แบงก์ชาติ จ่อปรับจีดีพีอีกระลอก ชี้เอฟเฟ็กต์รัฐบาลปราบทัวร์ศูนย์เหรียญ กระทบรายได้ท่องเที่ยวไทยมีทั้งยกเลิกห้องพักในโรงแรม รอบเที่ยวบิน คาดจำนวนนักท่องเที่ยวหายวับ 2 แสนคน เตือนปัจจัยเสี่ยงต่างประเทศเพิ่มขึ้น เงินทุนเคลื่อนย้ายผันผวนหนัก ส่งสัญญาณค่าเงินบาทแข็งขึ้น
นายจาตุรงค์ จันทรังษ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และในฐานะเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) กล่าวในการแถลงรายงานนโยบายการเงิน เดือน ก.ย. 59 ว่า ขณะนี้ ธปท.ได้ประเมินผลกระทบในเบื้องต้นที่เกิดจากมาตรการปราบปรามทัวร์ศูนย์เหรียญต่อภาคการท่องเที่ยวไทย ในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งจะเป็นการรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องรอบด้าน เช่น ด้านโรงแรมที่เกี่ยวกับการยกเลิกห้องพัก ระบบขนส่ง รอบเที่ยวบินของสายการบินต่าง ๆ
โดยผลกระทบที่เกิดขึ้นแน่นอนคือจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง ธปท.จึงเตรียมประเมินผลกระทบต่อการขยายตัวเศรษฐกิจ (จีดีพี) ปีนี้ ว่าลดลงหรือไม่ เนื่องจากรายได้จากภาคท่องเที่ยวมีสัดส่วนค่อนข้างมากราว 15% ของจีดีพี
"จากการประเมินผลกระทบในเบื้องต้นพบว่า มีผลกระทบแน่นอนจากการปราบปรามทัวร์ศูนย์เหรียญ ทำให้นักท่องเที่ยวลดลง อย่างน้อยปีนี้นักท่องเที่ยวน่าจะลดลงราว 2 แสนคน ทำให้ ธปท.ปรับเป้าจำนวนนักท่องเที่ยวปีนี้จาก 34 ล้านคน เหลือ 33.6 ล้านคน ส่วนปีหน้าคาดว่านักท่องเที่ยวจะลดลง 1 แสนคน และจากการสำรวจผู้ประกอบการโรงแรมที่ได้รับผลกระทบพบว่า ยังเป็นผู้ประกอบการรายกลาง และรายเล็ก ดังนั้น ธปท.จะนำข้อมูลเหล่านี้มาประมวลผล และนำไปทบทวนจีดีพีอีกครั้งในครั้งหน้า" นายจาตุรงค์กล่าว
สำหรับด้านเสถียชรภาพทางการเงินของไทย นายจาตุรงค์กล่าวว่า เนื่องจากมีความไม่แน่นอนจากปัจจัยเสี่ยงด้านต่างประเทศเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะธนาคารกลางของสหรัฐ (เฟด) ยังมีความไม่แน่นอนจะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายหรือไม่
หลังจากล่าสุดผลการประชุมเฟด คงดอกเบี้ยนโยบายและส่งสัญญาณจะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งภายในปีนี้ ขณะที่ธนาคารกลางของญี่ปุ่น (BOJ) และธนาคารกลางของยุโรป ยังคงผ่อนคลายนโยบายการเงินอยู่ต่อเนื่องดังนั้น กนง. จึงคาดว่าจะเห็นความผันผวนของเงินทุนเคลื่อนย้ายในช่วงที่เหลือของปีนี้มากขึ้น และจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป
"กนง.เห็นว่า ค่าเงินบาทในช่วงที่ผ่านมาบางช่วงก็มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินสกุลคู่ค้าคู่แข่งที่สำคัญ ซึ่งอาจไม่เป็นผลดีต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยได้ กนง.เห็นว่า นโยบายการเงินควรอยู่ในระดับผ่อนปรนต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน ยังคงต้องติดตามความเสี่ยงที่อาจกระทบต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจและการเงิน จากพฤติกรรม Search for Yield (แสวงหาผลตอบแทนสูง) ภายใต้ภาวะดอกเบี้ยระดับต่ำเป็นเวลานานด้วย ซึ่งปัจจุบันเริ่มเห็นความเสี่ยงใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นจากการออกบอนด์ (หุ้นกู้) ของภาคเอกชนที่มากขึ้น โดยเฉพาะบอนด์ที่ไม่มีเรตติ้ง สิ่งเหล่านี้ กนง.ถือเป็นความเสี่ยงที่เห็นเพิ่มเติม" นายจาตุรงค์กล่าว
สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปีนี้ กนง.ยังคงคาดการณ์ว่า มีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้น ซึ่งมาจากการบริโภคของภาคเอกชนในไตรมาส 2 ที่สูงกว่าประเมินไว้ ทำให้ กนง.ได้ปรับจีดีพีปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 3.2% จาก 3.1% และคงประมาณการจีดีพีของปี 2560 ไว้อยู่ที่ 3.2% โดยได้รับแรงหนุนสำคัญจากการลงทุนของภาครัฐที่เพิ่มขึ้น ทาง กนง.จึงได้มีการปรับเป้าการลงทุนภาครัฐเพิ่มขึ้นอีก 1.8 หมื่นล้านบาท มาอยู่ที่ 1.54 ล้านล้านบาทในปี"60
อย่างไรก็ตามด้านการขยายตัวของภาคการส่งออกยังลดลงตามเศรษฐกิจคู่ค่าที่มีแนวโน้มฟื้นตัวช้ากว่าคาด และภาคท่องเที่ยวอาจได้รับผลกระทบระยะสั้นจากปัจจัยในประเทศ
ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในปีนี้ ยังคงคาดการณ์เดิมที่อยู่ 0.8% และปีหน้า 1.0% แต่มีการปรับลดอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปีนี้ลงมาอยู่ที่ 0.3% จากเดิมคาดการณ์ 0.6% และปีหน้าเหลือ 2.0% จาก 2.2% เนื่องจากราคาน้ำมันยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้
โดยล่าสุด (เดือน ก.ย.) ได้มีการปรับสมมุติฐานราคาน้ำมันของปีนี้และปีหน้าลงเหลือ 41.0 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และ 50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากเดิมคาดการณ์ไว้ที่ 43.1 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และ 53 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ตามลำดับ
"กนง. ยังคงประเมินให้ความเสี่ยงต่อประมาณการอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานและอัตราเงินเฟ้อทั่วไป โน้มไปด้านต่ำกว่าประมาณการมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับความเสี่ยงต่อประมาณการเศรษฐกิจ และเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ฟื้นตัวในระดับที่ดีมากนัก" นายจาตุรงค์กล่าว
ทั้งนี้ ในรายงานแนวโน้มเงินเฟ้อฉบับล่าสุด ระบุว่า ในระยะต่อไป กนง. เห็นว่านโยบายการเงินควรอยู่ในระดับผ่อนปรนต่อเนื่อง โดยคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% และพร้อมที่จะใช้เครื่องมือนโยยายที่มีอยู่อย่างเหมาะสม เพื่อให้ภาวะการเงินโดยรวมเอื้อต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจควบคุ่กับการรักษาเสถียรภาพทางการเงินของประเทศ
JJNY : เศรษฐกิจดี๊ดี....เอฟเฟ็กต์ทัวร์ศูนย์เหรียญกดจีดีพี ธปท.ชี้นักท่องเที่ยววูบ2แสนคน - รับมือบาทแข็ง
นายจาตุรงค์ จันทรังษ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และในฐานะเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) กล่าวในการแถลงรายงานนโยบายการเงิน เดือน ก.ย. 59 ว่า ขณะนี้ ธปท.ได้ประเมินผลกระทบในเบื้องต้นที่เกิดจากมาตรการปราบปรามทัวร์ศูนย์เหรียญต่อภาคการท่องเที่ยวไทย ในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งจะเป็นการรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องรอบด้าน เช่น ด้านโรงแรมที่เกี่ยวกับการยกเลิกห้องพัก ระบบขนส่ง รอบเที่ยวบินของสายการบินต่าง ๆ
โดยผลกระทบที่เกิดขึ้นแน่นอนคือจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง ธปท.จึงเตรียมประเมินผลกระทบต่อการขยายตัวเศรษฐกิจ (จีดีพี) ปีนี้ ว่าลดลงหรือไม่ เนื่องจากรายได้จากภาคท่องเที่ยวมีสัดส่วนค่อนข้างมากราว 15% ของจีดีพี
"จากการประเมินผลกระทบในเบื้องต้นพบว่า มีผลกระทบแน่นอนจากการปราบปรามทัวร์ศูนย์เหรียญ ทำให้นักท่องเที่ยวลดลง อย่างน้อยปีนี้นักท่องเที่ยวน่าจะลดลงราว 2 แสนคน ทำให้ ธปท.ปรับเป้าจำนวนนักท่องเที่ยวปีนี้จาก 34 ล้านคน เหลือ 33.6 ล้านคน ส่วนปีหน้าคาดว่านักท่องเที่ยวจะลดลง 1 แสนคน และจากการสำรวจผู้ประกอบการโรงแรมที่ได้รับผลกระทบพบว่า ยังเป็นผู้ประกอบการรายกลาง และรายเล็ก ดังนั้น ธปท.จะนำข้อมูลเหล่านี้มาประมวลผล และนำไปทบทวนจีดีพีอีกครั้งในครั้งหน้า" นายจาตุรงค์กล่าว
สำหรับด้านเสถียชรภาพทางการเงินของไทย นายจาตุรงค์กล่าวว่า เนื่องจากมีความไม่แน่นอนจากปัจจัยเสี่ยงด้านต่างประเทศเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะธนาคารกลางของสหรัฐ (เฟด) ยังมีความไม่แน่นอนจะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายหรือไม่
หลังจากล่าสุดผลการประชุมเฟด คงดอกเบี้ยนโยบายและส่งสัญญาณจะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งภายในปีนี้ ขณะที่ธนาคารกลางของญี่ปุ่น (BOJ) และธนาคารกลางของยุโรป ยังคงผ่อนคลายนโยบายการเงินอยู่ต่อเนื่องดังนั้น กนง. จึงคาดว่าจะเห็นความผันผวนของเงินทุนเคลื่อนย้ายในช่วงที่เหลือของปีนี้มากขึ้น และจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป
"กนง.เห็นว่า ค่าเงินบาทในช่วงที่ผ่านมาบางช่วงก็มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินสกุลคู่ค้าคู่แข่งที่สำคัญ ซึ่งอาจไม่เป็นผลดีต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยได้ กนง.เห็นว่า นโยบายการเงินควรอยู่ในระดับผ่อนปรนต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน ยังคงต้องติดตามความเสี่ยงที่อาจกระทบต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจและการเงิน จากพฤติกรรม Search for Yield (แสวงหาผลตอบแทนสูง) ภายใต้ภาวะดอกเบี้ยระดับต่ำเป็นเวลานานด้วย ซึ่งปัจจุบันเริ่มเห็นความเสี่ยงใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นจากการออกบอนด์ (หุ้นกู้) ของภาคเอกชนที่มากขึ้น โดยเฉพาะบอนด์ที่ไม่มีเรตติ้ง สิ่งเหล่านี้ กนง.ถือเป็นความเสี่ยงที่เห็นเพิ่มเติม" นายจาตุรงค์กล่าว
สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปีนี้ กนง.ยังคงคาดการณ์ว่า มีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้น ซึ่งมาจากการบริโภคของภาคเอกชนในไตรมาส 2 ที่สูงกว่าประเมินไว้ ทำให้ กนง.ได้ปรับจีดีพีปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 3.2% จาก 3.1% และคงประมาณการจีดีพีของปี 2560 ไว้อยู่ที่ 3.2% โดยได้รับแรงหนุนสำคัญจากการลงทุนของภาครัฐที่เพิ่มขึ้น ทาง กนง.จึงได้มีการปรับเป้าการลงทุนภาครัฐเพิ่มขึ้นอีก 1.8 หมื่นล้านบาท มาอยู่ที่ 1.54 ล้านล้านบาทในปี"60
อย่างไรก็ตามด้านการขยายตัวของภาคการส่งออกยังลดลงตามเศรษฐกิจคู่ค่าที่มีแนวโน้มฟื้นตัวช้ากว่าคาด และภาคท่องเที่ยวอาจได้รับผลกระทบระยะสั้นจากปัจจัยในประเทศ
ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในปีนี้ ยังคงคาดการณ์เดิมที่อยู่ 0.8% และปีหน้า 1.0% แต่มีการปรับลดอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปีนี้ลงมาอยู่ที่ 0.3% จากเดิมคาดการณ์ 0.6% และปีหน้าเหลือ 2.0% จาก 2.2% เนื่องจากราคาน้ำมันยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้
โดยล่าสุด (เดือน ก.ย.) ได้มีการปรับสมมุติฐานราคาน้ำมันของปีนี้และปีหน้าลงเหลือ 41.0 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และ 50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากเดิมคาดการณ์ไว้ที่ 43.1 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และ 53 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ตามลำดับ
"กนง. ยังคงประเมินให้ความเสี่ยงต่อประมาณการอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานและอัตราเงินเฟ้อทั่วไป โน้มไปด้านต่ำกว่าประมาณการมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับความเสี่ยงต่อประมาณการเศรษฐกิจ และเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ฟื้นตัวในระดับที่ดีมากนัก" นายจาตุรงค์กล่าว
ทั้งนี้ ในรายงานแนวโน้มเงินเฟ้อฉบับล่าสุด ระบุว่า ในระยะต่อไป กนง. เห็นว่านโยบายการเงินควรอยู่ในระดับผ่อนปรนต่อเนื่อง โดยคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% และพร้อมที่จะใช้เครื่องมือนโยยายที่มีอยู่อย่างเหมาะสม เพื่อให้ภาวะการเงินโดยรวมเอื้อต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจควบคุ่กับการรักษาเสถียรภาพทางการเงินของประเทศ