ริษยารักข้ามภพ ตอนที่ 10

กระทู้สนทนา

ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เนต



ริษยารักข้ามภพ


โดย...ล. วิลิศมาหรา

ตอนที่ 10

เล่ห์เสน่หา



ก่อนถึงเวลาเจ้าฟ้ากล่าวขอบคุณแขกเหรื่อและอวยพรให้แก่คู่บ่าวสาวเล็กน้อย คู่สมรสชวนกันขึ้นไปรอรับเสด็จบนเวทีไม้สูงแค่เอวด้านหน้าหอหลวง เจ้าชายดำเนินนำหน้าพระชายา แต่พอย่างก้าวขึ้นบันไดเวทีไปได้เพียงขั้นเดียว พลันนางก็เกิดอาการซวนเซ รู้สึกว่าตัวเองผิดปกติจึงร้องเรียกคนเดินนำหน้าให้ช่วยด้วยเสียงอันดัง ก่อนสติทั้งมวลจะดับวูบลง
ร่างของเจ้าสาวซึ่งจู่ ๆ ก็ล้มฟุบลงคาขั้นบันไดเวทีโดยไม่มีผู้ใดทันได้ช้อนกายเอาไว้สร้างความแตกตื่นตกใจให้แก่ผู้พบเห็น เสียงหวีดร้องของเหล่านางกำนัลรอบข้างเวทีจึงดังขึ้นท่ามกลางความตกตะลึงของบรรดาพระญาติและแขกเหรื่อ ทันทีนั้นก็เกิดความโกลาหล ผู้คนต่างวิ่งกรูกันเข้ามายังพระนางผู้เป็นเจ้าสาวที่บัดนี้สิ้นสติลง
ในที่สุดพิธีเลี้ยงฉลองมงคลสมรสของพระนัดดาเจ้าฟ้าก็ต้องยุติลงก่อนเวลาอันควร บัดนี้ร่างไร้สติสมประดีของเจ้าสาวถูกนำเข้ามานอนเหยียดยาวอยู่บนเตียงในห้องหออย่างเร่งด่วน มีเจ้าบ่าวหมาด ๆ เฝ้าอยู่ข้างเตียงด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล นายแพทย์สมิธ เรสทอริก หมอหลวงประจำหอคำถูกตามตัวมาตรวจรักษาอาการอย่างเร่งด่วน หลังถวายการตรวจเสร็จ สวามีหนุ่มซึ่งเฝ้าจ้องมองอย่างเป็นห่วงก็รีบถามถึงอาการของชายาทันที
“เจ้าม่านเป็นอย่างไรบ้างท่านหมอ”
นายแพทย์ชาวอังกฤษวัยกลางคน ร่างท้วมและค่อนข้างเตี้ยกว่าชาวยุโรปทั่วไปลูบศีรษะเถิกล้านของตัวเองไปมา แววตาหลังแว่นสายตากรอบหนาครุ่นคิด หมอฝรั่งท่าทางใจดีวางไฟฉายและหูฟังที่ใช้ตรวจลงบนโต๊ะข้างเตียง แล้วหันมาทูลว่า
“เจ้านางทรงมีไข้ ความดันโลหิตค่อนข้างต่ำ ชีพจรก็เต้นเบาเร็ว ลักษณะอาการคล้ายคนเป็นลมและอาจมีอาการของโรคโลหิตจางร่วมด้วย ดูเหมือนสุขภาพของเจ้านางจะไม่ค่อยแข็งแรง ท่านซีดลงอีกแล้วขอรับ”เขาตอบด้วยท่าทีประหลาดใจ แววตาสีเขียวมะกอกคล้ายครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
“เมื่อเดือนที่แล้วก่อนไปอังกฤษ ท่านมาตรวจร่างกายให้นาง ท่านหมอยังชมอยู่เลยว่าสุขภาพของนางดีขึ้นมาก ทำไมตอนนี้ถึงยังเป็นลมเป็นแล้งง่ายๆ อยู่อีก”
เสียงบ่นอย่างเป็นห่วงและไม่เข้าใจของสวามีคนนอนป่วยดังขึ้น ซึ่งคนเป็นหมอก็รีบชี้แจง
“กระผมได้ถวายการรักษาด้วยโอสถบำรุงโลหิตแก่เจ้าม่านมาระยะหนึ่งแล้ว อาการซีดเมื่อเดือนก่อนดีขึ้นมาก ผมเองก็ประหลาดใจที่อาการนี้กลับมาเป็นอีกเร็วเกินไป สาเหตุเพราะโลหิตจางจึงทำให้อ่อนเพลียจนเป็นลมและประชวรง่ายขอรับ”
อธิบายทั้งยังมึนงงกับอาการเจ็บป่วยของคนไข้สูงศักดิ์ เก็บอุปกรณ์ตรวจร่างกายทั้งหมดลงกระเป๋าหนังสีดำ ก่อนถวายถุงใส่โอสถเม็ดสีต่างๆ ถุงหนึ่งให้แก่สวามีคนไข้
“ขณะนี้เจ้านางพ้นขีดอันตรายแล้ว กระผมได้ฉีดยาลดไข้และยานอนหลับถวายเพื่อให้ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ เมื่อเจ้านางตื่นแล้วกรุณาให้ท่านทานโอสถตามที่กระผมจัดไว้นี้ด้วยนะขอรับ”
“ม่านมณีจะมีโอกาสหายขาดจากโรคที่เป็นอยู่นี้หรือไม่ท่านหมอหลวง”หลังฟังคำวินิจฉัยคลุมเครือของหมอหลวงแล้วยิ่งวิตก คนนั่งเฝ้าจึงถามขึ้นอย่างไม่คลายกังวล
“เรียนท่านตามตรง กระผมเองก็ไม่สามารถระบุแน่ชัดได้ว่าเจ้าม่านจะหายจากพระอาการนี้หรือไม่ เนื่องจากโรคนี้เป็นโรคซับซ้อน เกี่ยวข้องกับอวัยวะภายในหลายอย่าง และมีสาเหตุบางประการที่กระผมไม่เข้าใจ แต่กระผมจะพยายามรักษาเจ้านางจนสุดความสามารถขอรับ”
นายแพทย์ต่างชาติตอบแบ่งรับแบ่งสู้ ประสบการณ์รักษาเจ้านายในรั้วในวังสอนให้เขารู้ว่าต้องสุขุมรอบคอบ ไม่ตอบแบบฟันธงซึ่งจะผูกมัดตัวเอง หากไม่แน่ใจแล้วไปรับรองว่ารักษาหายแน่แต่กลับรักษาไม่ได้ตามคำพูดก็อาจต้องโทษเอาง่ายๆ เขาลุกขึ้นสะพายกระเป๋ายาเตรียมตัวจะลากลับที่พัก ครั้นเหลือบไปเห็นคำแปงยืนถือถาดใส่ถ้วยน้ำยาสมุนไพรรออยู่หลังห้องก็เกิดความสงสัย
“นั่นถ้วยใส่น้ำยาสมุนไพรรึขอรับ”
“อ๋อ ใช่แล้ว เป็นยาสมุนไพรลดไข้ที่เจ้าคำหยาดฝนมาให้เจ้าม่านกินเวลามีไข้ มันลดไข้ได้ผลดีไม่แพ้ยาสำเร็จรูปของท่านหมอทีเดียว และเจ้านางบอกว่ามันมีสรรพคุณบำรุงร่างกายให้แข็งแรงอีกด้วย”
หมอฝรั่งมีสีหน้าเคร่งขรึมลง เขาผงกศีรษะเป็นเชิงรับรู้ก่อนกล่าวอำลาเพื่อเดินทางกลับที่พักซึ่งอยู่ไม่ไกลจากหอหลวงเท่าใดนัก
บนระเบียงชั้นสองตำหนักที่ประทับของราชนิกุลเจ้านายเมืองเวียงแถน ตรงตำแหน่งห้องบรรทมของเจ้านางคำหยาดฟ้า สองนายบ่าวเฝ้ามองดูรถของนายแพทย์ชาวอังกฤษที่เคลื่อนตัวออกไปจากลานหน้าหอหลวงซึ่งบัดนี้ว่างโล่ง เนื่องจากแขกในงานเลี้ยงฉลองพิธีมงคลสมรสได้พากันทยอยกลับไปจนหมดหลังจากที่เจ้าสาวมีอาการประชวรกะทันหันกลางงาน
“นึกว่าหมอสมิธไปอังกฤษคราวนี้จะไม่กลับมาอีกแล้ว ที่ไหนได้เขาแค่พาเมียไปส่ง”เสียงพึมพำเชิงบ่นดังขึ้น หน้างามง้ำงอลงอย่างขัดใจ
“ท่าทางหมอฝรั่งจะสงสัยอาการป่วยของเจ้าม่านว่าจะเป็นเพราะน้ำยาว่านลืมคิงนะเจ้าข้า”
“แต่เขายังไม่พูดว่ากระไรใช่หรือไม่”คิ้วงามขมวดเข้าหากันขณะถาม กิริยาขัดเคืองเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นวิตกกังวลขึ้นมาแทน
“ท่านหมอแค่ถามเจ้าภูมินทร์ว่า เจ้าม่านกินน้ำยาสมุนไพรแบบนี้ทุกครั้งที่มีไข้ใช่ไหมเท่านั้นเจ้าข้า”บัวตองตอบนายหญิงตามที่ได้ยินคำแปงเล่าให้ฟัง ซึ่งมันได้ทำให้คนฟังยิ่งมีท่าทางเคร่งเครียดมากขึ้น
“จะถามซอกแซกทำไมนะ ยุ่งไม่เข้าเรื่อง หวังว่าคงไม่ปากมากไปกว่านี้นะท่านหมอ”
หน่วยเนตรวาวขึ้นเมื่อเอ่ยถึงหมอหลวงชาวอังกฤษผู้เคยเป็นอาจารย์ประสาทวิชาปรุงยาสมุนไพรให้แก่ตน เรื่องน้ำยาชนิดพิเศษนี้ไม่มีใครรู้จักนอกจากตนกับหมอฝรั่ง เธอเกรงว่าหมอฝรั่งจะบอกคนอื่นเกี่ยวกับตัวยานี้ ที่เธอลอบปรุงมันขึ้นอย่างลับๆ เพื่อจุดประสงค์บางอย่าง
ท่าทีของนายสาวทำให้บัวตองที่ยืนสงบเสงี่ยมอยู่ข้างๆ เห็นแล้วเกิดสะดุ้งขึ้นในใจ นางบ่าวผู้จงรักไม่ชอบจริยานี้ของผู้เป็นนายเลย เธอกริ่งเกรงความลุ่มหลงมัวเมาในความรักจะทำให้เจ้านางทูนหัวของเธอพลาดพลั้งทำในสิ่งเลวร้าย แต่เธอก็เป็นเพียงบ่าวไพร่ที่ไหนจะกล้าเอ่ยวาจาออกมาตามอย่างที่คิด บ่าวบัวตองจึงได้แต่อึดอัดขัดข้องอยู่ในใจ ซึ่งก็เป็นเพราะความจงรักภักดีที่ตนมีต่อเจ้านางสาวผู้เป็นนายนั่นเอง

“สวัสดีท่านหมอ”เสียงทักจากด้านหลังทำให้หมอสมิธ เรสทอริก ชะงักเท้าที่กำลังก้าวเข้ามาในตำหนักฝ่ายใน เพื่อขึ้นไปถวายการรักษาแก่เจ้านางม่านมณียังชั้นสองของตำหนัก เขาหันมาตามเสียงเรียกก็พบเจ้าแม่อุษาประไพยืนอยู่ที่เฉลียงและกำลังมองมาทางเขาอยู่ นางตรงมาหาพลางผายมือไปทางชุดเก้าอี้ไม้สักซึ่งตั้งอยู่มุมหนึ่งภายในเฉลียง
“เชิญท่านนั่งคุยกับเราสักครู่ก่อนเถิด”บอกแล้วก็นำหน้าไปนั่งลงที่เก้าอี้ตัวหนึ่งก่อน นายแพทย์หนุ่มใหญ่จึงจำต้องเดินตามมา เขาถวายคำนับแล้วนั่งลงบนเก้าอี้อีกตัว  
“ท่านคงเห็นถึงความผิดปกติบางอย่างที่เกิดขึ้นกับเจ้าม่าน”โดยไม่อ้อมค้อม นางปรารภขึ้นทันทีที่หมอต่างชาตินั่งลงเรียบร้อยแล้ว ดวงเนตรยาวรีจ้องหน้าเขาอย่างคาดคั้น
“ท่านหมายถึงกระไรหรือขอรับ”
หมอฝรั่งเลิกคิ้วขึ้นสูงย้อนถามอย่างหยั่งเชิง เรื่องราวซับซ้อนในหอหลวงแห่งนี้มีมากมาย ถึงเขาเป็นชาวต่างชาติแต่ก็เข้ามาถวายการรักษาเจ้านายหลายพระองค์ที่นี่มานานปี มันนานพอจะรู้ดีถึงสถานะความเป็นอยู่และบทบาทของเจ้านายแต่ละพระองค์ ตลอดจนความขัดแย้งต่างๆ ที่มีอยู่ เพราะฉะนั้น เรื่องราวอันใดซึ่งจะนำพาความยุ่งยากมาให้ เขาจึงพยายามหลีกเลี่ยง ไม่ทำตัวไปเข้าด้วยกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ทำนอง“รู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง”
“อย่ามาทำไขสือหน่อยเลย ท่านก็รู้อยู่แก่ใจว่าเราหมายถึงอะไร เจ้าม่านมิได้ป่วยไข้ธรรมดาแต่นางโดนวางยาพิษใช่หรือไม่”
“โอ กระผมมิอาจยืนยันเช่นนั้นได้”อุทานออกมาด้วยความตกใจต่อคำกล่าวหาร้ายแรงนั้นและรีบปฏิเสธทันที แต่สตรีตรงหน้าหาได้เชื่อไม่ ยังคงคาดคั้นเขาต่อ
“เจ้านางคำหยาดศึกษาเรื่องสมุนไพรมาจากท่านมิใช่รึ นางมีความเชี่ยวชาญในการใช้สมุนไพรมาก ซึ่งข้าแน่ใจว่าสมุนไพรเหล่านั้นต้องมีบางชนิดที่มีพิษ ข้าสังเกตมานาน ทุกครั้งที่เจ้าม่านป่วย เจ้าคำหยาดจะฝนยาสมุนไพรบางอย่างให้นางกิน เมื่ออาการทุเลาลงสักพักนางก็จะกลับมาป่วยอีก เรื่องนี้แม้แต่ท่านเองก็ไม่รู้สาเหตุ แล้วท่านไม่คิดว่ามันแปลกบ้างหรือ เจ้าม่านนั้นใครก็รู้ว่าเป็นศัตรูหัวใจของเจ้าคำหยาด ข้าไม่เชื่อหรอกว่านางจะคิดรักษาเจ้าม่านด้วยใจบริสุทธิ์ บอกเรามาตามตรงเถอะว่าสมุนไพรที่เจ้าคำหยาดให้เจ้าม่านกินนั้นเป็นสมุนไพรชนิดใดกัน”
เมื่อเห็นหมอฝรั่งยังอ้ำอึ้ง นางก็วางถุงผ้าไหมสีแดงสดใหญ่ขนาดฝ่ามือถุงหนึ่งที่ถือมาด้วยลงบนโต๊ะ
“ท่านยังนึกชื่อไม่ออกก็ไม่เป็นไร เราฝากถุงใส่ทองคำนี้ให้ท่านนำกลับไปที่พักด้วย ต่อเมื่อท่านนึกชื่อสมุนไพรนั้นออก เราจะกำนัลท่านด้วยทองคำแท้อีกหลายแท่ง เชิญท่านขึ้นไปตรวจดูอาการเจ้านางม่านมณีเถิด”
พูดจบก็ลุกขึ้น และไม่ทันให้เขาได้ตอบรับหรือปฏิเสธนางก็ผละจากไปโดยเร็ว ทิ้งให้ชายผมทองนั่งอึ้งอยู่ที่เดิมด้วยท่าทีลำบากใจตามลำพัง พระชายารองคนนี้ช่างสังเกตและฉลาด นางสงสัยน้ำยาสมุนไพรชื่อว่านลืมคิงที่ถูกปรุงขึ้นโดยเจ้าหญิงลูกศิษย์ของเขา ซึ่งสมุนไพรชนิดนี้มีพิษจริงตามที่นางเคลือบแคลง ซึ่งตนก็กำลังสงสัยว่าศิษย์สาวสูงศักดิ์คิดจะวางยาเจ้านางม่านมณี
ทำไมเขาจะดูไม่ออกว่าเจ้าแม่อุษาประไพคิดจะให้เขาเป็นคนเปิดโปงพฤติกรรมของเจ้านางองค์โต ซึ่งมันเป็นเรื่องที่เนื้อไม่ได้กินแต่เห็นทีจะถูกนางเอากระดูกมาแขวนคอเข้าให้เสียแล้ว เมื่อไม่รู้จะทำอย่างไรดีจึงได้แต่เก็บถุงผ้าไหมสีแดงนั้นใส่ลงในกระเป๋าหนังสีดำของตัวเอง ก่อนลุกยืนขึ้นยืนแล้วเดินไปที่บันไดเพื่อขึ้นไปสู่ชั้นบนของตำหนักต่อไป
เรื่องราวทั้งหมดนี้อยู่ในสายตาของบัวตองบ่าวหญิงของเจ้านางคำหยาดฟ้าที่แอบดูอยู่ตรงมุมข้างบันได นางกำนัลรีบหลบไปก่อนที่หมอชาวอังกฤษจะเดินมาถึง

“นางคิดจะใช้เรื่องนี้สร้างความแตกแยกระหว่างพวกเรา”ประกายในเนตรงามของเจ้านางคำหยาดฟ้าลุกโชนขึ้นอีกครั้ง หลังจากฟังนางกำนัลเล่าเรื่องที่แอบได้ยินมาจบลง
“อย่าหวังว่าจะได้สมใจเลยเจ้าแม่อุษาประไพ ข้านี้แม้นใครดีก็ดีด้วย แต่หากใครร้ายมาข้าก็จักร้ายตอบ และจะร้ายให้ยิ่งกว่าเป็นร้อยเท่าพันเท่า”
น้ำเสียงซึ่งเคยหวานใสบัดนี้ดูกราดเกรี้ยวแข็งกระด้าง หน้างามบึ้งตึงอย่างที่บัวตองไม่เคยเห็นมาก่อน นางกำนัลคนสนิทหวาดหวั่นต่อการเปลี่ยนแปลงของจริยานี้อย่างยิ่ง
“โปรดอภัยให้ข้าน้อยที่บังอาจถาม ว่านลืมคิงที่เจ้านางฝนให้เจ้าม่านดื่มนี้มีพิษร้ายแรงเพียงใด ข้าเจ้าเกรงว่าหากนางถึงกับสิ้นไปจะยิ่งเข้าทางเจ้าแม่อุษาประไพนะเจ้าข้า”
แม้เกรงนายสาวจะกริ้วเพียงใด แต่ด้วยความห่วงใยในตัวนายหญิงที่ตนรักและเทิดทูนบูชามีมากกว่า ข้ารับใช้ผู้จงรักจึงรวบรวมความกล้าถามถึงสมุนไพรที่ใช้ นายหญิงของเธอหันขวับมาจ้องใบหน้านางบ่าวคนสนิท ซึ่งก็เห็นแต่นัยน์ตาใสซื่อที่มองตอบมาอย่างภักดี ประกายคมกล้าในดวงตาเธอจึงอ่อนแสงลง ยิ้มอ่อนหวานปรากฏบนพักตร์แฉล้มดังเดิม
“อย่าวิตกไปเลยพี่บัวตอง ว่านนี้มีชื่อเรียกว่าว่านลืมคิง ชื่อมันก็บอกอยู่แล้วว่าหากกินเข้าไปจะทำให้สะลึมสะลือเท่านั้น มิได้มีอันตรายถึงแก่ชีวิต ที่ข้าเลือกใช้สมุนไพรชนิดนี้ลดไข้ให้เจ้าม่าน ก็เพียงต้องการฤทธิ์ง่วงซึมของมันสะกดให้นางไม่ถึงกับปีกกล้าขาแข็งจนเกินไป ข้าแค่ต้องการรั้งนางไว้สักระยะ เพราะเกรงว่าหากนางแข็งแรงดีเร็วก็จะยุให้เจ้าอากับเจ้าพี่กลับไปพบอันตรายที่เมืองห้วยยางลายในขณะที่เพลานี้ยังมีพวกพม่าปกครองอยู่เท่านั้น”
“แต่ถ้าหากหมอสมิธบอกเรื่องนี้ออกไป ข้าเจ้าก็ยังหวั่นใจว่าเจ้าหลวงและเจ้าภูมินทร์จะขุ่นเคืองเจ้านางของข้าเจ้าเอาได้นะเจ้าข้า”สุ้มเสียงของนางกำนัลยังไม่คลายความกังวล คราวนี้รอยยิ้มอ่อนหวานเปลี่ยนไป ริมฝีปากงามเหยียดออกอย่างท้าทาย
“ก็ต้องมาดูกันว่าหมอสมิธจะกล้าหรือไม่"
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่