สวัสดีวัยรุ่น ตอนอายุ 25 ปี คุณทำอะไรอยู่ ??? เราได้ไปเจอะเจอเรื่องราวที่น่าสนใจเลยหยิบยกขึ้นมาเพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้วัยรุ่นทุกคนค้นหาตัวเองให้พบเหมือนคนคนนี้ เรามาทำความรู้จักเค้าไปพร้อมๆกันนะ
Cr. Facebook;Nathakorn Jaroonroj
https://www.facebook.com/rutzz.cai/media_set?set=a.10210691295982649.1073741857.1356158662&type=3&pnref=story
"เรื่องราวที่จะเล่าต่อไปนี้ถึงแม้จะยาวสักหน่อย แต่ผมว่ามันจะเป็นประโยชน์มากๆสำหรับคนที่ยังหาแนวทางของตัวเองไม่เจอ แม้กระทั่งบางคนที่กำลังสับสนกับการเลือกเส้นทางเดินของชีวิต....
ผมจะเล่าไปพร้อมกับรูปที่จะโพสไปเรื่อยๆเพื่อให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของบุคลิกภาพ วิวัฒนาการการเติบโตของเด็กคนนึงที่เกิดขึ้นมาในครอบครัวที่ไม่ได้มีต้นทุนสูงเหมือนคนอื่นๆ แต่ผมสามารถดันตัวเองจากตรงนั้นขึ้นมาจนถึงระดับBrand managerได้ หนทางไม่ก็ไม่ได้สวยงามโรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่สิ่งนึงที่มีคือความมุ่งมั่น มุ่งมั่นที่จะไปข้างหน้า ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ครับ มาติดตามกันครับ....
และผมหวังว่าโพสนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับทุกคนที่เข้ามาอ่าน เป็นกำลังใจให้ครับ

หลังจากที่ผมแชร์ออกไป แค่ 1 คนที่เข้ามาอ่านผมก็มีความสุขและครับว่าสิ่งที่ผมเขียนที่ผมเล่าออกไปมันไม่ได้สูญเปล่า และมันจะดีมากถ้าเพื่อนๆจะแชร์ให้คนอื่นได้อ่านด้วยเช่นกันครับ"
#มาไกลขนาดนี้ได้ยังไงในอายุแค่25ปี

ผมเชื่อครับว่าหลายๆคนคงจะคิดครับว่าการที่เราเรียนร.ร.ที่ไม่ได้มีชื่อเสียงมาก มันทำให้เราคิดว่าโหย จะเอาไรไปสู้กับเค้า ผมว่าไม่เสมอไปครับ ผมพิสูจน์มาแล้ว

แม่ผมเป็นแม่ค้าครับ พ่อเสียตั้งแต่ผมอยู่ประถม ฐานะทางบ้านไม่ได้ดีเหมือนบ้านอื่นๆ เพราะฉะนั้นความอบอุ่นในครอบครัวไม่ต้องถามถึงเลยครับ ดูแลตัวเองล้วนๆ ครั้งนึงแม่เคยเล่าให้ฟังว่าแม่นั่งร้องไห้เพราะไม่รู้จะเอาเงินจากไหนให้ลูกไปเรียน แต่แม่ก็อดทนหามันมาจนได้ และนี่คือสิ่งนึงที่เห็นและติดตาเสมอมาคือแม่เหนื่อยนะ ต้องตั้งใจเรียน แม่จะได้สบาย ก็คิดแบบนี้มาตลอด มันเป็นแรงผลักดันที่ดีทีเดียวครับที่จะผลักผมออกจากจุดนี้ไป

ตอนเรียนก็ตามประสาเด็กมัธยมทั่วไปเรียนบ้างเล่นบ้าง ดื้อบ้างตามประสาครับ แต่พอขึ้นม.ปลายมันรู้สึกแล้วว่าเห้ยเราต้องคิด เราต้องทำอะไรสักอย่าง เราจะพลาดไม่ได้ หรือถ้าพลาดเราต้องพลาดให้น้อยที่สุด เพราะคนที่ส่งเราเรียนเหนื่อยมากนะ ดังนั้น ผมมองข้ามขั้นไปเลยครับว่าผมอยากเรียนสถาบันไหน อยากเรียนคณะอะไร ผมมองไปถึงจุดที่ว่าผมจะทำงานอะไรแล้วเลี้ยงตัวเองได้ เลี้ยงแม่ได้ ตอนนั้นเรียนสายภาษาจีนครับ จากการที่ไม่เก่งเลขก็เอาวะเลือกเรียนจีนนี่แหละ ผมเอาภาษาจีนเป็นตัวตั้ง มองว่ามันจะไปต่อยอดที่ไหนได้บ้าง สุดท้ายมาจบที่อยากเป็นไกด์ ซึ่งเด็กมากกว่าครึ่งที่เรียนภาษาคิดอยากจะเป็น ผมวิเคราะห์ตัวเองก่อนเลยครับว่าผมเก่งวิชาไหน อ่อนวิชาไหน พบว่าผมอ่อนคณิตศาสตร์ เก่งภาษาจีน ผมเลือกเลยครับ สาขาภาษาจีนไหนของมหาวิทยาลัยไหนไม่มีคณิตศาสตร์ หรือมีน้อยบ้างๆ มาจบที่แม่ฟ้าหลวงครับที่ผมเลือก

เล่ามาขนาดนี้คิดว่าตอนม.ปลายผมคงจะเครียดมากสินะ เปล่าเลยครับ เป็นกรรมการนักเรียน เป็นประธานคณะสี คนไม่มีไปเป็นดรัมเมเยอร์เองอีก เอาทุกอย่างจนอาจารย์สอนภาษาจีนบ่นเลยครับ สุดท้ายจบมาได้ครับ ไม่มีปัญหา "ทุกอย่างอยู่ที่การบริหารจัดการ"

และแล้วผมก็จบมัธยมจากโรงเรียนพระโขนงพิทยาลัยครับ โรงเรียนที่มีหลังคาสีแดงเห็นเด่นเป็นสง่า เห็นตั้งแต่บนทางด่วนบางนา

ผมเข้าปี 1 ที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จ.เชียงรายในสาขาภาษาจีนธุรกิจครับ ไปคนเดียวครับ ไปเจอเพื่อนตอนม.ปลายอีกคนที่นั่นแต่ก็คนละสาขาครับ และนี่คือจุดเริ่มต้นหลายสิ่งหลายอย่าง เป็นที่ที่ผมได้เรียนรู้การใช้ชีวิตครับ เด็กม.6หลายคนเวลาเลือกมหาลัยก็จะเลือกจากชื่อเสียงของมหาลัย เลือกตามเพื่อน หรือว่าเลือกแค่เรียนๆไปให้จบป.ตรีก็พอ สิ่งนึงที่ผมอยากบอกก็คือไม่ว่าคุณจะเลือกมหาลัยที่ดีแค่ไหน ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับตัวคุณเองล้วนๆครับ ต่อให้หลักสูตรดีแค่ไหน ถ้าผู้เรียนไม่ตั้งใจก็เอาไปใช้ประโยชน์ไม่ได้ครับ

ตอนเข้าไปก็เหงานะครับ ไม่รู้จักใครเลย สังคมใหม่ เพื่อนใหม่ วัฒนธรรมใหม่ หลายอย่างครับที่ต้องปรับตัว ด้วยความชอบทำกิจกรรมอยู่แล้วผมลุยเลยครับทำกิจกรรมทุกอย่าง แต่อย่างนึงที่ตอนเรียนมหาลัยช่วงปีแรกๆไม่ได้คิดถึงเลยคือการดูแลตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากครับ ผมไม่ได้บอกให้ทุกคนไปทำศัลยกรรมครับ แค่ดูแลตัวเองก็พอ ผมไม่ได้ทำอะไรเลย มีแค่จัดฟันครับ อันนี้เรื่องจริง

ด้วยความที่ตอนมัธยมหัวเกรียนมาตลอด พอเข้ามหาลัยอยากจะไว้ให้ยาวถึงตาตุ่มไปเลย5555 สุดท้ายออกมาสภาพนี้ครับ ตอนนั้นไปรำไทเก็กโชว์ที่ศูนย์จีนที่ม.ครับ ก็เอามันทุกกิจกรรม

ผมเป็นคนอารมณ์ดีครับ ชอบรอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากเพื่อนๆ แกล้งเพื่อนบ้าง เพื่อนแกล้งบ้างก็เฮฮากันไป จริงๆชีวิตมันไม่จำเป็นต้องซีเรียสขนาดนั้น อยู่ให้ง่ายครับ แล้วจะพบความเรื่องบางเรื่องที่เป็นเรื่องเล็กๆแต่มันก็ทำให้ยิ้มได้เช่นกัน

ผมเริ่มเข้าสู่การเป็นองค์การนักศึกษาครับ เรียกว่าเป็นคนชิวๆก็ทำได้ทุกอย่างครับ โบกรถ ขุดดิน จนสภาพก็ดำเมี่ยมอย่างที่เห็น คือจริงๆไม่ได้ขาวอยู่แล้ว แล้วลองคิดดูมันจะดำขนาดไหน แต่ความสุขก็คือการได้ทำสิ่งที่ชอบครับ นี่คือเรื่องจริง มันเหนื่อยกว่าเพื่อนคนอื่นๆนะครับที่ต้องเสียสละเวลามาทำอะไรที่จริงๆไม่ต้องทำก็เรียนจบได้ แต่ถ้าคุณลงเรียนมหาลัยเพื่อไปเอาแค่ใบปริญญาผมว่าน่าเสียดายครับ มีหลายอย่างครับที่อาจารย์ไม่ได้สอน คุณต้องลงมือทำเองถึงจะได้มา การทำงานองค์การสอนให้รู้ถึงระบบการทำงาน ให้โอกาสในการลองผิดลองถูก เพื่อซ้อมกับการออกไปใช้ชีวิตจริง ทำงานจริง และผมว่ามันทำให้ผมกลายเป็นคนที่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเสมอครับ

เกือบทุกงานของมหาวิทยาลัยผมเป็นพิธีกรโดยไม่ได้อะไรเลย เพื่อนๆก็จะได้ยินเสียงผมเสมอในงานกิจกรรม ซึ่งมันเป็นเวทีที่ทำให้ผมได้กล้าแสดงออก กล้าพูด กล้าลงมือทำ จากเด็กที่ไม่กล้าจะพรีเซ็นต์หน้าห้อง พอเริ่มต้นลองทำดู ครั้งแรกมีคอมเม็นต์ก็ปรับปรุงครับ ทุกครั้งที่จับไมค์เราได้อะไรใหม่ๆเสมอครับ

กิจกรรมสาขากิจกรรมม.ผมไม่เคยละเลยเลยครับแม้แต่กิจกรรมเดียว เพราะฉะนั้นผมจะรู้จักรุ่นพี่รุ่นน้องเยอะมาก ซึ่งวันนึงข้างหน้าเราไม่รู้เลยว่าโชคชะตาจะพาเราเดินไปทางไหน เราอาจจะต้องการความช่วยเหลือจากเค้าก็ได้ การรู้จักคนเยอะไม่ใช่เรื่องเสียหายนะครับ เป็นเรื่องดีซะอีก เพื่อนบางคนถามว่าเห้ยนี่เป็นส.ส.ปะเนี่ย หลายๆคนให้บทเรียนกับเราได้เรียนรู้ครับ

ผมเต้นตามจังหวะแบบโชว์นี่ไม่สามารถจริงๆ แต่พอคนมันขาดก็เอาวะลองดู ซ้อมๆไปมันก็ได้เองครับ อย่ากลัวที่จะลองอะไรใหม่ๆ ถ้าคุณบอกตัวเองว่าทำไม่ได้ นั่นคือคุณก็ทำไม่ได้อยู่วันยังค่ำ แต่ถ้าคุณเริ่มต้องลงมือทำ คุณจะรู้ว่ามนุษย์เราทำได้ทุกอย่าง ถ้าใจเราพร้อมจะทำ

งานโชว์ก็มาครับ ร้องเพลงทีนี่หมาฉี่รดสังกะสียังเพราะซะกว่า เน้นโชว์แล้วกันครับ เพลงก็ลิปซิงค์เอาครับ ไม่มีอะไรหยุดการเรียนรู้ของเราได้ครับ นอกจากความคิดของเราเองนั่นแหละ

ตามความประสงค์ของที่บ้านครับ ปิดเทอมปุ้บผมบวชเลยครับ ทดแทนพระคุณบิดามารดาที่ให้กำเนิดและชุบเลี้ยงมา ถ้ามีโอกาสผมว่าก็เป็นเรื่องที่ดีที่พุทธศาสนิกชนควรทำครับ

พอเริ่มออกงานบ่อยๆ เริ่มแสดง เริ่มเป็นพิธีกร เริ่มเจอคนเยอะๆมันก็เริ่มคิดได้ครับว่าเราต้องดูดี จมูกบานลองเอาอะไรมาหนีบๆดูครับ ไม่ได้ผลเลยครับ จนทุกวันนี้ก็คงบานอยู่ ก็ปล่อยมันครับดูแลผิวหน้าให้ดีก็พอ

คิ้วไม่มีตามหลักครับเอาอัญชันมาถู หมดไปสามสิบต้นก็ไม่มีครับ มันต้องถูมาตั้งแต่เด็ก มาคิดได้ก็สายไปและครับ

ปิดเทอมต่อมาครับ มีพี่เค้ารับอาสาสมัครเป็นสตาฟพาคนมาเก๊าไปเที่ยวครับอาทิตย์นึงมั้งถ้าจำไม่ผิด เอาเลยครับ ถึงจะไม่ได้มั่นใจในภาษาจีนมาก แต่ถ้าเราได้ลองใช้ ลองพูด เจ้าของภาษาเค้าไม่ฆ่าเราหรอกครับถ้าเราพูดไม่คล่องหรือเราไม่เก่ง เค้าช่วยเราด้วยซ้ำครับ การเรียนภาษามันจำเป็นจริงๆที่จะต้องใช้ไม่งั้นก็ไม่รอด บางคนออกจากห้องเรียนปุ้บ ก็เจอกันอีกทีตอนสอบ แบบนั้นไม่ได้ประโยชน์อะไรครับ ผมเรียนไป ดูซีรีย์จีนบ้าง ฟังเพลงจีนบ้าง อะไรที่มันเข้าลึกถึงวัฒนธรรมเค้าได้เอาหมดล่ะครับ สุดท้ายพอจบมาสิ่งที่ผมรู้มันมากกว่าภาษาจีนอีกครับ

อีกอย่างที่จะบอกครับคือ"เกรดเฉลี่ยทำให้คนมีงานทำแต่กิจกรรมทำให้คนทำงานเป็น" ประโยคนี้ผมเห็นด้วยร้อยเปอร์เซ็นต์ครับ ทั้งการเรียนและกิจกรรมจำเป็นจะต้องควบคู่กันไปครับ ไม่ใช่ว่าจะมาเรียนๆๆๆๆอย่างเดียว จบไปได้แค่เกรดเฉลี่ยกับใบปริญญา หรือตั้งใจทำกิจกรรมอย่างเดียวจนลืมไปว่าพ่อแม่ส่งมาเรียน ทั้งสองสิ่งจำเป็นจะต้องควบคู่กันไปครับ อยู่ที่"การบริหารจัดการ"ครับ

ผมก้าวมาบนทางปกติครับ ไม่ได้ขี่จรวดมา ก็เป็นเด็กทั่วไปครับ เฮฮา ติ๊งต๊อง เล่นกับเพื่อนครับ

ตอนเรียนขี่มอไซต์ ล้มจนเข่านี่ไม่เหลือเลยครับ แผลเป็นเพียบ สายแว๊นตัวจริง มันก็ได้รสชาติชีวิตไปอีกแบบครับ

เอาล่ะครับ เรียนด้วยกิจกรรมด้วย พอสอบครับ ผมบอกทริคอีกนิดนึงที่ผมใช้ ข้อแรกเลยคือผมวิเคราะห์ตัวเองเช่นเคยครับว่าวิชาไหนผมเข้าใจมากน้อยแค่ไหน วิชาไหนไม่ได้เลย แล้วมาจัดตารางอ่านหนังสือสอบครับให้เหมาะสมครับ เช่นวิชานี้ได้ใช้เวลาอ่านน้อยหน่อย ไม่ใช่ไม่อ่านเลยนะ อันไหนไม่ได้ก็ใช้เวลาเยอะหน่อย รวมระยะเวลา 2 สัปดาห์ที่หมกตัวในห้องสมุดครับ ข้อสองครับ พอวิชาไหนเข้าใจแล้วติวเพื่อนเลยครับ เพื่อน 100 คนมันจะมีคำถามเล็กๆน้อยๆที่บางทีเรามองข้าม ติวเพื่อนเมื่อไหร่ตัวเราจะเข้าใจเองมากขึ้น และจะจำได้ดีด้วยครับ อย่ามาแบบสายซุ่ม ที่ซุ่มอ่านและก็ตายไปคนเดียวเงียบๆครับ

นี่คือตัวอย่างของเทอมที่โหดมาก เรียนจีนพร้อมกัน 7 ตัว ทุกตัวตัด A ที่ 90 ผมทำทุกอย่างที่ว่ามาข้างต้นครับ ผลที่ออกมาก็อย่างที่เห็นครับ
เรื่องราวยังไม่จบแค่นี้ติดตามกันต่อนะ >>>>
มาไกลขนาดนี้ได้ยังไงในอายุแค่25ปี
Cr. Facebook;Nathakorn Jaroonroj
https://www.facebook.com/rutzz.cai/media_set?set=a.10210691295982649.1073741857.1356158662&type=3&pnref=story
"เรื่องราวที่จะเล่าต่อไปนี้ถึงแม้จะยาวสักหน่อย แต่ผมว่ามันจะเป็นประโยชน์มากๆสำหรับคนที่ยังหาแนวทางของตัวเองไม่เจอ แม้กระทั่งบางคนที่กำลังสับสนกับการเลือกเส้นทางเดินของชีวิต....
ผมจะเล่าไปพร้อมกับรูปที่จะโพสไปเรื่อยๆเพื่อให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของบุคลิกภาพ วิวัฒนาการการเติบโตของเด็กคนนึงที่เกิดขึ้นมาในครอบครัวที่ไม่ได้มีต้นทุนสูงเหมือนคนอื่นๆ แต่ผมสามารถดันตัวเองจากตรงนั้นขึ้นมาจนถึงระดับBrand managerได้ หนทางไม่ก็ไม่ได้สวยงามโรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่สิ่งนึงที่มีคือความมุ่งมั่น มุ่งมั่นที่จะไปข้างหน้า ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ครับ มาติดตามกันครับ....
และผมหวังว่าโพสนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับทุกคนที่เข้ามาอ่าน เป็นกำลังใจให้ครับ
หลังจากที่ผมแชร์ออกไป แค่ 1 คนที่เข้ามาอ่านผมก็มีความสุขและครับว่าสิ่งที่ผมเขียนที่ผมเล่าออกไปมันไม่ได้สูญเปล่า และมันจะดีมากถ้าเพื่อนๆจะแชร์ให้คนอื่นได้อ่านด้วยเช่นกันครับ"
#มาไกลขนาดนี้ได้ยังไงในอายุแค่25ปี
ผมเชื่อครับว่าหลายๆคนคงจะคิดครับว่าการที่เราเรียนร.ร.ที่ไม่ได้มีชื่อเสียงมาก มันทำให้เราคิดว่าโหย จะเอาไรไปสู้กับเค้า ผมว่าไม่เสมอไปครับ ผมพิสูจน์มาแล้ว
แม่ผมเป็นแม่ค้าครับ พ่อเสียตั้งแต่ผมอยู่ประถม ฐานะทางบ้านไม่ได้ดีเหมือนบ้านอื่นๆ เพราะฉะนั้นความอบอุ่นในครอบครัวไม่ต้องถามถึงเลยครับ ดูแลตัวเองล้วนๆ ครั้งนึงแม่เคยเล่าให้ฟังว่าแม่นั่งร้องไห้เพราะไม่รู้จะเอาเงินจากไหนให้ลูกไปเรียน แต่แม่ก็อดทนหามันมาจนได้ และนี่คือสิ่งนึงที่เห็นและติดตาเสมอมาคือแม่เหนื่อยนะ ต้องตั้งใจเรียน แม่จะได้สบาย ก็คิดแบบนี้มาตลอด มันเป็นแรงผลักดันที่ดีทีเดียวครับที่จะผลักผมออกจากจุดนี้ไป
ตอนเรียนก็ตามประสาเด็กมัธยมทั่วไปเรียนบ้างเล่นบ้าง ดื้อบ้างตามประสาครับ แต่พอขึ้นม.ปลายมันรู้สึกแล้วว่าเห้ยเราต้องคิด เราต้องทำอะไรสักอย่าง เราจะพลาดไม่ได้ หรือถ้าพลาดเราต้องพลาดให้น้อยที่สุด เพราะคนที่ส่งเราเรียนเหนื่อยมากนะ ดังนั้น ผมมองข้ามขั้นไปเลยครับว่าผมอยากเรียนสถาบันไหน อยากเรียนคณะอะไร ผมมองไปถึงจุดที่ว่าผมจะทำงานอะไรแล้วเลี้ยงตัวเองได้ เลี้ยงแม่ได้ ตอนนั้นเรียนสายภาษาจีนครับ จากการที่ไม่เก่งเลขก็เอาวะเลือกเรียนจีนนี่แหละ ผมเอาภาษาจีนเป็นตัวตั้ง มองว่ามันจะไปต่อยอดที่ไหนได้บ้าง สุดท้ายมาจบที่อยากเป็นไกด์ ซึ่งเด็กมากกว่าครึ่งที่เรียนภาษาคิดอยากจะเป็น ผมวิเคราะห์ตัวเองก่อนเลยครับว่าผมเก่งวิชาไหน อ่อนวิชาไหน พบว่าผมอ่อนคณิตศาสตร์ เก่งภาษาจีน ผมเลือกเลยครับ สาขาภาษาจีนไหนของมหาวิทยาลัยไหนไม่มีคณิตศาสตร์ หรือมีน้อยบ้างๆ มาจบที่แม่ฟ้าหลวงครับที่ผมเลือก
เล่ามาขนาดนี้คิดว่าตอนม.ปลายผมคงจะเครียดมากสินะ เปล่าเลยครับ เป็นกรรมการนักเรียน เป็นประธานคณะสี คนไม่มีไปเป็นดรัมเมเยอร์เองอีก เอาทุกอย่างจนอาจารย์สอนภาษาจีนบ่นเลยครับ สุดท้ายจบมาได้ครับ ไม่มีปัญหา "ทุกอย่างอยู่ที่การบริหารจัดการ"
และแล้วผมก็จบมัธยมจากโรงเรียนพระโขนงพิทยาลัยครับ โรงเรียนที่มีหลังคาสีแดงเห็นเด่นเป็นสง่า เห็นตั้งแต่บนทางด่วนบางนา
ผมเข้าปี 1 ที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จ.เชียงรายในสาขาภาษาจีนธุรกิจครับ ไปคนเดียวครับ ไปเจอเพื่อนตอนม.ปลายอีกคนที่นั่นแต่ก็คนละสาขาครับ และนี่คือจุดเริ่มต้นหลายสิ่งหลายอย่าง เป็นที่ที่ผมได้เรียนรู้การใช้ชีวิตครับ เด็กม.6หลายคนเวลาเลือกมหาลัยก็จะเลือกจากชื่อเสียงของมหาลัย เลือกตามเพื่อน หรือว่าเลือกแค่เรียนๆไปให้จบป.ตรีก็พอ สิ่งนึงที่ผมอยากบอกก็คือไม่ว่าคุณจะเลือกมหาลัยที่ดีแค่ไหน ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับตัวคุณเองล้วนๆครับ ต่อให้หลักสูตรดีแค่ไหน ถ้าผู้เรียนไม่ตั้งใจก็เอาไปใช้ประโยชน์ไม่ได้ครับ
ตอนเข้าไปก็เหงานะครับ ไม่รู้จักใครเลย สังคมใหม่ เพื่อนใหม่ วัฒนธรรมใหม่ หลายอย่างครับที่ต้องปรับตัว ด้วยความชอบทำกิจกรรมอยู่แล้วผมลุยเลยครับทำกิจกรรมทุกอย่าง แต่อย่างนึงที่ตอนเรียนมหาลัยช่วงปีแรกๆไม่ได้คิดถึงเลยคือการดูแลตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากครับ ผมไม่ได้บอกให้ทุกคนไปทำศัลยกรรมครับ แค่ดูแลตัวเองก็พอ ผมไม่ได้ทำอะไรเลย มีแค่จัดฟันครับ อันนี้เรื่องจริง
ด้วยความที่ตอนมัธยมหัวเกรียนมาตลอด พอเข้ามหาลัยอยากจะไว้ให้ยาวถึงตาตุ่มไปเลย5555 สุดท้ายออกมาสภาพนี้ครับ ตอนนั้นไปรำไทเก็กโชว์ที่ศูนย์จีนที่ม.ครับ ก็เอามันทุกกิจกรรม
ผมเป็นคนอารมณ์ดีครับ ชอบรอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากเพื่อนๆ แกล้งเพื่อนบ้าง เพื่อนแกล้งบ้างก็เฮฮากันไป จริงๆชีวิตมันไม่จำเป็นต้องซีเรียสขนาดนั้น อยู่ให้ง่ายครับ แล้วจะพบความเรื่องบางเรื่องที่เป็นเรื่องเล็กๆแต่มันก็ทำให้ยิ้มได้เช่นกัน
ผมเริ่มเข้าสู่การเป็นองค์การนักศึกษาครับ เรียกว่าเป็นคนชิวๆก็ทำได้ทุกอย่างครับ โบกรถ ขุดดิน จนสภาพก็ดำเมี่ยมอย่างที่เห็น คือจริงๆไม่ได้ขาวอยู่แล้ว แล้วลองคิดดูมันจะดำขนาดไหน แต่ความสุขก็คือการได้ทำสิ่งที่ชอบครับ นี่คือเรื่องจริง มันเหนื่อยกว่าเพื่อนคนอื่นๆนะครับที่ต้องเสียสละเวลามาทำอะไรที่จริงๆไม่ต้องทำก็เรียนจบได้ แต่ถ้าคุณลงเรียนมหาลัยเพื่อไปเอาแค่ใบปริญญาผมว่าน่าเสียดายครับ มีหลายอย่างครับที่อาจารย์ไม่ได้สอน คุณต้องลงมือทำเองถึงจะได้มา การทำงานองค์การสอนให้รู้ถึงระบบการทำงาน ให้โอกาสในการลองผิดลองถูก เพื่อซ้อมกับการออกไปใช้ชีวิตจริง ทำงานจริง และผมว่ามันทำให้ผมกลายเป็นคนที่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเสมอครับ
เกือบทุกงานของมหาวิทยาลัยผมเป็นพิธีกรโดยไม่ได้อะไรเลย เพื่อนๆก็จะได้ยินเสียงผมเสมอในงานกิจกรรม ซึ่งมันเป็นเวทีที่ทำให้ผมได้กล้าแสดงออก กล้าพูด กล้าลงมือทำ จากเด็กที่ไม่กล้าจะพรีเซ็นต์หน้าห้อง พอเริ่มต้นลองทำดู ครั้งแรกมีคอมเม็นต์ก็ปรับปรุงครับ ทุกครั้งที่จับไมค์เราได้อะไรใหม่ๆเสมอครับ
กิจกรรมสาขากิจกรรมม.ผมไม่เคยละเลยเลยครับแม้แต่กิจกรรมเดียว เพราะฉะนั้นผมจะรู้จักรุ่นพี่รุ่นน้องเยอะมาก ซึ่งวันนึงข้างหน้าเราไม่รู้เลยว่าโชคชะตาจะพาเราเดินไปทางไหน เราอาจจะต้องการความช่วยเหลือจากเค้าก็ได้ การรู้จักคนเยอะไม่ใช่เรื่องเสียหายนะครับ เป็นเรื่องดีซะอีก เพื่อนบางคนถามว่าเห้ยนี่เป็นส.ส.ปะเนี่ย หลายๆคนให้บทเรียนกับเราได้เรียนรู้ครับ
ผมเต้นตามจังหวะแบบโชว์นี่ไม่สามารถจริงๆ แต่พอคนมันขาดก็เอาวะลองดู ซ้อมๆไปมันก็ได้เองครับ อย่ากลัวที่จะลองอะไรใหม่ๆ ถ้าคุณบอกตัวเองว่าทำไม่ได้ นั่นคือคุณก็ทำไม่ได้อยู่วันยังค่ำ แต่ถ้าคุณเริ่มต้องลงมือทำ คุณจะรู้ว่ามนุษย์เราทำได้ทุกอย่าง ถ้าใจเราพร้อมจะทำ
งานโชว์ก็มาครับ ร้องเพลงทีนี่หมาฉี่รดสังกะสียังเพราะซะกว่า เน้นโชว์แล้วกันครับ เพลงก็ลิปซิงค์เอาครับ ไม่มีอะไรหยุดการเรียนรู้ของเราได้ครับ นอกจากความคิดของเราเองนั่นแหละ
ตามความประสงค์ของที่บ้านครับ ปิดเทอมปุ้บผมบวชเลยครับ ทดแทนพระคุณบิดามารดาที่ให้กำเนิดและชุบเลี้ยงมา ถ้ามีโอกาสผมว่าก็เป็นเรื่องที่ดีที่พุทธศาสนิกชนควรทำครับ
พอเริ่มออกงานบ่อยๆ เริ่มแสดง เริ่มเป็นพิธีกร เริ่มเจอคนเยอะๆมันก็เริ่มคิดได้ครับว่าเราต้องดูดี จมูกบานลองเอาอะไรมาหนีบๆดูครับ ไม่ได้ผลเลยครับ จนทุกวันนี้ก็คงบานอยู่ ก็ปล่อยมันครับดูแลผิวหน้าให้ดีก็พอ
คิ้วไม่มีตามหลักครับเอาอัญชันมาถู หมดไปสามสิบต้นก็ไม่มีครับ มันต้องถูมาตั้งแต่เด็ก มาคิดได้ก็สายไปและครับ
ปิดเทอมต่อมาครับ มีพี่เค้ารับอาสาสมัครเป็นสตาฟพาคนมาเก๊าไปเที่ยวครับอาทิตย์นึงมั้งถ้าจำไม่ผิด เอาเลยครับ ถึงจะไม่ได้มั่นใจในภาษาจีนมาก แต่ถ้าเราได้ลองใช้ ลองพูด เจ้าของภาษาเค้าไม่ฆ่าเราหรอกครับถ้าเราพูดไม่คล่องหรือเราไม่เก่ง เค้าช่วยเราด้วยซ้ำครับ การเรียนภาษามันจำเป็นจริงๆที่จะต้องใช้ไม่งั้นก็ไม่รอด บางคนออกจากห้องเรียนปุ้บ ก็เจอกันอีกทีตอนสอบ แบบนั้นไม่ได้ประโยชน์อะไรครับ ผมเรียนไป ดูซีรีย์จีนบ้าง ฟังเพลงจีนบ้าง อะไรที่มันเข้าลึกถึงวัฒนธรรมเค้าได้เอาหมดล่ะครับ สุดท้ายพอจบมาสิ่งที่ผมรู้มันมากกว่าภาษาจีนอีกครับ
อีกอย่างที่จะบอกครับคือ"เกรดเฉลี่ยทำให้คนมีงานทำแต่กิจกรรมทำให้คนทำงานเป็น" ประโยคนี้ผมเห็นด้วยร้อยเปอร์เซ็นต์ครับ ทั้งการเรียนและกิจกรรมจำเป็นจะต้องควบคู่กันไปครับ ไม่ใช่ว่าจะมาเรียนๆๆๆๆอย่างเดียว จบไปได้แค่เกรดเฉลี่ยกับใบปริญญา หรือตั้งใจทำกิจกรรมอย่างเดียวจนลืมไปว่าพ่อแม่ส่งมาเรียน ทั้งสองสิ่งจำเป็นจะต้องควบคู่กันไปครับ อยู่ที่"การบริหารจัดการ"ครับ
ผมก้าวมาบนทางปกติครับ ไม่ได้ขี่จรวดมา ก็เป็นเด็กทั่วไปครับ เฮฮา ติ๊งต๊อง เล่นกับเพื่อนครับ
ตอนเรียนขี่มอไซต์ ล้มจนเข่านี่ไม่เหลือเลยครับ แผลเป็นเพียบ สายแว๊นตัวจริง มันก็ได้รสชาติชีวิตไปอีกแบบครับ
เอาล่ะครับ เรียนด้วยกิจกรรมด้วย พอสอบครับ ผมบอกทริคอีกนิดนึงที่ผมใช้ ข้อแรกเลยคือผมวิเคราะห์ตัวเองเช่นเคยครับว่าวิชาไหนผมเข้าใจมากน้อยแค่ไหน วิชาไหนไม่ได้เลย แล้วมาจัดตารางอ่านหนังสือสอบครับให้เหมาะสมครับ เช่นวิชานี้ได้ใช้เวลาอ่านน้อยหน่อย ไม่ใช่ไม่อ่านเลยนะ อันไหนไม่ได้ก็ใช้เวลาเยอะหน่อย รวมระยะเวลา 2 สัปดาห์ที่หมกตัวในห้องสมุดครับ ข้อสองครับ พอวิชาไหนเข้าใจแล้วติวเพื่อนเลยครับ เพื่อน 100 คนมันจะมีคำถามเล็กๆน้อยๆที่บางทีเรามองข้าม ติวเพื่อนเมื่อไหร่ตัวเราจะเข้าใจเองมากขึ้น และจะจำได้ดีด้วยครับ อย่ามาแบบสายซุ่ม ที่ซุ่มอ่านและก็ตายไปคนเดียวเงียบๆครับ
นี่คือตัวอย่างของเทอมที่โหดมาก เรียนจีนพร้อมกัน 7 ตัว ทุกตัวตัด A ที่ 90 ผมทำทุกอย่างที่ว่ามาข้างต้นครับ ผลที่ออกมาก็อย่างที่เห็นครับ
เรื่องราวยังไม่จบแค่นี้ติดตามกันต่อนะ >>>>