ในช่วงทดลองงาน เราโดนประเมินจากหัวหน้าและพี่ในทีมทุกเดือน เดือนแรกเราได้คะแนนต่ำกว่าเกณฑ์ขั้นผ่าน พอเดือนที่สองคะแนนก็ดีขึ้น เข้าเกณฑ์ผ่านแบบเฉียดฉิว เราก็รู้สึกดีใจ พอมาเดือนที่สาม คะแนนเราก็ยังผ่านแบบเฉียดฉิว คราวนี้เราแค่โล่งใจนิดหน่อย แต่ไม่ค่อยดีใจแล้ว ยิ่งตอนที่ได้ฟังหัวหน้าบอกว่าเราต้องปรับปรุงเรื่องอะไรบ้าง ก็ยิ่งรู้สึกลำบากใจ เพราะเราคิดว่าเราคงปรับปรุงได้ยาก เช่น
- เรื่องมนุษยสัมพันธ์ หัวหน้าบอกว่าที่นี่มีการทำงานเป็นทีม จึงอยากให้เราพูดคุยกับทุกคนในแผนก ซึ่งมีอยู่ประมาณ 30 คน แต่เวลาเราทำงานจริงๆ เราก็ติดต่อแค่เฉพาะกับพี่ในทีมเราซึ่งมีอยู่ 10 คน เราไม่ได้คุยกับคนทั้งแผนก และเราก็ไม่ใช่คนชอบพูด เราเป็นคนเงียบๆ ปกติถ้าไม่มีใครมาชวนเราคุย เราก็ไม่ค่อยคุยกับใคร แล้วคนในแผนกที่ไม่ได้ทำงานกับเราโดยตรง เขาก็ไม่ได้มาคอยสนใจเราหรือชวนเราคุยด้วย หัวหน้าบอกว่าถ้าเราไม่คุยกับเขา เราก็จะไม่รู้จักเขา และเขาก็จะไม่รู้จักเรา เราก็ไม่เข้าใจว่ามันสำคัญยังไง คิดว่าเดี๋ยวพอถึงเวลาก็ได้คุยกันเอง แต่ถ้าจะให้เราเที่ยวสรรหาเรื่องไปคุยกับคนอื่นๆ เราทำไม่ได้หรอก ไม่ใช่ตัวเรา และมันก็ฝืนใจเรามากด้วย ปกติเราก็ชอบทำงานคนเดียวมากกว่าทำเป็นทีมอยู่แล้ว
- เรื่องความรวดเร็วในการทำงาน ตอนนี้เราทำงานช้า เพราะยังไม่ชำนาญ และงานก็ค่อนข้างยากสำหรับเรา (บางทีก็ช้าเพราะมัวแต่ตรวจสอบความถูกต้องและแก้ไข) หัวหน้าบอกว่าถ้าทำงานแล้วติดขัดตรงไหน หรือเกิดลืมไปว่าต้องทำยังไงต่อ ก็ควรรีบถามพี่ๆในทีมเลย อย่าเสียเวลาหาวิธีการด้วยตัวเอง เพราะมันทำให้งานเสร็จช้า อย่ากลัวที่จะถาม แต่เอาจริงๆนะ หัวหน้าไม่ได้นั่งอยู่ในห้องเดียวกับที่เราทำงาน เวลาเราทำงานติดขัด หลายครั้งเราก็มีลืมๆไปบ้าง เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่เราทำบ่อยๆ เวลาพี่เขาสอนครั้งแรก เราก็จดไว้ไม่หมดหรอก(ถึงจดไว้หมดก็ยังลืมได้) แต่พอเราไปถามพี่ในทีมบ่อยๆ ในเรื่องเดิมๆ พี่เขาก็แสดงท่าที่ไม่ค่อยพอใจ เหมือนกับว่าสอนไปแล้วทำไมจำไม่ได้ เราก็เลยไม่ค่อยอยากถามบ่อยๆ เพราะเราก็นอยด์เหมือนกันเวลาพี่เขาแสดงท่าทีไม่พอใจ เราพยายามรื้อฟื้นความจำด้วยตัวเองก่อน พยายามพึ่งตัวเองก่อน ถ้าไม่ได้ค่อยถามพี่เขา แต่นั่นแหละ มันยิ่งทำให้งานเสร็จช้า เราก็เลยไม่รู้ว่าควรทำตัวยังไงแล้ว
- เรื่องความมีน้ำใจ หัวหน้าบอกว่าพอเราทำงานของเราเสร็จแล้ว ให้เอ่ยปากถามคนอื่นๆว่ามีงานอะไรให้เราช่วยทำอีกไหม ข้อนี้เรารู้สึกเหมือนโดนบังคับให้ถามเลย จริงๆแต่ละคนก็มีงานของตัวเอง เราก็มีงานของเรา และแค่ลำพังงานเราเอง เราก็จะไม่รอดอยู่แล้ว(ไม่เห็นมีใครมาเสนอตัวจะช่วยงานเราเลย) แต่บางช่วงเราก็จะมีเวลาว่างยาว ว่างทั้งวัน เราก็จะเอาสิ่งที่เราทำแล้วมาทบทวน เราถือว่ามันเป็นช่วงเวลาผ่อนคลายหลังจากทำงานหนัก เพราะช่วงที่มีงานมันก็จะหนักจริงๆ หนักจนต้องอยู่ทำงานเกินเวลาหลายวัน(บางทีเรากลับบ้านเป็นคนสุดท้ายในทีม เรากลัวงานเสร็จไม่ทันกำหนดที่พี่เขาต้องการ จึงต้องยอมกลับดึก) แถมที่บริษัทก็ไม่มีค่าโอทีให้อีกต่างหาก เงินเดือนเราก็น้อยกว่า 15K มันไม่ได้เยอะเลยสำหรับบริษัทที่อยู่ใจกลางเมืองกรุงเทพ แต่ผู้บริหารไม่ให้โอทีเพราะเห็นว่าบางช่วงพนักงานมีเวลาว่างยาว ถือว่าเป็นการชดเชยกันไป ถ้าคนอื่นมาขอให้เราช่วยงานอะไร เราก็ยินดีช่วย แต่ถ้าจะให้เราเที่ยวไปถามเขาว่ามีงานให้เราช่วยไหม เราก็ไม่รู้ว่าจะต้องถามตอนไหน ถามวันละกี่ครั้ง ถ้าถามแล้วเขาบอกว่าไม่มีให้ช่วย แล้วเราจะต้องถามเขาอีกครั้งเมื่อไหร่ คือเรารู้สึกวุ่นวายใจจริงๆ เนื่องจากเราไม่ใช่คนพูดเก่งอยู่แล้ว
เราก็เลยสงสัยว่าวัฒนธรรมองค์กรที่นี่มันจะเหมาะกับคนอย่างเราหรือเปล่า เรื่องงานไม่เท่าไหร่หรอก คิดว่าพอทำไปนานๆเดี๋ยวก็ชำนาญขึ้นเอง แต่เรื่องมนุษยสัมพันธ์เราไม่ค่อยดี(ถ้าหมายถึงการพูดมากๆ พูดเยอะๆ กับคนอื่น) และเราคิดว่าเราคงเปลี่ยนแปลงไม่ได้ด้วย เราเป็นแบบนี้ตั้งแต่เด็กๆ ถ้าเปลี่ยนได้ก็คงเปลี่ยนไปนานแล้ว บางทีก็รู้สึกอยากบอกหัวหน้าหรือคนในทีมไปเลยว่าเราอึดอัดใจอย่างโน้นอย่างนี้ ความรู้สึกอึดอัดใจทำให้มนุษยสัมพันธ์เราแย่ลงไปอีก(เพราะเราจะรู้สึกไม่อยากคุยกับใครเลย อยากอยู่เงียบๆคนเดียว) แต่คิดว่าคงไม่ดีถ้าบอกไป คนในทีมเราพูดเก่งและพูดมากกันทุกคน(ยกเว้นเรา) แต่ก็นินทาคนอื่นเก่งด้วย เราก็ไม่อยากให้มีเรื่องต้องผิดใจกับพวกเขา เดี๋ยวจะทำงานด้วยกันต่อไม่ได้
ตอนนี้เรากำลังลุ้นระทึกกับผลการประเมินเดือนที่สี่ ซึ่งเป็นเดือนสุดท้าย ก็ยังไม่รู้เลยว่าสุดท้ายแล้วเราจะผ่านโปรไหม เราคิดกังวลไปต่างๆ นาๆ ถ้าไม่ผ่านโปรเราคงเสียใจมาก(เพราะเคยเปลี่ยนงานมาหลายที่แล้ว ที่ไหนอยู่แล้วคับใจเราก็ลาออก แต่เราไม่เคยเจอสภาพงานที่ต้องทำเป็นทีมเหมือนที่ปัจจุบัน) แถมไม่รู้จะบอกพ่อแม่ยังไง ถ้าบอกว่าไม่ผ่านโปร พ่อแม่รู้ก็ต้องเสียใจเหมือนกัน แม้หัวหน้าจะใจดียอมขยายช่วงเวลาทดลองงานให้ เราก็คงไม่ดีใจแล้ว เพราะคิดว่ามันเป็นเรื่องน่าอาย แต่ถ้าเราผ่านโปร เราก็ไม่รู้ว่าเราจะอยู่รอดในองค์กรที่มีวัฒธรรมขัดแย้งกับนิสัยเราหรือเปล่า ถ้าคนอย่างเราอยู่แล้วจะก้าวหน้าไหม จะมีโอกาสได้เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งกับเขาบ้างไหม
ใกล้จะครบกำหนดทดลองงานแล้ว แต่รู้สึกไม่ดีเลย ไม่รู้ว่าเราเหมาะจะทำงานในบริษัทนี้ไหม
- เรื่องมนุษยสัมพันธ์ หัวหน้าบอกว่าที่นี่มีการทำงานเป็นทีม จึงอยากให้เราพูดคุยกับทุกคนในแผนก ซึ่งมีอยู่ประมาณ 30 คน แต่เวลาเราทำงานจริงๆ เราก็ติดต่อแค่เฉพาะกับพี่ในทีมเราซึ่งมีอยู่ 10 คน เราไม่ได้คุยกับคนทั้งแผนก และเราก็ไม่ใช่คนชอบพูด เราเป็นคนเงียบๆ ปกติถ้าไม่มีใครมาชวนเราคุย เราก็ไม่ค่อยคุยกับใคร แล้วคนในแผนกที่ไม่ได้ทำงานกับเราโดยตรง เขาก็ไม่ได้มาคอยสนใจเราหรือชวนเราคุยด้วย หัวหน้าบอกว่าถ้าเราไม่คุยกับเขา เราก็จะไม่รู้จักเขา และเขาก็จะไม่รู้จักเรา เราก็ไม่เข้าใจว่ามันสำคัญยังไง คิดว่าเดี๋ยวพอถึงเวลาก็ได้คุยกันเอง แต่ถ้าจะให้เราเที่ยวสรรหาเรื่องไปคุยกับคนอื่นๆ เราทำไม่ได้หรอก ไม่ใช่ตัวเรา และมันก็ฝืนใจเรามากด้วย ปกติเราก็ชอบทำงานคนเดียวมากกว่าทำเป็นทีมอยู่แล้ว
- เรื่องความรวดเร็วในการทำงาน ตอนนี้เราทำงานช้า เพราะยังไม่ชำนาญ และงานก็ค่อนข้างยากสำหรับเรา (บางทีก็ช้าเพราะมัวแต่ตรวจสอบความถูกต้องและแก้ไข) หัวหน้าบอกว่าถ้าทำงานแล้วติดขัดตรงไหน หรือเกิดลืมไปว่าต้องทำยังไงต่อ ก็ควรรีบถามพี่ๆในทีมเลย อย่าเสียเวลาหาวิธีการด้วยตัวเอง เพราะมันทำให้งานเสร็จช้า อย่ากลัวที่จะถาม แต่เอาจริงๆนะ หัวหน้าไม่ได้นั่งอยู่ในห้องเดียวกับที่เราทำงาน เวลาเราทำงานติดขัด หลายครั้งเราก็มีลืมๆไปบ้าง เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่เราทำบ่อยๆ เวลาพี่เขาสอนครั้งแรก เราก็จดไว้ไม่หมดหรอก(ถึงจดไว้หมดก็ยังลืมได้) แต่พอเราไปถามพี่ในทีมบ่อยๆ ในเรื่องเดิมๆ พี่เขาก็แสดงท่าที่ไม่ค่อยพอใจ เหมือนกับว่าสอนไปแล้วทำไมจำไม่ได้ เราก็เลยไม่ค่อยอยากถามบ่อยๆ เพราะเราก็นอยด์เหมือนกันเวลาพี่เขาแสดงท่าทีไม่พอใจ เราพยายามรื้อฟื้นความจำด้วยตัวเองก่อน พยายามพึ่งตัวเองก่อน ถ้าไม่ได้ค่อยถามพี่เขา แต่นั่นแหละ มันยิ่งทำให้งานเสร็จช้า เราก็เลยไม่รู้ว่าควรทำตัวยังไงแล้ว
- เรื่องความมีน้ำใจ หัวหน้าบอกว่าพอเราทำงานของเราเสร็จแล้ว ให้เอ่ยปากถามคนอื่นๆว่ามีงานอะไรให้เราช่วยทำอีกไหม ข้อนี้เรารู้สึกเหมือนโดนบังคับให้ถามเลย จริงๆแต่ละคนก็มีงานของตัวเอง เราก็มีงานของเรา และแค่ลำพังงานเราเอง เราก็จะไม่รอดอยู่แล้ว(ไม่เห็นมีใครมาเสนอตัวจะช่วยงานเราเลย) แต่บางช่วงเราก็จะมีเวลาว่างยาว ว่างทั้งวัน เราก็จะเอาสิ่งที่เราทำแล้วมาทบทวน เราถือว่ามันเป็นช่วงเวลาผ่อนคลายหลังจากทำงานหนัก เพราะช่วงที่มีงานมันก็จะหนักจริงๆ หนักจนต้องอยู่ทำงานเกินเวลาหลายวัน(บางทีเรากลับบ้านเป็นคนสุดท้ายในทีม เรากลัวงานเสร็จไม่ทันกำหนดที่พี่เขาต้องการ จึงต้องยอมกลับดึก) แถมที่บริษัทก็ไม่มีค่าโอทีให้อีกต่างหาก เงินเดือนเราก็น้อยกว่า 15K มันไม่ได้เยอะเลยสำหรับบริษัทที่อยู่ใจกลางเมืองกรุงเทพ แต่ผู้บริหารไม่ให้โอทีเพราะเห็นว่าบางช่วงพนักงานมีเวลาว่างยาว ถือว่าเป็นการชดเชยกันไป ถ้าคนอื่นมาขอให้เราช่วยงานอะไร เราก็ยินดีช่วย แต่ถ้าจะให้เราเที่ยวไปถามเขาว่ามีงานให้เราช่วยไหม เราก็ไม่รู้ว่าจะต้องถามตอนไหน ถามวันละกี่ครั้ง ถ้าถามแล้วเขาบอกว่าไม่มีให้ช่วย แล้วเราจะต้องถามเขาอีกครั้งเมื่อไหร่ คือเรารู้สึกวุ่นวายใจจริงๆ เนื่องจากเราไม่ใช่คนพูดเก่งอยู่แล้ว
เราก็เลยสงสัยว่าวัฒนธรรมองค์กรที่นี่มันจะเหมาะกับคนอย่างเราหรือเปล่า เรื่องงานไม่เท่าไหร่หรอก คิดว่าพอทำไปนานๆเดี๋ยวก็ชำนาญขึ้นเอง แต่เรื่องมนุษยสัมพันธ์เราไม่ค่อยดี(ถ้าหมายถึงการพูดมากๆ พูดเยอะๆ กับคนอื่น) และเราคิดว่าเราคงเปลี่ยนแปลงไม่ได้ด้วย เราเป็นแบบนี้ตั้งแต่เด็กๆ ถ้าเปลี่ยนได้ก็คงเปลี่ยนไปนานแล้ว บางทีก็รู้สึกอยากบอกหัวหน้าหรือคนในทีมไปเลยว่าเราอึดอัดใจอย่างโน้นอย่างนี้ ความรู้สึกอึดอัดใจทำให้มนุษยสัมพันธ์เราแย่ลงไปอีก(เพราะเราจะรู้สึกไม่อยากคุยกับใครเลย อยากอยู่เงียบๆคนเดียว) แต่คิดว่าคงไม่ดีถ้าบอกไป คนในทีมเราพูดเก่งและพูดมากกันทุกคน(ยกเว้นเรา) แต่ก็นินทาคนอื่นเก่งด้วย เราก็ไม่อยากให้มีเรื่องต้องผิดใจกับพวกเขา เดี๋ยวจะทำงานด้วยกันต่อไม่ได้
ตอนนี้เรากำลังลุ้นระทึกกับผลการประเมินเดือนที่สี่ ซึ่งเป็นเดือนสุดท้าย ก็ยังไม่รู้เลยว่าสุดท้ายแล้วเราจะผ่านโปรไหม เราคิดกังวลไปต่างๆ นาๆ ถ้าไม่ผ่านโปรเราคงเสียใจมาก(เพราะเคยเปลี่ยนงานมาหลายที่แล้ว ที่ไหนอยู่แล้วคับใจเราก็ลาออก แต่เราไม่เคยเจอสภาพงานที่ต้องทำเป็นทีมเหมือนที่ปัจจุบัน) แถมไม่รู้จะบอกพ่อแม่ยังไง ถ้าบอกว่าไม่ผ่านโปร พ่อแม่รู้ก็ต้องเสียใจเหมือนกัน แม้หัวหน้าจะใจดียอมขยายช่วงเวลาทดลองงานให้ เราก็คงไม่ดีใจแล้ว เพราะคิดว่ามันเป็นเรื่องน่าอาย แต่ถ้าเราผ่านโปร เราก็ไม่รู้ว่าเราจะอยู่รอดในองค์กรที่มีวัฒธรรมขัดแย้งกับนิสัยเราหรือเปล่า ถ้าคนอย่างเราอยู่แล้วจะก้าวหน้าไหม จะมีโอกาสได้เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งกับเขาบ้างไหม