เริ่มจากเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมาผมรู้สึก "เคว้ง" เป้าหมายในชีวิตดูเริ่มไม่ชัดเจนอีกครั้ง ผมจึงตัดสินใจทำงานให้มากขึ้นคิดว่าอย่างน้อยก็เป็นการสะสมทรัพย์ พอผมทำงานมากขึ้นไปสักระยะหนึ่ง (ผมทำงาน 7 วันต่อสัปดาห์มาประมาณครึ่งปี) ผมเริ่มรู้สึกว่าชีวิตตัวเองเปลี่ยนไป ผมโกรธง่ายขึ้น อารมณ์รุนแรง หงุดหงิดง่าย รู้สึกว่าเราไม่ได้เป็นคนดีเหมือนเมื่อก่อน แต่ก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรหรืออะไรคือปัญหาที่ต้องแก้ไขกันแน่ จนผมได้มีโอกาสไปดูคลิปที่มีคนแชร์กันเยอะๆเมื่อช่วงต้นปี เรื่อง "สมการความสุข"
https://www.youtube.com/watch?v=XebdKRaPg5M
เมื่อผมดูจบก็รู้สึกก็รู้สึกว่าเรื่องราวคล้ายๆกับเราจึงกดดูตัวเต็มประมาณ 1 ชม.
ผมสรุปคร่าวๆกับตัวเองว่าชีวิตที่ดูเหมือนจะประสบความสำเร็จของผู้หญิงคนนี้และของผมเองแฝงมาด้วย ความเปลี่ยนแปลงของมุมมอง ทัศนคติ และชีวิตของเค้าไปโดยไม่รู้ตัว และทางออกที่ดีที่สุดของเค้าคือ "วิปัสสนา" หลังดูจบผมอินมาก เลยหาข้อมูลของสถานที่และตัดสินใจสมัครทันทีโดยที่ไม่ปรึกษาใคร แต่ด้วยกระบวนการสมัครและการทีต้องหาวันว่างติดกัน 10 วัน ทำให้ผมเพิ่งได้ไปวิปัสสนามาเมื่อไม่นานมานี้
ช่วงก่อนที่ผมจะไปวิปัสสนา ระหว่างที่รอคิวอยู่ราวๆ 4 เดือน เรื่องราวในชีวิตของผมพีคขึ้นไปอีก เนื่องจากเราต้องการที่จะก้าวไปข้างหน้าให้มากขึ้น ซึ่งแน่นอนภาระกดดันและหน้าที่ต่างๆก็มากขึ้นมาด้วย ปัญหาต่างๆผ่านเข้ามาเยอะมาก และความคาดหวังของผมกับการไปวิปัสสนาก็มากขึ้นด้วย ผมคิดว่านี่ต้องเป็นทางออกที่ดีแน่ๆ และก่อนที่ผมจะได้ไปผมก็ได้รับรู้ถึงชื่อเสียงของสถานที่วิปัสสนานี้มากขึ้น จากเพื่อนหรือคนต่างๆมาเล่าว่ามีใครบ้างที่ประสบปัญหาแล้วพบทางออกที่ดีที่นี่
สิ่งที่ผมจะเล่าคือ วิกฤต ที่ผมเจอและผ่านมาได้
วิกฤตที่ 1 = วันที่ศูนย์ หนึ่ง สอง ผ่านไปได้ด้วยดี มีช่วงปลายๆของวันที่สองที่ผมเริ่มรู้สึกว่าผมทำตามคำบอกไม่ได้และไม่เข้าใจในสิ่งที่อาจารย์ผู้สอนพูดแต่ผมก็พยายามต่อไปจนเจอกับวิกฤตแรก ในวันที่สี่ของการอบรมวิปัสสนา กระบวนการเรียนรู้ต่างๆเริ่มยากมากขึ้น มีการเริ่มการทำวิปัสสนาในบ่ายของวันที่ 4 อาจารย์ที่สอนอยู่ในเทปจะพูดไปเรื่อยๆแล้วให้เราทำตาม ความสนุกเริ่มเกิดขึ้นกับผมเพราะจากที่ผมทำไม่ค่อยจะได้อยู่แล้ว แล้วต้องทำตามคำบอกไปเรื่อยๆทั้งที่รู้สึกว่าทำไม่ได้ เมื่อผ่านไปประมาณ 20 นาที ผมรู้สึกว่าผมทำไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ความรู้สึกตอนนั้นคือปวดเมื่อยไปทั้งตัว รู้สึกเกร็ง ตัวสั่นมาก จนคิดว่าถ้าใครมามองเราจะต้องคิดว่าเป็นอะไรไปแน่ๆทำไมตัวสั่นขนาดนี้ รู้สึกอยากตะโกนออกมาว่าทำไม่ได้แล้วโว้ยยย แล้วกลับบ้านทันที แต่ช่วงเวลาไม่กี่นาทีหลังจากนั้นผมก็เริ่มสงบลง ผมเริ่มไม่ฟังเสียงจากเทปที่บอกให้ทำต่อไปเรื่อยๆ ผมพยายามควบคุมตนเองก่อน พยายามหยุดอาการเกร็ง สั่นลง ไม่ฟังว่าเทปจะพูดว่าอะไรจนจบชั่วโมงนั้นลงไปได้ ช่วงพักผมออกไปที่ระเบียงมองไปข้างนอกเป็นครั้งแรกๆเลยที่ผมออกไปมองอย่างอื่นบ้าง บรรยากาศที่เห็นเป็นคลองที่เป็นธรรมชาติมากๆ มีนกบินผ่านไปมา แล้วผมก็บอกกับตัวเองว่า ก็แค่ทำไม่ได้ มันไม่ตาย ไม่แปลกแล้วเด๋วเราอาจจะทำได้เอง ธรรมชาติก็เป็นแบบนี้แหละ (เมื่อก่อนผมเป็นคนที่ต้องทำให้ได้ รู้แต่ว่าไม่มีอะไรเหนือกว่าความพยายาม แม่จะสอนกึ่งหลอกล่อว่าลูกเป็นคนเก่ง ลูกทำได้) วันนี้ผมรู้สึกอินกับคำว่าทำไม่ได้เอามากๆ ค่ำลงของวันนั้นผมยังมีอารมณ์ค้างเล็กน้อยและคิดว่าอยากกลับบ้าน นี่เรามาทำอะไรที่นี่แล้วแว๊ปนึงด้วยความที่ผมคิดเลขเร็วมาก ผมก็คิดขึ้นมาได้ว่า ตอนนี้ผ่านมา 96 ชั่วโมงแล้ว ถ้าผมกลับ 96 ชั่วโมงที่ผมเสียไปจะเท่ากับศูนย์ทันที แล้วความหวังทั้งหมดที่ผมคิดไว้ละ จะยังไง ผมจึงผ่านวิกฤตที่ 1 นี้ไปได้
วิกฤตที่ 2 = หลังจากคืนที่สองผมเริ่มมีอาการตื่นกลางดึกอาการหนักขึ้นจนถึงคืนวันที่หก คืนนั้นผมนอนไม่หลับทั้งคืน ความคิดเริ่มไปกันใหญ่ คิดว่าตัวเองจะเป็นบ้าเพราะรู้มาว่าอาการนอนไม่หลับก็เป็นอาการเริ่มแรกหนึ่งของโรคทางจิตเวชมากมาย คิดว่าเราเครียดจากวิปัสสนามากจนนอนไม่หลับ และแน่นอนพอเช้าวันที่ 7 ผมรู้สึกปวดหัวนั่งไม่ได้ ใจเริ่มสั่น รู้สึกหัวใจเต้นเร็วมาก คิดไปกันใหญ่จนถึงขั้นว่า นี่เราต้องไปนอนโรงพยาบาลแล้วแหละ เพราะเราเพลียมาก คงต้องให้น้ำเกลือและยานอนหลับไม่งั้นเราต้องช็อคไปแน่ๆ หลังจากนั่งไปสักพักวันนี้เป็นวันที่เราจะเข้าพบอาจารย์โดยอาจารย์จะถามว่าทำได้ไหม รู้สึกอย่างไรบ้าง ผมจึงได้ถามว่า วิปัสสนามีผลกับการนอนไหม อาจารย์ตอบแค่ว่า ใช่ จิตเราสงบขึ้น เด๋วคืนนี้ตอนฟังธรรมบรรยายจะมีคำตอบ ผมฟังแค่นั้น เข้าใจถึงความอัศจรรย์ของความคิดจริงๆ ผมรู้สึกหยุดอาการปวดหัวและใจสั่นลงทันที แต่ก็ยังมีความรู้สึกอ่อนล้าบ้างจนงีบหลับไปช่วงหลังกินอาหารกลางวัน . . . ครั้งนี้ผมเข้าใจถึงอานุภาพของการคิดไปเอง ว่ามันมีผลกับชีวิตมากจริงๆ มากจนทำให้เราลืมคำนึงถึงความเป็นจริงรอบข้างไปโดยสิ้นเชิง
ในคืนนั้น ธรรมบรรยาย อธิบายถึงการที่เรามีสติ ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลาจึงทำให้เรานอนไม่หลับหรือเราอาจจะรู้สึกครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่ตลอดเวลา ซึ่งไม่ต้องกังวล เพราะถ้าเราได้นอนและพักผ่อนจิตไปด้วยกันแล้วก็เที่ยบเท่าได้กับการนอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มที่ ตอนเช้าเราจะสดชื่นเอง
วิกฤตที่ 3 = แม้ผมจะเข้าใจธรรมชาติของการนอนและการมีสติมาแล้ว แต่ผมก็ยังไม่สามารถนอนหลับได้อยู่ดี ตั้งแต่คืนวันที่เจ็ดจนถึงคืนสุดท้ายผมนอนไม่หลับเลย และแน่นอนจากความคิดไปเองมากมายของผม ผมย่อมไม่สามารถทำใจ สงบจิตให้เพ่งดูสิ่งที่เกิดขึ้นหรืออยู่กับปัจจุบันได้ตลอดเวลา ผมยังหลุดไปตามเรื่องราวในหัวมากมายและก็ตื่นมาด้วยสภาพงงๆในวันที่เหลืออยู่ จนถึงวันท้ายๆผมก็ยังมีความรู้สึกอยากจะกลับบ้านเป็นพักๆ คิดถึงงาน ที่บ้าน และสิ่งต่างๆมากมาย อย่างไรก็ตามผมก็ยังบอกตัวเองว่าถ้าครบ 10 วันผมต้องได้อะไรกลับไปไม่มากก็น้อย ถ้าผมอยู่ไม่ครบผมอาจจะไม่เข้าใจอะไรที่ซ่อนอยู่ก็ได้ สุดท้ายผมก็อยู่จนครบ 10 วัน
สุดท้ายผมรู้สึกว่าผมไม่ได้กลับบ้านเหมือนที่คนอื่นเขาได้กันกลับบ้านกัน ผมไม่ได้วิธีปฏิบัติใดๆ เพราะผมทำมันไม่ได้ ผมไม่เข้าใจความรู้สึกที่คนอื่นบอกกัน แต่ไม่ได้แปลว่าผมไม่ได้อะไรกลับมานะครับ มันอาจจะไม่ได้วิเศษเหมือนที่คิดเอาไว้ในตอนแรก แต่มันก็เป็นอะไรที่เราไม่เคยเจอด้วยตัวเองมาก่อน เมื่อก่อนเรารู้ เราเข้าใจด้วยความรู้ที่เรามี แต่เราไม่ได้ทำใจยอมรับมันได้จริงๆ ทีนี่ทำให้ผมเริ่มเข้าใจและยอมรับมันได้จริงๆเหมือนผมค้นพบสิ่งต่างๆเหล่านั้นด้วยตนเอง ไม่ได้เชื่อเพียงเพราะมันถูกต้องหรือใครๆเค้าบอกมา ผมเข้าใจธรรมชาติของสิ่งที่เป็นไปหลายๆอย่าง ยิ่งในโลกของปัจจุบันที่มีการปรุงแต่งมากมาย จนเราลืมธรรมชาติและความเป็นจริงบางอย่างไป ชีวิตในเมือง ยิ่งชีวิตของผมที่ต้องควบคุมทุกอย่าง คิดแต่ว่าตัวเองต้องทำให้ได้ พยายามอีกนิดสิ เราต้องควบคุมมันได้ มันต้องเป็นอย่างที่เราคิด ซึ่งจริงๆแล้วมันไม่ใช่เลย ยิ่งเราพยายามควบคุมอะไรมากขึ้นเท่าไร เรายิ่งห่างไกลจากมันออกไปเท่านั้น มีคำพูดนึงที่ผมได้จากที่นี่ซึ่งส่วนตัวผมชอบมากๆ และคิดว่ามันเป็นจริงมาก ถ้าเราทำใจยอมรับมันได้จริงๆ คงจะดี
"สิ่งนั้น ย่อมเปลี่ยนแปลงไป"
10 วันกับวิปัสสนาครั้งแรกของผม
https://www.youtube.com/watch?v=XebdKRaPg5M
เมื่อผมดูจบก็รู้สึกก็รู้สึกว่าเรื่องราวคล้ายๆกับเราจึงกดดูตัวเต็มประมาณ 1 ชม.
ผมสรุปคร่าวๆกับตัวเองว่าชีวิตที่ดูเหมือนจะประสบความสำเร็จของผู้หญิงคนนี้และของผมเองแฝงมาด้วย ความเปลี่ยนแปลงของมุมมอง ทัศนคติ และชีวิตของเค้าไปโดยไม่รู้ตัว และทางออกที่ดีที่สุดของเค้าคือ "วิปัสสนา" หลังดูจบผมอินมาก เลยหาข้อมูลของสถานที่และตัดสินใจสมัครทันทีโดยที่ไม่ปรึกษาใคร แต่ด้วยกระบวนการสมัครและการทีต้องหาวันว่างติดกัน 10 วัน ทำให้ผมเพิ่งได้ไปวิปัสสนามาเมื่อไม่นานมานี้
ช่วงก่อนที่ผมจะไปวิปัสสนา ระหว่างที่รอคิวอยู่ราวๆ 4 เดือน เรื่องราวในชีวิตของผมพีคขึ้นไปอีก เนื่องจากเราต้องการที่จะก้าวไปข้างหน้าให้มากขึ้น ซึ่งแน่นอนภาระกดดันและหน้าที่ต่างๆก็มากขึ้นมาด้วย ปัญหาต่างๆผ่านเข้ามาเยอะมาก และความคาดหวังของผมกับการไปวิปัสสนาก็มากขึ้นด้วย ผมคิดว่านี่ต้องเป็นทางออกที่ดีแน่ๆ และก่อนที่ผมจะได้ไปผมก็ได้รับรู้ถึงชื่อเสียงของสถานที่วิปัสสนานี้มากขึ้น จากเพื่อนหรือคนต่างๆมาเล่าว่ามีใครบ้างที่ประสบปัญหาแล้วพบทางออกที่ดีที่นี่
สิ่งที่ผมจะเล่าคือ วิกฤต ที่ผมเจอและผ่านมาได้
วิกฤตที่ 1 = วันที่ศูนย์ หนึ่ง สอง ผ่านไปได้ด้วยดี มีช่วงปลายๆของวันที่สองที่ผมเริ่มรู้สึกว่าผมทำตามคำบอกไม่ได้และไม่เข้าใจในสิ่งที่อาจารย์ผู้สอนพูดแต่ผมก็พยายามต่อไปจนเจอกับวิกฤตแรก ในวันที่สี่ของการอบรมวิปัสสนา กระบวนการเรียนรู้ต่างๆเริ่มยากมากขึ้น มีการเริ่มการทำวิปัสสนาในบ่ายของวันที่ 4 อาจารย์ที่สอนอยู่ในเทปจะพูดไปเรื่อยๆแล้วให้เราทำตาม ความสนุกเริ่มเกิดขึ้นกับผมเพราะจากที่ผมทำไม่ค่อยจะได้อยู่แล้ว แล้วต้องทำตามคำบอกไปเรื่อยๆทั้งที่รู้สึกว่าทำไม่ได้ เมื่อผ่านไปประมาณ 20 นาที ผมรู้สึกว่าผมทำไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ความรู้สึกตอนนั้นคือปวดเมื่อยไปทั้งตัว รู้สึกเกร็ง ตัวสั่นมาก จนคิดว่าถ้าใครมามองเราจะต้องคิดว่าเป็นอะไรไปแน่ๆทำไมตัวสั่นขนาดนี้ รู้สึกอยากตะโกนออกมาว่าทำไม่ได้แล้วโว้ยยย แล้วกลับบ้านทันที แต่ช่วงเวลาไม่กี่นาทีหลังจากนั้นผมก็เริ่มสงบลง ผมเริ่มไม่ฟังเสียงจากเทปที่บอกให้ทำต่อไปเรื่อยๆ ผมพยายามควบคุมตนเองก่อน พยายามหยุดอาการเกร็ง สั่นลง ไม่ฟังว่าเทปจะพูดว่าอะไรจนจบชั่วโมงนั้นลงไปได้ ช่วงพักผมออกไปที่ระเบียงมองไปข้างนอกเป็นครั้งแรกๆเลยที่ผมออกไปมองอย่างอื่นบ้าง บรรยากาศที่เห็นเป็นคลองที่เป็นธรรมชาติมากๆ มีนกบินผ่านไปมา แล้วผมก็บอกกับตัวเองว่า ก็แค่ทำไม่ได้ มันไม่ตาย ไม่แปลกแล้วเด๋วเราอาจจะทำได้เอง ธรรมชาติก็เป็นแบบนี้แหละ (เมื่อก่อนผมเป็นคนที่ต้องทำให้ได้ รู้แต่ว่าไม่มีอะไรเหนือกว่าความพยายาม แม่จะสอนกึ่งหลอกล่อว่าลูกเป็นคนเก่ง ลูกทำได้) วันนี้ผมรู้สึกอินกับคำว่าทำไม่ได้เอามากๆ ค่ำลงของวันนั้นผมยังมีอารมณ์ค้างเล็กน้อยและคิดว่าอยากกลับบ้าน นี่เรามาทำอะไรที่นี่แล้วแว๊ปนึงด้วยความที่ผมคิดเลขเร็วมาก ผมก็คิดขึ้นมาได้ว่า ตอนนี้ผ่านมา 96 ชั่วโมงแล้ว ถ้าผมกลับ 96 ชั่วโมงที่ผมเสียไปจะเท่ากับศูนย์ทันที แล้วความหวังทั้งหมดที่ผมคิดไว้ละ จะยังไง ผมจึงผ่านวิกฤตที่ 1 นี้ไปได้
วิกฤตที่ 2 = หลังจากคืนที่สองผมเริ่มมีอาการตื่นกลางดึกอาการหนักขึ้นจนถึงคืนวันที่หก คืนนั้นผมนอนไม่หลับทั้งคืน ความคิดเริ่มไปกันใหญ่ คิดว่าตัวเองจะเป็นบ้าเพราะรู้มาว่าอาการนอนไม่หลับก็เป็นอาการเริ่มแรกหนึ่งของโรคทางจิตเวชมากมาย คิดว่าเราเครียดจากวิปัสสนามากจนนอนไม่หลับ และแน่นอนพอเช้าวันที่ 7 ผมรู้สึกปวดหัวนั่งไม่ได้ ใจเริ่มสั่น รู้สึกหัวใจเต้นเร็วมาก คิดไปกันใหญ่จนถึงขั้นว่า นี่เราต้องไปนอนโรงพยาบาลแล้วแหละ เพราะเราเพลียมาก คงต้องให้น้ำเกลือและยานอนหลับไม่งั้นเราต้องช็อคไปแน่ๆ หลังจากนั่งไปสักพักวันนี้เป็นวันที่เราจะเข้าพบอาจารย์โดยอาจารย์จะถามว่าทำได้ไหม รู้สึกอย่างไรบ้าง ผมจึงได้ถามว่า วิปัสสนามีผลกับการนอนไหม อาจารย์ตอบแค่ว่า ใช่ จิตเราสงบขึ้น เด๋วคืนนี้ตอนฟังธรรมบรรยายจะมีคำตอบ ผมฟังแค่นั้น เข้าใจถึงความอัศจรรย์ของความคิดจริงๆ ผมรู้สึกหยุดอาการปวดหัวและใจสั่นลงทันที แต่ก็ยังมีความรู้สึกอ่อนล้าบ้างจนงีบหลับไปช่วงหลังกินอาหารกลางวัน . . . ครั้งนี้ผมเข้าใจถึงอานุภาพของการคิดไปเอง ว่ามันมีผลกับชีวิตมากจริงๆ มากจนทำให้เราลืมคำนึงถึงความเป็นจริงรอบข้างไปโดยสิ้นเชิง
ในคืนนั้น ธรรมบรรยาย อธิบายถึงการที่เรามีสติ ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลาจึงทำให้เรานอนไม่หลับหรือเราอาจจะรู้สึกครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่ตลอดเวลา ซึ่งไม่ต้องกังวล เพราะถ้าเราได้นอนและพักผ่อนจิตไปด้วยกันแล้วก็เที่ยบเท่าได้กับการนอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มที่ ตอนเช้าเราจะสดชื่นเอง
วิกฤตที่ 3 = แม้ผมจะเข้าใจธรรมชาติของการนอนและการมีสติมาแล้ว แต่ผมก็ยังไม่สามารถนอนหลับได้อยู่ดี ตั้งแต่คืนวันที่เจ็ดจนถึงคืนสุดท้ายผมนอนไม่หลับเลย และแน่นอนจากความคิดไปเองมากมายของผม ผมย่อมไม่สามารถทำใจ สงบจิตให้เพ่งดูสิ่งที่เกิดขึ้นหรืออยู่กับปัจจุบันได้ตลอดเวลา ผมยังหลุดไปตามเรื่องราวในหัวมากมายและก็ตื่นมาด้วยสภาพงงๆในวันที่เหลืออยู่ จนถึงวันท้ายๆผมก็ยังมีความรู้สึกอยากจะกลับบ้านเป็นพักๆ คิดถึงงาน ที่บ้าน และสิ่งต่างๆมากมาย อย่างไรก็ตามผมก็ยังบอกตัวเองว่าถ้าครบ 10 วันผมต้องได้อะไรกลับไปไม่มากก็น้อย ถ้าผมอยู่ไม่ครบผมอาจจะไม่เข้าใจอะไรที่ซ่อนอยู่ก็ได้ สุดท้ายผมก็อยู่จนครบ 10 วัน
สุดท้ายผมรู้สึกว่าผมไม่ได้กลับบ้านเหมือนที่คนอื่นเขาได้กันกลับบ้านกัน ผมไม่ได้วิธีปฏิบัติใดๆ เพราะผมทำมันไม่ได้ ผมไม่เข้าใจความรู้สึกที่คนอื่นบอกกัน แต่ไม่ได้แปลว่าผมไม่ได้อะไรกลับมานะครับ มันอาจจะไม่ได้วิเศษเหมือนที่คิดเอาไว้ในตอนแรก แต่มันก็เป็นอะไรที่เราไม่เคยเจอด้วยตัวเองมาก่อน เมื่อก่อนเรารู้ เราเข้าใจด้วยความรู้ที่เรามี แต่เราไม่ได้ทำใจยอมรับมันได้จริงๆ ทีนี่ทำให้ผมเริ่มเข้าใจและยอมรับมันได้จริงๆเหมือนผมค้นพบสิ่งต่างๆเหล่านั้นด้วยตนเอง ไม่ได้เชื่อเพียงเพราะมันถูกต้องหรือใครๆเค้าบอกมา ผมเข้าใจธรรมชาติของสิ่งที่เป็นไปหลายๆอย่าง ยิ่งในโลกของปัจจุบันที่มีการปรุงแต่งมากมาย จนเราลืมธรรมชาติและความเป็นจริงบางอย่างไป ชีวิตในเมือง ยิ่งชีวิตของผมที่ต้องควบคุมทุกอย่าง คิดแต่ว่าตัวเองต้องทำให้ได้ พยายามอีกนิดสิ เราต้องควบคุมมันได้ มันต้องเป็นอย่างที่เราคิด ซึ่งจริงๆแล้วมันไม่ใช่เลย ยิ่งเราพยายามควบคุมอะไรมากขึ้นเท่าไร เรายิ่งห่างไกลจากมันออกไปเท่านั้น มีคำพูดนึงที่ผมได้จากที่นี่ซึ่งส่วนตัวผมชอบมากๆ และคิดว่ามันเป็นจริงมาก ถ้าเราทำใจยอมรับมันได้จริงๆ คงจะดี
"สิ่งนั้น ย่อมเปลี่ยนแปลงไป"