คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 80
เรา31 แฮปปี้กับความโสดมากค่ะ คือมันสบาย
เราว่าคนที่มีครอบครัวก็สุขอีกแบบหนึ่ง มันจะสุขมาก สุขล้ำ แต่มันก็ตามมาด้วยปัญหาและห่วงกังวลไม่รู้จบ ตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์ก็เครียดแล้วว่าลูกจะครบไหม ลากยาวววไปถึงตอนโต ทำงานพอกินไหม จะแต่งงานกับใคร ได้คนดีหรือเปล่า..คือเป็นล้านเรื่องที่ต้องกังวลและต้องแก้ปัญหา
ถ้าไม่มีก็ตัดตรงนี้ไป...เหมือนพระพุทธเจ้าตั้งชื่อโอรสว่าราหุลที่แปลว่าบ่วง
เราคิดว่าการมีลูกก็เหมือนสร้างมนุษย์ให้มาผจญกับเกิด แก่ เจ็บ ตาย มาเวียนว่ายกับวัฏสงสาร ... ถ้ามองในแง่ธรรมชาติก็คือมาเพื่อใช้ทรัพยากรแล้วผลิตมนุษย์รุ่นต่อไปอีก
เราว่าพูดไปก็เหมือนเห็นแก่ตัวมาแต่แรก... แต่งงานมีโซ่ทองคล้องใจ อยากเห็นคนเหมือนเรา อยากเห็นคนที่รักเติบโต อยากมีแรงผลักดันในชีวิต มีเป้าหมาย มีเครื่องยึดเหนี่ยว อยากมีคนดูแลยามแก่...ทั้งหมดทั้งมวลเอาตัวเองเป็นที่ตั้งทั้งนั้น
เราไม่ได้แอนตี้นะ เราก็อยากมีลูก แต่เราคิดว่าการสร้างคนในมาผจญกับชีวิต เราคือคนรับผิดชอบ เราเลี้ยงเขาให้สุขสบายได้ไหม เราให้สิ่งที่ดีที่สุด (ที่เขาควรได้ ไม่ใช่ที่เราทำได้) กับเขาได้หรือเปล่า ให้เขาได้มีความสุข เติบโตเต็มศักยภาพของเขา ดูคลิปครู คลิปนักเรียนแล้วปวดหัวมาก เราส่งลูกเรียนนานาชาติได้ไหม หรือถ้าเรียนในระบบไม่ได้ จะโฮมสกูลได้หรือเปล่า เจ็บป่วยล่ะ การรักษาก็มีหลายเกรด เอาแบบสามสิบบาทนอนเตียงเสริมริมระเบียงหรืออะไรยังไง...เราไม่ได้สปอยล์ลูกนะ แต่เราจะถามตัวเองว่าถ้าอย่างนั้นจะสร้างเขาขึ้นมาทำไม เลี้ยงเขาไม่ดีก็เหมือนบาป
ส่วนในแง่สังคม คือเราอยากให้ลูกแบบทำเพื่อสังคม สร้างอะไรที่มีประโยชน์ (ไหนๆ ก็เกิดมาทั้งที) ผลิตยา สร้างเครื่องมือบางอย่าง หรือทำอะไรที่ยิ่งใหญ่ เรามีศักยภาพพอจะส่งเสริมหรือเปล่า ไม่ใช่ส่งเรียนในระดับหนึ่ง ที่เหลือกู้กยศ. อยากทำงานบางอย่าง แต่ความเป็นจริงบังคับให้เลือกปากท้อง สรุปเกิดมาแล้วเปิดร้านของชำ แล้วตายไปงั้นเหรอ
เราก็เลยแฮปปี้กับคนที่มีลูก ชอบอยู่กับเด็กและหลานๆ สนับสนุนตามกำลังและโอกาส แต่เราไม่ได้อิจฉา เพราะคอนเซ็ปต์ในการมีลูกของเราไม่เหมือนคนอื่น เราก็คิดว่าถ้าไม่มีจริงๆ ก็อาจจะเลี้ยงเด็กกำพร้าเอาได้ ไม่ยึดติดว่าไม่ใช่สายเลือด เพราะถ้าเป็นลูกเราเราก็อยากให้ไปโตไกลๆ เป็นไม้ไกลต้น ...ซึ่งสุดท้ายเราก็อาจจะอยู่คนเดียวเหมือนไม่มีลูกอยู่ดี
เราว่าถ้าเราเหงา เราต้องหาเป้าหมาย( purpose ) ไม่ใช่ (people) ไม่ยึดติดบุคคลแบบอย่าง (idol) แต่ศรัทธาในแนวคิดของคนเหล่านั้น (ideas) เพราะทุกคนไม่มีใครสมบูรณ์แบบ ... แล้วเราก็ทำงาน ทำสิ่งที่เรามีแพสชั่นนั้นไปจนเราทำไม่ไหว ...อาจจะเขียนหนังสือ เป็นอาจารย์ เปิดบ้านสงเคราะห์สัตว์ฝึกสอนสัตว์ ทำงานอาสา ท่องเที่ยว อะไรทำนองนั้น ลูกหลานคิดถึงก็ไปหา เราดีกับเขาเขาก็คิดถึง เขาก็มาหา แต่ไม่จะไม่ยึดติดกับใครหรือเป็นภาระใคร
เราว่าคนที่มีครอบครัวก็สุขอีกแบบหนึ่ง มันจะสุขมาก สุขล้ำ แต่มันก็ตามมาด้วยปัญหาและห่วงกังวลไม่รู้จบ ตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์ก็เครียดแล้วว่าลูกจะครบไหม ลากยาวววไปถึงตอนโต ทำงานพอกินไหม จะแต่งงานกับใคร ได้คนดีหรือเปล่า..คือเป็นล้านเรื่องที่ต้องกังวลและต้องแก้ปัญหา
ถ้าไม่มีก็ตัดตรงนี้ไป...เหมือนพระพุทธเจ้าตั้งชื่อโอรสว่าราหุลที่แปลว่าบ่วง
เราคิดว่าการมีลูกก็เหมือนสร้างมนุษย์ให้มาผจญกับเกิด แก่ เจ็บ ตาย มาเวียนว่ายกับวัฏสงสาร ... ถ้ามองในแง่ธรรมชาติก็คือมาเพื่อใช้ทรัพยากรแล้วผลิตมนุษย์รุ่นต่อไปอีก
เราว่าพูดไปก็เหมือนเห็นแก่ตัวมาแต่แรก... แต่งงานมีโซ่ทองคล้องใจ อยากเห็นคนเหมือนเรา อยากเห็นคนที่รักเติบโต อยากมีแรงผลักดันในชีวิต มีเป้าหมาย มีเครื่องยึดเหนี่ยว อยากมีคนดูแลยามแก่...ทั้งหมดทั้งมวลเอาตัวเองเป็นที่ตั้งทั้งนั้น
เราไม่ได้แอนตี้นะ เราก็อยากมีลูก แต่เราคิดว่าการสร้างคนในมาผจญกับชีวิต เราคือคนรับผิดชอบ เราเลี้ยงเขาให้สุขสบายได้ไหม เราให้สิ่งที่ดีที่สุด (ที่เขาควรได้ ไม่ใช่ที่เราทำได้) กับเขาได้หรือเปล่า ให้เขาได้มีความสุข เติบโตเต็มศักยภาพของเขา ดูคลิปครู คลิปนักเรียนแล้วปวดหัวมาก เราส่งลูกเรียนนานาชาติได้ไหม หรือถ้าเรียนในระบบไม่ได้ จะโฮมสกูลได้หรือเปล่า เจ็บป่วยล่ะ การรักษาก็มีหลายเกรด เอาแบบสามสิบบาทนอนเตียงเสริมริมระเบียงหรืออะไรยังไง...เราไม่ได้สปอยล์ลูกนะ แต่เราจะถามตัวเองว่าถ้าอย่างนั้นจะสร้างเขาขึ้นมาทำไม เลี้ยงเขาไม่ดีก็เหมือนบาป
ส่วนในแง่สังคม คือเราอยากให้ลูกแบบทำเพื่อสังคม สร้างอะไรที่มีประโยชน์ (ไหนๆ ก็เกิดมาทั้งที) ผลิตยา สร้างเครื่องมือบางอย่าง หรือทำอะไรที่ยิ่งใหญ่ เรามีศักยภาพพอจะส่งเสริมหรือเปล่า ไม่ใช่ส่งเรียนในระดับหนึ่ง ที่เหลือกู้กยศ. อยากทำงานบางอย่าง แต่ความเป็นจริงบังคับให้เลือกปากท้อง สรุปเกิดมาแล้วเปิดร้านของชำ แล้วตายไปงั้นเหรอ
เราก็เลยแฮปปี้กับคนที่มีลูก ชอบอยู่กับเด็กและหลานๆ สนับสนุนตามกำลังและโอกาส แต่เราไม่ได้อิจฉา เพราะคอนเซ็ปต์ในการมีลูกของเราไม่เหมือนคนอื่น เราก็คิดว่าถ้าไม่มีจริงๆ ก็อาจจะเลี้ยงเด็กกำพร้าเอาได้ ไม่ยึดติดว่าไม่ใช่สายเลือด เพราะถ้าเป็นลูกเราเราก็อยากให้ไปโตไกลๆ เป็นไม้ไกลต้น ...ซึ่งสุดท้ายเราก็อาจจะอยู่คนเดียวเหมือนไม่มีลูกอยู่ดี
เราว่าถ้าเราเหงา เราต้องหาเป้าหมาย( purpose ) ไม่ใช่ (people) ไม่ยึดติดบุคคลแบบอย่าง (idol) แต่ศรัทธาในแนวคิดของคนเหล่านั้น (ideas) เพราะทุกคนไม่มีใครสมบูรณ์แบบ ... แล้วเราก็ทำงาน ทำสิ่งที่เรามีแพสชั่นนั้นไปจนเราทำไม่ไหว ...อาจจะเขียนหนังสือ เป็นอาจารย์ เปิดบ้านสงเคราะห์สัตว์ฝึกสอนสัตว์ ทำงานอาสา ท่องเที่ยว อะไรทำนองนั้น ลูกหลานคิดถึงก็ไปหา เราดีกับเขาเขาก็คิดถึง เขาก็มาหา แต่ไม่จะไม่ยึดติดกับใครหรือเป็นภาระใคร
แสดงความคิดเห็น
คนโสดอายุ 30 ปีขึ้น ก็มีความสบายในชีวิตโสดดีอะนะ แต่...มันก็เกิดความรู้สึกนี้ที่เลี่ยงไม่ได้จริง ๆ ใครเป็นแบบเรามั่ง
- ยามนอน จะใส่ชุดอะไรก็ได้ ใส่ชั้นใน ไม่ใส่สักชิ้น จะแก้ผ้านอนมันก็เรื่องของเรา ตอนนอนจะนอนกรนมั่ง ผายลมมั่ง
เสียงดังโลกแตกก็ไม่ต้องแคร์อะไร ก็มันนอนคนเดียวนี่นะ
- ไม่มีสามี ก็ไม่ต้องมาหงุดหงิดว่าอยู่ด้วยกัน สามีจะทำซ๊กมกไรมั่งในบ้าน เช่น ขากเสลด ตัวเหม็น ทำบ้านโสโครกให้เราเช็ดล้าง ทำห้องน้ำสกปรกงี้
ตื่นขึ้นมาก็ไม่ต้องมาดมขี้ฟันสามีไรงี้
- เรื่องเงินๆ ทอง ๆ ใช้อย่างสบายใจไม่ต้องนึกถึงลูก ก็ไม่มีลูกนี่
- ชีวิตเราเหลือแต่แม่ ดูแต่แม่คนเดียว
- อยากทำอะไรก็ทำ ไม่ต้องแคร์อะไร (ยกเว้นแม่นะ)
- ความโสดนั้นมันไม่มีภาระไรมาก แม่เราก็มีเงินใช้หลังเกษียณอายุราชการ เราอยากซื้ออะไรก็จะซื้อ อยู่กะแม่สองคน
- เวลาตัดสินใจไรก็ตัดสินใจเลย หลังจากถามแม่แล้ว ไม่ต้องคิดถึงแฟน ก็ไม่มีแฟน ไม่มีสามี ไม่มีลูก มีแต่แม่ที่รับได้ในสิ่งที่เราเป็น
- มีอิสระ ไม่ต้องแอ๊บทำตัวน่ารัก ให้ผู้ชายสนใจ ก็ผู้ชายชอบผู้หญิงที่พยายามทำตัวน่ารัก อ่อนหวาน แต่เราไม่ใช่ และเราอึดอัดใจที่จะทำ ทำแล้วยี้ตัวเอง
เราเบื่อที่ผู้ชายบางคนชอบมาสั่งทำเหมอืนผู้หญิงเป็นตุ๊กตาไร้สมอง แต่งตัวแบบนั้นสิ อย่างงี้สิ ไว้ผมยาวสิ เป็นคนหน้าหวานนะ แต่งหน้าแล้วสวยนะ ทำไมไม่แต่งหน้าล่ะ น่ารักนะ แต่พูดจาให้มันดีๆ หน่อยสิ รู้มะพูดจาแบบนี้มันเถื่อนยังงั้นยังงี้ ต่ำงั้นต่ำงี้ เป็นผู้หญิงนะ ทำไมชอบพุดเหมือนผู้ชาย เรารู้สึกไม่ชอบการถูกบังคับ ก็เราจะเป็นของเรางี้ ทำไมต้องเปลี่ยน เหนื่อย ปวดหน้า เกร็งไม่ไหวอะ ไม่รู้ผู้หญิงบางคนทนให้ผู้ชายสั่งไปได้ไงนะ แต่เราไม่ไหวจริงๆ เหนื่อย
นี่คือข้อดีของความโสดที่เราค้นพบมานานนนนนนน...หรือชั่วชีวิต
แต่....
ในความโสดที่เราคิดเสมอว่ามันสบาย และมีอิสระ เสรีอย่างที่สุด สบาย ๆ ไม่ต้องแคร์อะไรนั้น
ยิ่งเราอายุมากขึ่นๆ เรากลับพบว่า
- เพื่อนของเรา เพื่อนรอบตัวเรากลับน้อยลง มีเวลาให้เราน้อยลง เพื่อนๆ ของเราแต่งงานกันไปหมดแล้ว เอาเวลาไปทุ่มเทให้ผัว ให้ลุก ให้แฟน เราไม่มีเพื่อนไปเที่ยวด้วยเลย เหงามาก เวลาของเพื่อนๆ เราต่างหมดไปกับครอบครัว ความสำคัญทีมีให้เรา เรามันตกอันดับไปจนท้ายโหล่ เหมือนถูกลืม
มันเจ็บนะ ที่เพื่อน ๆ แต่งงานกันไปหมด แต่เรายังโสด และเหมือนเพื่อนไม่มีเวลาให้เราอีกต่อไป
- ยิ่งเราอายุมาก คนรอบตัว ญาติผู้ใหญ่มักถาม เมื่อไหร่จะแต่งงาน จะมีแฟน บางคนล้อว่า อย่างเจ้านี่คงอีกนาน ช่างเลือก ต้องใช้เวลาเลือกอีกนาน ฟังแล้วมันจิ๊สสสส... จริงๆ เราไม่มีปัญหากับความโสดอะนะ แต่มันรำคาญ คำถาม และสิ่งแวดล้อมรอบตัว เพื่อนๆ เราก็เร่งให้มีได้แล้ว รีบหาด่วน
มันกดดันจริงๆ จะหาคนที่เราถูกใจจริงๆ และเขาก็ชอบเราตอบจริงๆ มันยากนะ เพราะเราอยากอยู่กะเขาชั่วชีวิต ไม่ใช่อยู่ไปได้ไม่กี่ปีก็เลิก แถมมีพยานอย่างลูกมาตอกย้ำความล้มเหลวของชีวิตแต่งงาน
- เวลาเราเปิดเฟซบุ๊ค เรามักเห็นภาพเพื่อนๆ ที่มีครอบครัว เขามีสามีที่รัก ลูกที่รัก เขาแสดงความรักต่อกันผ่านภาพที่อัปโหลดลงโชว์ชาวบ้าน อัปเดทเรื่องราว เรื่องลูก เรื่องผัว ลุกเขียนหนังสือได้ คุณแม่สอนเอง เข้าโรงเรียนแล้วนะ ไปพักผ่อนวันหยุด มีความสุขสุขที่สุด ฯลฯ ที่เป็นเรื่องรา่วในครอบครัว โพสต์อารมณ์ความสุขล้นเหลืออวดชาวบ้าน จูบกัน กอดกัน จูงมือกัน ตามประสามนุษย์พ่อมนุษย์แม่ยังสาวยังหนุ่มที่กำลังเห่อการสร้างครอบครัว เรารู้สึกว่าเห็นแล้วมันโหวงเข้าไปในหัวใจ ในใจเรามันรู้สึกว่างเปล่า เห็นแล้วถึงกับกำมือ มันเป็นอารมณ์แบบไขว่คว้ามาไม่ได้ ณ วันนี้เ เราไม่มีลูกให้อุ้ม ให้รัก ให้ดูแล ไม่มีลูกให้เราสอนการบ้าน สอนอ่านหนังสือ เรามีความพร้อมมากกว่าพ่อแม่ส่วนใหญ่ด้วยซ้ำถ้าเป็นเรื่องเรียน เรื่องทำการบ้าน เราเป็นคนชอบเรียน ชอบอ่าน เรามีหนังสือมากมาย เพราะเป็นคนชอบอ่าน ชอบสะสมมาตั้งแต่ยังเด็ก แต่หนังสือพวกนี้อาจจะสูญเปล่าเมื่อเราตายไป ไม่มีทางที่เราจะได้มอบนิสัยรักการอ่านให้ใคร เพราะเราไม่มีทายาท ไม่มีเด็กน้อยๆ ให้เราอ่านนิทานให้ฟังก่อนนอน ไม่มีสามีให้มองด้วยความเสน่หา เราไม่มีสักอย่าง ไม่มีแม้แต่แฟน เราต้องนอนคนเดียว จิกที่นอนและรู้สึกว่ามันว่างเปล่า เหงา เปล่าเปลี่ยว ขณะที่คนอื่นๆ เพื่อนๆ เรามีลูกให่กอด มีสามีมาสะกิดให้ทำการบ้านตามประสาภรรยาตอนลูกหลับไปแล้ว แต่เราต้องนอนคนเดียว
- เราบอกตรงๆ ว่าเราไม่ค่อยเข้าใจเวลา มนูษยืพ่อมนุษย์แม่ คุยอวดกันเรื่องลูกตัวเอง เราไม่ค่อยมีอารมณ์ร่วมไปกับพวกเขา
ฟังแล้วรู้สึกว่า ตรูไม่รู้จะพูดอะไรดี กลัวพูดแล้วไม่ถูกใจ เดี๋ยวโดนด่า เวลาฟังมนุษยืพ่อมนุษย์แม่คุยเรื่องลูกตัวเอง เราได้แต่เงียบ
เพราะเราขาดอารมณ์ร่วมกับสถานการณ์ และเราอึดอัดมาก เหมือนตอนนี้เราอยู่ตัวคนเดียว เราไม่เข้าใจอารมณ์คนมีลูกแล้วอยากจะอวดเรื่องลูกตัวเอง
พูดเหมือนว่าคนทั้งโลกเขาไม่มีวันเบื่อที่จะฟังเรื่องเล่าเกี่ยวกับลูกของตัวเอง พวกมนุษย์พ่อมนุษญ์แม่ คุยเรื่องลูกตัวเองได้ทั้งวัน
แต่คนฟังอย่างเรา ฟังแล้วไม่เก็ทเลย เราพุดไม่ออก และไม่รู้จะพูดอะไรให้เขาถูกใจด้วย
- ชีวิตเราตอนนี้เหลือแต่แม่ แต่ถ้าวันนึง เมื่อวัฏจักรชีวิตมมุษย์จบลง เราก็ต้องอยู่คนเดียว สิ่งนี้ทำให่เรารู้สึกหนาวเหน็บถึงกระดูก
ถ้าวันนั้นมาถึงและเราไม่มีลูก ไม่มีสามี เราจะเหงาขนาดไหน เราจะคุยกับใคร
โดยสรุป เราไม่มีปัญหาอะไรกับความโสด ถ้าคนทั้งโลก ไม่มีคู่ มีแต่คนโสด เราคงสบายใจกว่านี้ บางทีข้อแม้
หรือคำว่าแต่อาจจะไม่มีสำหรับเงื่อนไขของความโสดก็ได้ ถ้าสิ่งแวดล้อม ไม่ผลักดันให้คนโสดรู้สึกว่าตัวเองแปลกแยก
เพิ่มเติมค่ะ มีต่อที่กระทู้นี้
http://pantip.com/topic/35660337