พลเอกเปรม ติณสูลานนท์

พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ได้รับการศึกษาโดยสรุปดังนี้  พ.ศ. ๒๔๖๙ เข้าเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนมหาวชิราวุธ จังหวัดสงขลา มีเลขประจำตัว ๑๖๗ และมีความประทับใจในขณะได้รับการศึกษา คือ - เริ่มเรียนครั้งแรกจนจบมัธยมศึกษาปีที่ ๖ พ.ศ. ๒๔๗๘ - ในสมัยเรียนมัธยมศึกษาปีที่ ๔ พ.ศ. ๒๔๗๖ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จเยี่ยมโรงเรียน และทรงพระดำเนินเยี่ยมในห้องเรียน ท่านก็ทรงอ่านสมุดวิชา “สรีรศาสตร์” ของเด็กชายเปรม ติณสูลานนท์ ซึ่ง ฯพณฯ ถือว่าเป็นสิริมงคลแก่ตนเอง - ในขณะที่เรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ เด็กชายเปรม ติณสูลานนท์ กับเด็กชายอิ่ม นิลรัตน์ ผลัดกันสอบได้ที่ ๑ มาโดยตลอดจนครูแยกห้องเรียนกัน และเด็กชายเปรม เคยได้รับ ”เกียรติบัตรหมั่นเรียน” เพราะเรียนดีไม่เคยสาย ไม่เคยขาดเรียน ได้ทุกปี -เป็นนักกีฬาประเภทวิ่งผลัด และนักฟุตบอลของโรงเรียน - เป็นนายหมู่ลูกเสือตรี ขณะนั้นเรียนมัธยมปีที่ ๕ ข. - ๑๘ พฤษภาคม ๒๔๗๙ เข้าเรียนโรงเรียนสวนกุหลาบ วิทยาลัยแผนกวิทยาศาสตร์ มีเลขประจำตัว ๗๕๘๗ เรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๗ - ๘ - ได้เข้าเรียนในเมืองหลวง โดยพี่ชายชื่อชุบ ติณสูลานนท์ - ขณะเรียนอาศัยอยู่บ้านของพระยาบรรณสิทธทัณฑการ - ๒ พฤษภาคม ๒๔๘๑ เข้าเรียนโรงเรียน “เท็ฆนิคทหารบก” หรือโรงเรียนนายร้อย พระจุลจอมเกล้าในปัจจุบัน - ขณะเรียนต้องการเป็นทหารปืนใหญ่ แต่พอเกิดสงครามจึงต้องเปลี่ยนมาเลือกเป็นทหารม้า พ.ศ. ๒๔๘๔ สำเร็จการศึกษาตามหลักสูตรพิเศษของโรงเรียนเท็ฆนิคทหารบก (จปร) นักเรียนนายร้อยรุ่นนี้รับการศึกษาไม่ครบ ๕ ปี ตามหลักสูตรที่กำหนดไว้ คือต้องใช้เวลาการศึกษาเพียง ๓ ปี เท่านั้น เพราะต้องออกมาเป็นผู้บังคับหมวดตั้งแต่มีสภาพเป็นนักเรียนนายร้อย

ประวัติการรับราชการ ๓ มกราคม ๒๔๘๔ เป็นผู้บังคับหมวดประจำกรมรถรบ ทั้ง ๆ ที่ยังเรียนไม่จบหลักสูตร เนื่องจากเกิดกรณีพิพาทในอินโดจีนระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลฝรั่งเศส นับเป็นการเข้าสู่สงครามครั้งแรก     ๒๐ มกราคม ๒๔๘๔ ได้รับแต่งตั้งให้เป็น ว่าที่ร้อยตรี เปรม ติณสูลานนท์ แต่ไม่ได้เข้าพิธีพระราชทานกระบี่จากพระหัตถ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องจากต้องไปประจำการอยู่ที่สนามรบปอยเปต ประเทศเขมร (รับกระบี่ในสนามรบ) มกราคม ๒๔๘๕ - ๒๔๘๘ ได้รับแต่งตั้งให้ไปสงครามอีกครั้งหนึ่ง นับเป็นครั้งที่ ๒ (สงครามมหาเอเซียบูรพา) เป็นผู้หมวดตอนแรก เป็นกองหนุนของกองทัพคือกองทัพพายัพ ซึ่งมีหลวงเสรีเริงฤทธิ์เป็นแม่ทัพ กองบัญชาการอยู่ที่ลำปาง ต่อมากองทัพเคลื่อนย้ายไปอยู่เชียงราย และได้รับคำสั่งให้ไปขึ้นอยู่กับกองพล ๓ ที่เชียงตุง จนได้เลื่อนยศเป็นร้อยเอก และได้รับคำสั่งให้เป็นผู้บังคับกองร้อยที่ลพบุรี     ๒๓ กรกฎาคม ๒๔๘๙ เป็นผู้บังคับกองร้อยที่ ๒ กองพันที่ ๑ กรมรถรบ     ๔ ธันวาคม ๒๔๘๙ เข้าศึกษาเป็นนายทหารฝึกหัดราชการโรงเรียนนายทหารม้า     ๒๙ สิงหาคม ๒๔๙๐ รักษาราชการรองผู้บังคับกองร้อย     ๘ เมษายน ๒๔๙๒ รักษาราชการผู้บังคับกองพันที่ ๑     ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๓ เป็นผู้บังคับกองร้อยที่ ๓ กองพันทหารม้าที่ ๔ จังหวัดอุตรดิตถ์     ๑ พฤษภาคม ๒๔๙๓ เป็นรองผู้บังคับกองพันทหารม้าที่ ๔     ๗ กรกฏาคม ๒๔๙๓ เป็นรองผู้บังคับการจังหวัดทหารบกอุตรดิตถ์ ๓ มีนาคม ๒๔๙๕ เดินทางไปศึกษาต่อต่างประเทศเนื่องจากรับทุนจากกองทัพบกโดยการสอบแข่งขันได้ไปศึกษาต่อที่ THE UNITED STATES ARMY ARMOR SCHOOL ฟอร์ทนอกซ์ ซึ่งอยู่ที่รัฐแคนตั๊กกี้ สหรัฐอเมริกา     ๒๔ เมษายน ๒๔๙๖ เป็นอาจารย์ในแผนกวิชายุทธวิธี กองการศึกษา โรงเรียนยานเกราะ (บริเวณเกียกกาย) กรุงเทพมหานคร     ๓๐ ธันวาคม ๒๔๙๗ เป็นผู้บังคับกองพันทหารม้าที่ ๕ กรมทหารม้าที่ ๒ และรักษาราชการอาจารย์แผนกวิชาทหาร กองการศึกษา โรงเรียนยานเกราะ     ๑๖ ธันวาคม ๒๔๙๘ เป็นอาจารย์หัวหน้าแผนกวิชาทหาร กองการศึกษา โรงเรียนยานเกราะ กองพลทหารม้า     ๑๐ มีนาคม ๒๕๐๑ เป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการโรงเรียนทหารม้ายานเกราะ ศูนย์การทหารม้า 25 ธันวาคม ๒๕๐๑ เป็นรองผู้บัญชาการโรงเรียนทหารม้ายานเกราะ ศูนย์การทหารม้า ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๒ เป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ     พ.ศ. ๒๕๐๓ เข้าศึกษาการวิทยาลัยการทัพบก หลลักสูตรพิเศษชุดที่ ๒ (ยศพันเอก) พ.ศ.๒๕๐๙ เข้าศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรรุ่นที่ ๙ (ยศพันเอก) ๔ กรกฏาคม ๒๕๑๑ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้เป็นสมาชิกวุฒิสภา     ๑ ตุลาคม ๒๕๑๑ เป็นผู้บัญชาการศูนย์การทหารม้า ๑๔ เมษายน ๒๕๑๒ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เป็นองครักษ์เวร     ๑๘ กรกฏาคม ๒๕๑๒ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้เป็นนายทหารพิเศษประจำกรมทหารม้าที่ ๑ รักษาพระองค์     พ.ศ. ๒๕๑๕ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ     ๑๖ ธันวาคม ๒๕๑๕ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เป็นองครักษ์เวรสืบต่อไป ๑ ตุลาคม ๒๕๑๖ เป็นรองแม่ทัพภาคที่ ๒     ๑ ตุลาคม ๒๕๑๗ เป็นแม่ทัพภาคที่ ๒     ๑ ตุลาคม ๒๕๑๘ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เป็นองครักษ์พิเศษ     ๑ ตุลาคม ๒๕๒๐ ปฏิบัติหน้าที่รองผู้อำนวยการป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ทั่วไปฝ่ายทหาร และเป็นผู้ข่วยผู้บัญขาการทหารบก มียศเป็นพลเอก ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๒๐ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เป็นรัฐมนตรีข่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย     ๒๗ กรกฏาคม ๒๕๒๑ เป็นนายทหารพิเศษประจำกรมทหารราบที่ ๑ มหาดเล็กรักษาพระองค์     ๑ ตุลาคม ๒๕๒๑ เป็นผู้บัญชาการทหารบก ๔ ธันวาคม ๒๕๒๑ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้เป็นนายทหารพิเศษ ประจำกรมทหารราบที่ ๑๑ รักษาพระองค์ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๒๒ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม  ๑๒ กรกฏาคม ๒๕๒๒ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้เป็นนายทหารพิเศษ ประจำกรมทหารปืนใหญ่ที่ ๑ รักษาพระองค์ ๓ มีนาคม ๒๕๒๓ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้เป็นนายกรัฐมนตรี  ๒๓ เมษายน ๒๕๒๓ ออกคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๖๖/๒๓ เรื่องนโยบายการต่อสู้เพื่อเอาชนะคอมมิวนิสต์ อันนำไปสู่การยุติสงครามกลางเมืองลงอย่างเด็ดขาด  ๑ พฤษภาคม ๒๕๒๖ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง หลังจากได้ประกาศยุบสภาเมื่อวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๒๖  ๕ สิงหาคม ๒๕๒๙ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง หลังจากได้ประกาศยุบสภา เมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๒๙     

๒๓ สิงหาคม ๒๕๓๑ มีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้า ฯ ให้เป็น องคมนตรี และได้ทรงพระ- กรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานเครื่องอิสริยาภรณ์อัน เป็นโบราณมงคลนพรัตน์ราชวราภรณ์ ซึ่งถือว่าเป็น เครื่องอิสริยาภรณ์ชั้นสูงสุดสำหรับสามัญชน ให้แก่ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๓๑ ได้มีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ ประกาศยกย่องพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ เป็น รัฐบุรุษ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๓๕ ได้รับพระบรมราชานุญาตให้นำพลเอก สุจินดา คราประยูร นายกรัฐมนตรี และพลตรี จำลอง ศรีเมือง หัวหน้าพรรคพลังธรรมและผู้นำกลุ่มมวลชน ในการชุมนุมคัดค้านนายกรัฐมนตรีที่ไม่มาจากการเลือกตั้ง เข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัว เพื่อเจรจาปรับความเข้าใจกัน


คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่