเลือกดูราคาที่สมเหตุสมผล ซื้อของที่ดูแล้วว่าราคาถูกกว่าที่ขายในไทย
เราแลกเงินที่ Super Rich สีส้ม อัตรา ณ วันที่ 22 ก.ย. 2559 100 เยน = 0.3450 บาท (ช่างต่างจากปีที่แล้วเยอะมากกก T_T) แลกไป 16,000 บาท = 46,376 เยน เหลือกลับมา 17,660 เยน = 5,900 บาท สรุปทริปนี้ใช้เงินไป 10,630+10,100 = 20,730 บาท
วันเดินทาง เครื่องออกจากดอนเมือง 10.45 น. ถึงสนามบินนาริตะเวลาญี่ปุ่น 19.00 น. ผ่านตรวจคนเข้าเมือง ผ่านศุลกากร ก็ไปที่ชั้น 2 เพื่อซื้อตั๋ว Tokyo Subway 72 Hour ราคา 1,500 เยน ที่เคาน์เตอร์ Keisei Bus ซึ่งจะมีคู่มือโตเกียวเมโทรภาษาไทยให้หยิบที่หน้าเคาน์เตอร์ อย่าลืมหยิบติดมือมาด้วย เพราะแผ่นพับอันนี้เปรียบเสมือนลายแทงที่จะช่วยให้เราขึ้น-ลงรถไฟใต้ดินในโตเกียวได้แบบไม่มีหลง ตอนแรกที่ดูอาจจะงงๆ หน่อย เพราะเส้นทางตัดกันยุ่บยั่บไปหมด แต่เอาจริงๆ แล้วไม่ยากอย่างที่คิด แค่รู้ว่าเราอยู่ใกล้สถานีไหน สถานที่ที่เราจะไปอยู่สถานีไหน จะต้องเปลี่ยนขบวนที่สถานีไหน โดยในแผนที่จะมีเลขของแต่ละสถานีบอกไว้ด้วย ยกตัวอย่างเช่นเราอยู่ที่ Ningyocho (สาย Asakusa A 14) ต้องการจะไป Ueno (สาย Ginza G 16) เราต้องไปลงที่สถานี A 18 เพื่อต่อสาย G 19 ไปลงสถานี G 16 การเปลี่ยนรถไฟระหว่างสายบางสถานีก็เดินไม่ไกล บางสถานีก็เดินไกลมาก ต้องขึ้นบันไดหลายทอด เวลาเดินในสถานีให้ดูป้ายบอกทางที่จะมีเป็นระยะว่าทางไหนเป็นทางออก ทางไหนไปต่อสายไหน เดินตามป้ายบอกทางรับรองว่าไม่หลงแน่นอน เวลาขึ้นรถไฟก็ดูป้ายว่าชานชาลาไหนจะวิ่งไปทางสถานีไหน ซึ่งมีติดเอาไว้ที่เสาและตรงผนังของทางรถไฟ
ซื้อตั๋ว Tokyo Subway 72 Hour แล้วลงมาที่ชั้น 1 เพื่อซื้อตั๋วรถไฟเข้าเมืองที่ Skyliner & Keisei Information Center ซึ่งรถไฟก็จะมีหลายแบบ ทั้งแบบด่วนและไม่ด่วน เลือกได้ตามอัธยาศัย เราเลือกเป็นขบวน Keisei Main Line Ltd. Exp. ราคาตั๋ว 1,140 เยน ทางเข้าสถานีรถไฟอยู่ตรงข้ามกับ Skyliner & Keisei Information Center ซึ่งต้องเปลี่ยนขบวน 1 ครั้งที่สถานี Aoto เพื่อไปลงที่สถานี Ningyocho แล้วเดินต่ออีกนิดไปยังที่พัก ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งถึงที่พัก
เราพักที่โรงแรม Horidome Villa ย่าน Nihombashi ซึ่งการเดินทางจากที่พักไปยังย่านต่างๆ สะดวกมาก อยู่ใกล้รถไฟสาย Asakusa และสาย Shinjuku มีร้าน Yoshinoya, Family Mart, 7 Eleven และร้านอาหารต่างๆ อยู่ใกล้กับโรงแรม ร้านอาหารบางร้านก็เปิด 24 ชั่วโมง พักอยู่ตรงนี้ไม่มีอดตาย หิวเมื่อไหร่ก็ลงมาหาของกินได้ตลอดเวลา พนักงานของโรงแรมสามารถพูดภาษาอังกฤษได้ (แม้บางคำจะฟังยากไปซักหน่อย) ห้องพักก็ไม่ได้ใหญ่มากนัก เตียงถ้านอนคนเดียวสบาย ถ้านอน 2 คนก็ยังพอไหว แต่เรานอนกับน้องชายซึ่งตัวใหญ่ทั้งคู่ เลยต้องนอนท่าเดียวทั้งคืน พลิกตัวทีก็ต้องค่อยๆ พลิก พูดง่ายๆ คือห้องเอาไว้แค่เก็บของและซุกหัวนอนเท่านั้น แต่สิ่งอำนวยความสะดวกในห้องก็มีให้ครบครัน ทั้งทีวี ตู้เย็น ไดรเป่าผม กาต้มน้ำไฟฟ้า เครื่องปรับอากาศ ในห้องน้ำก็มีสบู่เหลว แชมพู ครีมนวด แปรงสีฟัน ยาสีฟัน ที่โกนหนวด ผ้าขนหนูผืนใหญ่-เล็ก ตรงล็อบบี้มีบริการกาแฟร้อนฟรีตั้งแต่เวลา 06.00-12.30 น.
วันที่ 1 : ตลาดปลาซึกิจิ – ตลาดอะเมะโยโกะ – ชิบูยา
สายบริโภคอย่างเราต้องหาของใส่ท้องก่อนเป็นอันดับแรก เรื่องอื่นเอาไว้ทีหลัง 555 ตื่นแต่เช้าเพื่อไปหาของกินที่ตลาดปลาซึกิจิ ซึ่งเป็นตลาดปลาเก่าแก่ที่เปิดดำเนินการมายาวนานถึง 81 ปี ตอนแรกตลาดปลาแห่งนี้จะปิดตัวลงในวันที่ 2 พ.ย. 2559 เพื่อย้ายไปยัง Toyosu ซึ่งห่างจากที่เดิมประมาณ 1-2 กิโลเมตร และเปิดในวันที่ 7 พ.ย. 2559 แต่ตอนนี้ได้ถูกระงับเอาไว้ก่อน เนื่องจากผลการตรวจสอบมลภาวะบริเวณ Toyosu ยังไม่เป็นที่น่าพอใจ เพราะฉะนั้นถ้าใครจะไปช่วงนี้ก็ยังได้สัมผัสตลาดปลาซึกิจิในแบบดั้งเดิมอยู่ วันที่เราไปเป็นวันอาทิตย์ ส่วนที่เป็นตลาดประมูลปลาปิดทำการ แต่ร้านของกิน ร้านของฝากเปิดตามปกติ หรือถ้าใครอยากจะชมการประมูลปลาก็ให้ไปวันจันทร์-เสาร์ ตั้งแต่เวลา 09.00 น. เค้าจะเปิดให้เข้าชมการประมูลปลา เดินเข้าไปไม่ถึงไหนก็ประเดิมด้วยสตรอเบอร์รี่กับองุ่นเสียบไม้ ตามด้วยข้าวหน้าปลาไหล ไอศกรีมมะม่วง ข้าวห่อสาหร่ายคำโตซึ่งไม่รู้ว่าเป็นปลาอะไร (ขอบอกว่าแม่ค้าน่ารักมาก ^__^) ตบท้ายด้วย Scallop ย่างเนย ซึ่ง Scallop ที่เค้านำมาทำคือตัวเป็นๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่ แงะเปลือกออกแล้วปรุงเดี๋ยวนั้นเลย เนื้อหวาน เคี้ยวกรุบๆ
อิ่มจนจุกถึงคอหอยแล้ว แวบไปถ่ายรูปตรงสะพานแดงซึ่งมีฉากหลังเป็นตึกอาซาฮีและโตเกียวสกายทรี และก็ถึงเวลาละลายทรัพย์ในกระเป๋าที่ตลาดอะเมะโยโกะ ตรงสถานี Ueno ตลาดนี้มีของขายเยอะแยะตาแป๊ะไก๋ ทั้งขนม รองเท้าสนีคเกอร์ รองเท้ากีฬา กระเป๋า น้ำหอม กางเกงยีนส์ ฯลฯ ตรงจุดนี้ได้ถ่ายรูปมาแค่รูปเดียวคือตรงป้ายทางเข้า เพราะหลังจากนั้นทั้งสองมือของแต่ละคนเต็มไปด้วยของพะรุงพะรังจนไม่มีมือถ่ายรูป (จริงๆ แล้วช็อปจนเพลินมากกว่า) ตลาดแห่งนี้จะแบ่งเป็น 2 ฝั่งซ้าย-ขวา ระยะทางไม่ยาวมากนัก จะเดินฝั่งไหนก่อนก็ได้ เพราะตรงสุดซอยจะมีซอยวกมายังอีกฝั่งนึงได้ ด้วยป้ายราคาของแต่ละร้านที่ติดไว้มันชวนให้เราเดินเข้าไปดูเกือบทุกร้าน แม้จะเป็นของที่ไม่ได้ตั้งใจจะซื้อแต่แรก ถ้าเข้าไปแล้วจะเหมือนโดนมนตร์สะกดให้เงินลอยออกจากกระเป๋า ถ้าพูดถึงร้านรองเท้ายอดนิยมอาจจะนึกถึงร้าน ABC Mart ถ้าพูดถึงกระเป๋า Anello ที่กำลังฮิตกันก็ต้องร้าน Magazines แต่เรากับน้องๆ ไม่ได้ซื้อรองเท้าและกระเป๋าที่ร้านพวกนี้เลย เพราะเทียบดูแล้วร้านอื่นราคาถูกกว่าพอสมควร อย่างรองเท้า Nike Tanjun ร้าน ABC Mart ราคาเงินไทยประมาณ 2,200 บาท ร้านอื่นราคาประมาณ 1,900 บาท กระเป๋า Anello ถ้าร้าน Magazines จะแค่ Tax Free 8% ร้านอื่น Tax Free 8% แล้วยังลดอีก 10% ถ้าจ่ายเป็นเงินสด ลด 5% ถ้าจ่ายด้วยบัตรเครดิต ตอนแรกกะว่าจะใช้เวลาที่ตลาดอะเมะโยโกะไม่นาน ที่ไหนได้เดินกันจนถึงหัวค่ำ แค่วันแรกก็เกือบหมดตูดกับตลาดแห่งนี้กันซะแล้ว
แวะเอาของไปเก็บที่โรงแรม แล้วไปท่องราตรีที่ย่านชิบูยา สิ่งที่จะลืมไม่ได้เลยคือการไปยืนแอ็กท่าถ่ายรูปตรง 5 แยกชิบูยา ซึ่งช็อตเด็ดจะอยู่ตรงเวลาที่คนเดินข้ามถนนมาจากทุกฝั่ง เรากับน้องๆ ใช้เวลาถ่ายรูปตรงนี้นานมากกว่าจะได้ภาพที่ถูกใจ แยกแห่งนี้เคยถูกใช้เป็นฉากในภาพยนตร์หลายเรื่อง ที่เราพอจะนึกออกก็ Fast & Furiuos : Tokyo Drift, Resident Evil : Afterlife, Lost In Translation ตรงแยกนี้ก็จะมีรูปปั้นของเจ้าหมา “ฮาจิโกะ” ผู้ซื่อสัตย์ที่มาคอยเจ้าของที่เสียชีวิตไปแล้วเป็นประจำทุกวันที่สถานีรถไฟชิบูยาเป็นเวลา 9 ปี จนถึงวาระสุดท้ายของมัน ตั้งแต่เช้าเพิ่งกินข้าวกันไปมื้อเดียวที่ตลาดปลา น้องๆ ก็รีเควสต์เป็นเสียงเดียวกันว่าอยากกินราเมงข้อสอบ เพราะเราไปโม้เอาไว้เยอะว่ามันอร่อยขนาดไหน 555 ไปถึงเจอคิวยาวขึ้นมาจากบันไดจนถึงถนนหน้าร้าน ด้วยความหิวเกือบจะถอดใจชวนน้องๆ ไปกินอะไรอย่างอื่นแทน แต่ไหนๆ ก็มาแล้ว ถ้าไม่ได้กินเดี๋ยวน้องๆ จะเคืองเอา ต่อคิวประมาณ 20 นาทีก็ได้กิน น้องๆ ที่ไม่เคยกินบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าอร่อยคุ้มค่ากับที่รอคิว ต่อจากนั้นไปเดินเล่นที่ร้าน Tower Record สาขาชิบูยา ซึ่งเป็นหนึ่งในร้านขายซีดีที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยสาขาชิบูยามีทั้งหมด 9 ชั้น แต่ละชั้นจะวางขายแนวเพลงต่างกันไป แต่เราเดินแค่ชั้นล่างชั้นเดียว พอมาเดินแล้วทำให้นึกถึงตอนที่ Tower Record มาเปิดที่บ้านเรา สมัยนั้นเรายังเรียนมัธยม เลิกเรียนแล้วชอบไปยืนฟังเพลงที่สาขาเดอะมอลล์ บางกะปิ เรารู้จักเดอะ มัสต์, ออดี้, ดาจิม ก็เพราะ Tower Record นี่แหละ 555 ไหนๆ มาถึงญี่ปุ่นถ้าไม่เสียเงินให้ร้าน Don Quijote แล้วเดี๋ยวจะนอนไม่หลับ ก่อนกลับที่พักก็เลยพาน้องๆ ระบายเงินในกระเป๋าอีกรอบ ระหว่างเดินไปดองกี้ก็เจอกับขบวน Mario Kart แต่คนขับนำใส่ชุดโปเกมอน 555 ใจก็อยากลองขับดูเหมือนกัน แต่เคยเข้าไปดูรายละเอียดในเว็บแล้วเค้าระบุว่าต้องมีใบขับขี่สากลด้วย