ซ่อนหา
บ้าเอ๊ย เป็นไปได้ยังไงเนี่ย เรื่องแบบนี้ใครมันจะไปเชื่อลง
ผมสบถกับตัวเองด้วยคำซ้ำๆ เดิมๆ จนไม่คิดจะจำแล้วว่าพูดแบบนี้ไปกี่ครั้ง รอบกายถูกรายล้อมไปด้วยบรรยากาศแห่งความไม่น่าไว้วางใจ แสงจันทร์ที่ก่อนหน้านี้ยังพอมีให้เห็นถูกเมฆฝนบดบังไปจนหมดสิ้น
เปรี้ยง...งงง ครืน...นนน
แสงสีขาวพาดผ่านจากบนฟ้าลงสู่เบื้องล่างพอให้มองเห็นอะไรได้บ้าง ลมกรรโชกและละอองฝนภายนอกไม่ช่วยให้อากาศในนี้เย็นสบายขึ้นเลย กลับกัน มันร้อนอบอ้าวเสียจนเหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นตามใบหน้าและแผ่นหลังจนเสื้อผ้าที่ใส่อยู่เปียกชื้นไปหมด
ผมกำลังซ่อนตัวอยู่ใต้เตียงในห้องนอน ไม่รู้ว่าเจ้าสิ่งนั้นมันคืออะไร แต่สัญชาตญาณบอกว่าอย่าให้มันเห็นเด็ดขาด สายตามองพุ่งฝ่ากำแพงความมืดออกไป สอดส่ายซ้ายขวาในระยะที่ทำได้ หูพยายามจับเสียงใดๆ ก็ตามที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่
นี่กี่โมงกี่ยามแล้วนะ ตีสี่หรือตีห้า บ้าชะมัด ปกติเวลานี้ผมควรจะต้องหลับสนิทอยู่บนฟูกนุ่มๆ ไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมผมต้องมาหลบๆ ซ่อนๆ อยู่ใต้เตียงแบบนี้ด้วย
เพราะไอ้ป๋องคนเดียวที่เอาอะไรพิเรนทร์มาให้เล่น
ใช่ เพราะมันนั่นล่ะที่เป็นคนเริ่มต้นเรื่องเลวร้ายทั้งหมดนี้
.......................................
มันเริ่มต้นในช่วงพักเที่ยง หลังจากอิ่มหนำกับอาหารกลางวันกันแล้ว นักเรียนจะมีเวลาเหลืออีกพอสมควรสำหรับกิจกรรมที่แต่ละคนให้ความสนใจ บางกลุ่มแบ่งฝ่ายกันเล่นกีฬาที่สนามหญ้ากลางโรงเรียน บ้างก็เข้าไปหาความรู้เติมใส่สมองในห้องสมุด
ส่วนกลุ่มของพวกเราอันประกอบไปด้วย เจ้าป๋อง หนุ่มหน้าตาจืด ที่มักสนใจกิจกรรมแปลกๆ และมักคะยั้นคะยอให้คนอื่นสนใจตามมันไปด้วย เจ้าเจมส์ หนุ่มไทยชื่อฝรั่งที่ชอบซื้อของแบรนด์เนมตามตลาดนัดเปิดท้าย เจ้าต่อ ผู้ที่วลีเด็ดอมตะอย่าง “คารมเป็นต่อ รูปหล่อเป็นรอง” ถูกประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อมันโดยแท้ และคนสุดท้าย เอก ซึ่งก็คือตัวผมเอง
พวกเรามักใช้เวลาที่เหลือในช่วงนี้จับกลุ่มกับเพื่อนคนอื่นๆ ในห้อง คุยเล่นอะไรกันไปเรื่อยเปื่อยตามประสานักเรียนวัยรุ่นเพื่อฆ่าเวลาก่อนเริ่มเรียนภาคบ่าย ส่วนประเด็นการเสวนาในแต่ละวันจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แทบไม่เคยซ้ำกัน ขึ้นอยู่กับว่าอะไรหรือข่าวไหนที่กำลังเป็นกระแสอยู่ในวันนั้น
“ข้าไปค้นเจอวิธีเห็นผีเด็ดๆ ในอินเตอร์เน็ตมาว่ะ”
จู่ๆ เจ้าหนุ่มหน้าจืดประจำกลุ่มก็พูดโพล่งแทรกขึ้นมากลางวงเหมือนอยากกระตุ้นความสนใจของวงสนทนา และมันก็ทำสำเร็จ พวกเราที่กำลังคุยเรื่องสาวๆ กันอยู่หันมาให้ความสนใจกับหัวข้อสนทนาใหม่ที่ถูกเปิดประเด็นขึ้นทันที
“วิธีอะไรของเอ็งวะ ไอ้ป๋อง”
ใครบางคนถามขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นสนใจ
“เค้าเรียกว่าวิธีเล่นซ่อนหาคนเดียวเว้ย”
หลายคนได้ยินแค่ชื่อวิธีเห็นผีก็หัวเราะออกมา บางคนมองหน้ากันไปมาแล้วส่ายหน้าเหมือนจะไม่สนใจ แต่แล้วหนึ่งในกลุ่มก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาค้นหาวิธีการตามที่ป๋องเพิ่งบอกมาเมื่อสักครู่
เพียงชั่วอึดใจที่คำค้นหาถูกพิมพ์เข้าไป รายชื่อเวบไซต์จำนวนมากก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ พวกเราจึงตัดสินใจเลือกอ่านวิธีการเล่นจากหนึ่งในนั้น
วิธีเล่นซ่อนหาคนเดียว
ก่อนเล่นให้หาตุ๊กตามาตัวหนึ่ง แต่มีข้อแม้ว่าต้องเป็นตุ๊กตาที่มีแขนมีขา ตั้งชื่ออะไรก็ได้ให้กับตุ๊กตาตัวนั้น
กรีดตุ๊กตาที่เตรียมไว้แล้วเอานุ่นที่ยัดอยู่ในตัวออกให้หมด ใส่ข้าวสารและเล็บหรือไม่ก็เส้นผมของเราลงไปแทน ข้าวสารจะแทนกล้ามเนื้อ ส่วนเล็บหรือเส้นผมใช้แทนอวัยวะภายในของตุ๊กตา
เมื่อใส่ข้าวสารลงไปจนเต็มแล้ว เย็บตุ๊กตากลับเป็นเหมือนเดิมโดยใช้เส้นด้ายสีแดง เส้นด้ายที่เหลือจากการเย็บให้พันเอาไว้รอบๆ ตัวตุ๊กตา เส้นด้ายสีแดงเส้นนี้ใช้แทนเส้นเลือด
เกมซ่อนหาจะเริ่มตอนตีสาม ปิดไฟในบ้านให้หมดทุกดวง เรียกชื่อตุ๊กตาสามครั้ง จากนั้นบอกกับตุ๊กตาตัวนั้นว่า “ฉันคือยักษ์” อีกสามครั้ง
นำตุ๊กตาไปกดน้ำในอ่าง เดินออกจากห้องที่กดน้ำตุ๊กตาตัวนั้น นับหนึ่งถึงสิบเพื่อเป็นการเริ่มเกม เมื่อนับครบสิบแล้วเดินถือมีดกลับเข้าไปในห้องเดิมที่มีตุ๊กตาอยู่ พูดว่า “เจอ (ชื่อตุ๊กตา) แล้ว” นำมีดที่ถือมาด้วยแทงไปที่ตัวตุ๊กตาและทิ้งมีดเอาไว้ตรงนั้น
พูดว่า “ต่อไป (ชื่อตุ๊กตา) ต้องเป็นยักษ์” แล้วรีบไปหาที่ซ่อน ชั่วระยะเวลาการนับหนึ่งถึงสิบตุ๊กตาจะลุกขึ้นมาและเริ่มออกตามหาเรา เมื่อใดที่ตุ๊กตาหาเราจนเจอ ให้อมน้ำเกลือไว้ในปากแล้วพ่นใส่ไปที่ตัวตุ๊กตา พูดว่า “ฉันชนะ” สามครั้ง เป็นอันจบเกม
ข้อควรระวัง
เมื่อเล่นครบทุกกระบวนการแล้ว แม้ว่าจะรักตุ๊กตาตัวนั้นมากแค่ไหนก็ตาม ห้ามเก็บเอาไว้ ต้องนำมันไปเผาทิ้งทันที
การเล่นซ่อนหาทุกขั้นตอนตั้งแต่ตีสาม ต้องเล่นให้จบภายในสองชั่วโมง หากตุ๊กตาหาเราไม่เจอเสียที เราต้องเป็นฝ่ายเดินไปตามหาและพ่นน้ำเกลือใส่ตามวิธีการจบเกมด้านบน
ตรวจสอบให้แน่ใจว่าขณะเล่นไม่มีใครอยู่ในบ้านกับเราด้วย เพราะเขาคนนั้นอาจจะกลายเป็นผู้เคราะห์ร้ายจากการเล่นของเราได้
ขณะที่กำลังเล่นซ่อนหาอยู่ ห้ามไปแอบที่อื่นนอกจากในบ้านที่ทำการเล่นเป็นอันขาด
หลังจากรู้วิธีการเล่นทั้งหมดแล้ว เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของวงสนทนาก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง แต่ส่วนใหญ่เป็นไปในเชิงตลกขบขัน หรือไม่ก็พูดในเชิงว่าไร้สาระ เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่ตุ๊กตาจะมีชีวิตขึ้นมาได้กับเรื่องแค่นี้
“แต่ข้าว่าน่าสนใจดีนะ แล้วก็น่าสนุกดีด้วย ลองเล่นกันดูมั้ยล่ะ”
“ท่าจะประสาท นี่แกเชื่อเรื่องแบบนี้เข้าไปได้ยังไงวะ”
“ไม่เชื่อก็ไม่เห็นเป็นไร ก็ถือว่าเล่นกันเล่นๆ หรือว่าแกกลัวกันแน่วะ ถึงว่าไร้สาระ อ้างนู่นนี่ไปเรื่อยเพราะไม่กล้าเล่น”
ความไม่ลงรอยในคำพูดเริ่มปรากฏ แต่ก่อนที่จะเกิดเหตุอะไรในวงสนทนาไปมากกว่านี้ ผมตัดสินใจเบี่ยงเบนประเด็นเพื่อลดบรรยากาศตึงเครียดลง
“ไอ้น่าสนใจก็น่าสนใจอยู่หรอก แต่พวกแกลืมอะไรไปรึเปล่า มันคือเกมเล่นซ่อนหาคนเดียว ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าให้เล่นคนเดียว แล้วพวกเราจะยกขโยงกันเล่นได้ยังไง”
ได้ผล เสียงฮือฮาในข้อคิดเห็นของผมได้รับการตอบรับ หลายคนพยักหน้าเห็นด้วย บางคนทำหน้าเหมือนเพิ่งคิดได้ ส่วนที่เหลือยิ้มออกมาอย่างโล่งใจที่การปะทะคารมก่อนหน้าดูเหมือนจะยุติลงได้
“เห้ย ไม่เป็นไรหรอก ไอ้เอก อย่าคิดมาก ที่เขียนน่ะมันเป็นแค่หลักการเว้ย กติกาการเล่นทุกอย่างมันปรับเปลี่ยนกันได้แล้วแต่ความครีเอทของแต่ละคน”
ป๋องแสดงความเป็นอัจฉริยะทางเรื่องไร้สาระให้ได้เห็นอีกครั้ง
“ปัญหาใหญ่กว่านั้นคือ แล้วเราจะไปเล่นกันที่บ้านใครล่ะ มันบอกว่าต้องไม่มีใครอยู่ในบ้านเวลาเล่นไม่ใช่เหรอ”
หลังจากที่นั่งฟังนิ่งๆ อยู่นานก็ถึงเวลาที่เจมส์ได้แสดงความคิดเห็นบ้าง
“เราจะเล่นซ่อนหากับผี ก็ต้องไปเล่นกันที่บ้านผีสิวะ พวกเอ็งไม่ต้องห่วง ข้าไปเจอที่เจ๋งๆ มาพอดี”
เป็นอีกครั้งที่เจ้าป๋องแก้ปัญหาใหญ่ที่เจมส์พูดถึงได้ในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที
“คราวนี้ว่าไงล่ะไอ้เอก ครั้งก่อนเอ็งไม่ไปกับพวกเรา อ้างว่าปวดท้อง หวังว่าคืนนี้เอ็งคงไม่ปวดหัวอีกนะ”
ประโยคสุดท้ายเล่นเอาทั้งวงสนทนาถึงกับหัวเราะครืน เพราะมันหันมากัดผมเข้าให้แบบไม่ทันตั้งตัว ทำเอาผมอายจนหน้าชา ป๋องพูดถึงเรื่องครั้งเมื่อผมเป็นตัวตั้งตัวตีในการไปเยือนบ้านผีสิงที่ค้นเจอในอินเตอร์เน็ต พวกเรานัดแนะเวลาสถานที่กันเป็นดิบดี แต่สุดท้ายผมเกิดอาการอาหารเป็นพิษกะทันหันก่อนถึงเวลานัดเพียงไม่กี่ชั่วโมงจนที่บ้านต้องหามส่งโรงพยาบาล
เจ้าพวกนี้ก็รู้ว่าผมป่วยจริงเพราะวันถัดมายังพากันไปเยี่ยมผมถึงเตียงพักฟื้น แต่พวกมันก็ยังถือโอกาสเอามาพูดแซวให้ผมได้อายกันอยู่จนถึงทุกวันนี้
หลังจากถกเถียงกันพอประมาณจนได้ข้อสรุปแล้ว ก็ตกลงกันว่าเราจะไปเล่นด้วยกันเป็นกลุ่ม โดยวิธีใส่เส้นผมหรือเล็บของทุกคนลงในตัวตุ๊กตาพร้อมกันครั้งเดียวเลย ส่วนสถานที่เล่นก็เป็นบ้านผีสิงตามที่ป๋องเสนอมา
“เสียงคนร่ำลือมาว่าเดิมทีบ้านหลังนี้เป็นเรือนหอของสามีภรรยาคู่หนึ่ง ปรากฏว่าแค่คืนแรกที่เข้ามาอยู่หลังส่งตัวเข้าห้องหอ กลางดึกคืนนั้น ในขณะที่ทุกคนหลับกันหมดแล้วก็มีขโมยแอบย่องขึ้นบ้านเพื่อหวังขโมยทรัพย์สิน
ตัวสามีที่บังเอิญสะดุ้งตื่นขึ้นมาได้ยินเสียงผิดปกติที่เกิดขึ้นตัดสินใจลงมาตรวจสอบให้แน่ใจ แต่โชคร้ายที่คืนนั้นเป็นคืนสุดท้ายของชีวิต เขาถูกคนร้ายแทงตายในห้องรับแขกหลังจากยื้อแย่งมีดกันอยู่พักหนึ่ง
ส่วนภรรยาที่ตื่นขึ้นมาตอนเช้าโดยที่ไม่ได้รับรู้เรื่องราวเมื่อคืนเลยก็เสียใจมากเพราะคิดว่าอาจจะช่วยอะไรได้บ้างหากเมื่อคืนเธอไม่สลบไสลจนไม่ได้สติแบบนี้ ด้วยความเศร้าโศกเลยตัดสินใจผูกคอตายตามสามีที่ใต้ต้นไม้หน้าบ้านนั่นเอง”
ป๋องเล่าประวัติบ้านที่จะใช้เป็นสถานที่เล่นให้ทุกคนฟัง เพื่อเป็นการเพิ่มอรรถรสในการไปเยือนบ้านผีสิงในคืนนี้
“หลังจากคืนนั้น วิญญาณรักยังคงไม่ไปไหน ถ้าบังเอิญมีคนดวงตกเดินผ่านไป วันดีคืนดีก็จะเห็นผู้หญิงใส่ชุดขาวนั่งแกว่งขาบนกิ่งไม้หน้าบ้านแล้วส่งยิ้มมาให้ หรือถ้าแย่กว่านั้นเธอจะผูกคอห้อยโตงเตง ตาเหลือก ลิ้นจุกปาก ให้ได้เห็นกันเลยทีเดียว
ส่วนในตัวบ้านก็จะเห็นเป็นเงาผู้ชายเดินไปเดินมาเหมือนกับตามหาอะไรอยู่ บางครั้งจะได้ยินเสียงร้องโหยหวนลอยตามลมออกมาให้ได้ยินกันอีกด้วย”
ซ่อนหา
บ้าเอ๊ย เป็นไปได้ยังไงเนี่ย เรื่องแบบนี้ใครมันจะไปเชื่อลง
ผมสบถกับตัวเองด้วยคำซ้ำๆ เดิมๆ จนไม่คิดจะจำแล้วว่าพูดแบบนี้ไปกี่ครั้ง รอบกายถูกรายล้อมไปด้วยบรรยากาศแห่งความไม่น่าไว้วางใจ แสงจันทร์ที่ก่อนหน้านี้ยังพอมีให้เห็นถูกเมฆฝนบดบังไปจนหมดสิ้น
เปรี้ยง...งงง ครืน...นนน
แสงสีขาวพาดผ่านจากบนฟ้าลงสู่เบื้องล่างพอให้มองเห็นอะไรได้บ้าง ลมกรรโชกและละอองฝนภายนอกไม่ช่วยให้อากาศในนี้เย็นสบายขึ้นเลย กลับกัน มันร้อนอบอ้าวเสียจนเหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นตามใบหน้าและแผ่นหลังจนเสื้อผ้าที่ใส่อยู่เปียกชื้นไปหมด
ผมกำลังซ่อนตัวอยู่ใต้เตียงในห้องนอน ไม่รู้ว่าเจ้าสิ่งนั้นมันคืออะไร แต่สัญชาตญาณบอกว่าอย่าให้มันเห็นเด็ดขาด สายตามองพุ่งฝ่ากำแพงความมืดออกไป สอดส่ายซ้ายขวาในระยะที่ทำได้ หูพยายามจับเสียงใดๆ ก็ตามที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่
นี่กี่โมงกี่ยามแล้วนะ ตีสี่หรือตีห้า บ้าชะมัด ปกติเวลานี้ผมควรจะต้องหลับสนิทอยู่บนฟูกนุ่มๆ ไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมผมต้องมาหลบๆ ซ่อนๆ อยู่ใต้เตียงแบบนี้ด้วย
เพราะไอ้ป๋องคนเดียวที่เอาอะไรพิเรนทร์มาให้เล่น
ใช่ เพราะมันนั่นล่ะที่เป็นคนเริ่มต้นเรื่องเลวร้ายทั้งหมดนี้
.......................................
มันเริ่มต้นในช่วงพักเที่ยง หลังจากอิ่มหนำกับอาหารกลางวันกันแล้ว นักเรียนจะมีเวลาเหลืออีกพอสมควรสำหรับกิจกรรมที่แต่ละคนให้ความสนใจ บางกลุ่มแบ่งฝ่ายกันเล่นกีฬาที่สนามหญ้ากลางโรงเรียน บ้างก็เข้าไปหาความรู้เติมใส่สมองในห้องสมุด
ส่วนกลุ่มของพวกเราอันประกอบไปด้วย เจ้าป๋อง หนุ่มหน้าตาจืด ที่มักสนใจกิจกรรมแปลกๆ และมักคะยั้นคะยอให้คนอื่นสนใจตามมันไปด้วย เจ้าเจมส์ หนุ่มไทยชื่อฝรั่งที่ชอบซื้อของแบรนด์เนมตามตลาดนัดเปิดท้าย เจ้าต่อ ผู้ที่วลีเด็ดอมตะอย่าง “คารมเป็นต่อ รูปหล่อเป็นรอง” ถูกประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อมันโดยแท้ และคนสุดท้าย เอก ซึ่งก็คือตัวผมเอง
พวกเรามักใช้เวลาที่เหลือในช่วงนี้จับกลุ่มกับเพื่อนคนอื่นๆ ในห้อง คุยเล่นอะไรกันไปเรื่อยเปื่อยตามประสานักเรียนวัยรุ่นเพื่อฆ่าเวลาก่อนเริ่มเรียนภาคบ่าย ส่วนประเด็นการเสวนาในแต่ละวันจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แทบไม่เคยซ้ำกัน ขึ้นอยู่กับว่าอะไรหรือข่าวไหนที่กำลังเป็นกระแสอยู่ในวันนั้น
“ข้าไปค้นเจอวิธีเห็นผีเด็ดๆ ในอินเตอร์เน็ตมาว่ะ”
จู่ๆ เจ้าหนุ่มหน้าจืดประจำกลุ่มก็พูดโพล่งแทรกขึ้นมากลางวงเหมือนอยากกระตุ้นความสนใจของวงสนทนา และมันก็ทำสำเร็จ พวกเราที่กำลังคุยเรื่องสาวๆ กันอยู่หันมาให้ความสนใจกับหัวข้อสนทนาใหม่ที่ถูกเปิดประเด็นขึ้นทันที
“วิธีอะไรของเอ็งวะ ไอ้ป๋อง”
ใครบางคนถามขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นสนใจ
“เค้าเรียกว่าวิธีเล่นซ่อนหาคนเดียวเว้ย”
หลายคนได้ยินแค่ชื่อวิธีเห็นผีก็หัวเราะออกมา บางคนมองหน้ากันไปมาแล้วส่ายหน้าเหมือนจะไม่สนใจ แต่แล้วหนึ่งในกลุ่มก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาค้นหาวิธีการตามที่ป๋องเพิ่งบอกมาเมื่อสักครู่
เพียงชั่วอึดใจที่คำค้นหาถูกพิมพ์เข้าไป รายชื่อเวบไซต์จำนวนมากก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ พวกเราจึงตัดสินใจเลือกอ่านวิธีการเล่นจากหนึ่งในนั้น
วิธีเล่นซ่อนหาคนเดียว
ก่อนเล่นให้หาตุ๊กตามาตัวหนึ่ง แต่มีข้อแม้ว่าต้องเป็นตุ๊กตาที่มีแขนมีขา ตั้งชื่ออะไรก็ได้ให้กับตุ๊กตาตัวนั้น
กรีดตุ๊กตาที่เตรียมไว้แล้วเอานุ่นที่ยัดอยู่ในตัวออกให้หมด ใส่ข้าวสารและเล็บหรือไม่ก็เส้นผมของเราลงไปแทน ข้าวสารจะแทนกล้ามเนื้อ ส่วนเล็บหรือเส้นผมใช้แทนอวัยวะภายในของตุ๊กตา
เมื่อใส่ข้าวสารลงไปจนเต็มแล้ว เย็บตุ๊กตากลับเป็นเหมือนเดิมโดยใช้เส้นด้ายสีแดง เส้นด้ายที่เหลือจากการเย็บให้พันเอาไว้รอบๆ ตัวตุ๊กตา เส้นด้ายสีแดงเส้นนี้ใช้แทนเส้นเลือด
เกมซ่อนหาจะเริ่มตอนตีสาม ปิดไฟในบ้านให้หมดทุกดวง เรียกชื่อตุ๊กตาสามครั้ง จากนั้นบอกกับตุ๊กตาตัวนั้นว่า “ฉันคือยักษ์” อีกสามครั้ง
นำตุ๊กตาไปกดน้ำในอ่าง เดินออกจากห้องที่กดน้ำตุ๊กตาตัวนั้น นับหนึ่งถึงสิบเพื่อเป็นการเริ่มเกม เมื่อนับครบสิบแล้วเดินถือมีดกลับเข้าไปในห้องเดิมที่มีตุ๊กตาอยู่ พูดว่า “เจอ (ชื่อตุ๊กตา) แล้ว” นำมีดที่ถือมาด้วยแทงไปที่ตัวตุ๊กตาและทิ้งมีดเอาไว้ตรงนั้น
พูดว่า “ต่อไป (ชื่อตุ๊กตา) ต้องเป็นยักษ์” แล้วรีบไปหาที่ซ่อน ชั่วระยะเวลาการนับหนึ่งถึงสิบตุ๊กตาจะลุกขึ้นมาและเริ่มออกตามหาเรา เมื่อใดที่ตุ๊กตาหาเราจนเจอ ให้อมน้ำเกลือไว้ในปากแล้วพ่นใส่ไปที่ตัวตุ๊กตา พูดว่า “ฉันชนะ” สามครั้ง เป็นอันจบเกม
ข้อควรระวัง
เมื่อเล่นครบทุกกระบวนการแล้ว แม้ว่าจะรักตุ๊กตาตัวนั้นมากแค่ไหนก็ตาม ห้ามเก็บเอาไว้ ต้องนำมันไปเผาทิ้งทันที
การเล่นซ่อนหาทุกขั้นตอนตั้งแต่ตีสาม ต้องเล่นให้จบภายในสองชั่วโมง หากตุ๊กตาหาเราไม่เจอเสียที เราต้องเป็นฝ่ายเดินไปตามหาและพ่นน้ำเกลือใส่ตามวิธีการจบเกมด้านบน
ตรวจสอบให้แน่ใจว่าขณะเล่นไม่มีใครอยู่ในบ้านกับเราด้วย เพราะเขาคนนั้นอาจจะกลายเป็นผู้เคราะห์ร้ายจากการเล่นของเราได้
ขณะที่กำลังเล่นซ่อนหาอยู่ ห้ามไปแอบที่อื่นนอกจากในบ้านที่ทำการเล่นเป็นอันขาด
หลังจากรู้วิธีการเล่นทั้งหมดแล้ว เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของวงสนทนาก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง แต่ส่วนใหญ่เป็นไปในเชิงตลกขบขัน หรือไม่ก็พูดในเชิงว่าไร้สาระ เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่ตุ๊กตาจะมีชีวิตขึ้นมาได้กับเรื่องแค่นี้
“แต่ข้าว่าน่าสนใจดีนะ แล้วก็น่าสนุกดีด้วย ลองเล่นกันดูมั้ยล่ะ”
“ท่าจะประสาท นี่แกเชื่อเรื่องแบบนี้เข้าไปได้ยังไงวะ”
“ไม่เชื่อก็ไม่เห็นเป็นไร ก็ถือว่าเล่นกันเล่นๆ หรือว่าแกกลัวกันแน่วะ ถึงว่าไร้สาระ อ้างนู่นนี่ไปเรื่อยเพราะไม่กล้าเล่น”
ความไม่ลงรอยในคำพูดเริ่มปรากฏ แต่ก่อนที่จะเกิดเหตุอะไรในวงสนทนาไปมากกว่านี้ ผมตัดสินใจเบี่ยงเบนประเด็นเพื่อลดบรรยากาศตึงเครียดลง
“ไอ้น่าสนใจก็น่าสนใจอยู่หรอก แต่พวกแกลืมอะไรไปรึเปล่า มันคือเกมเล่นซ่อนหาคนเดียว ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าให้เล่นคนเดียว แล้วพวกเราจะยกขโยงกันเล่นได้ยังไง”
ได้ผล เสียงฮือฮาในข้อคิดเห็นของผมได้รับการตอบรับ หลายคนพยักหน้าเห็นด้วย บางคนทำหน้าเหมือนเพิ่งคิดได้ ส่วนที่เหลือยิ้มออกมาอย่างโล่งใจที่การปะทะคารมก่อนหน้าดูเหมือนจะยุติลงได้
“เห้ย ไม่เป็นไรหรอก ไอ้เอก อย่าคิดมาก ที่เขียนน่ะมันเป็นแค่หลักการเว้ย กติกาการเล่นทุกอย่างมันปรับเปลี่ยนกันได้แล้วแต่ความครีเอทของแต่ละคน”
ป๋องแสดงความเป็นอัจฉริยะทางเรื่องไร้สาระให้ได้เห็นอีกครั้ง
“ปัญหาใหญ่กว่านั้นคือ แล้วเราจะไปเล่นกันที่บ้านใครล่ะ มันบอกว่าต้องไม่มีใครอยู่ในบ้านเวลาเล่นไม่ใช่เหรอ”
หลังจากที่นั่งฟังนิ่งๆ อยู่นานก็ถึงเวลาที่เจมส์ได้แสดงความคิดเห็นบ้าง
“เราจะเล่นซ่อนหากับผี ก็ต้องไปเล่นกันที่บ้านผีสิวะ พวกเอ็งไม่ต้องห่วง ข้าไปเจอที่เจ๋งๆ มาพอดี”
เป็นอีกครั้งที่เจ้าป๋องแก้ปัญหาใหญ่ที่เจมส์พูดถึงได้ในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที
“คราวนี้ว่าไงล่ะไอ้เอก ครั้งก่อนเอ็งไม่ไปกับพวกเรา อ้างว่าปวดท้อง หวังว่าคืนนี้เอ็งคงไม่ปวดหัวอีกนะ”
ประโยคสุดท้ายเล่นเอาทั้งวงสนทนาถึงกับหัวเราะครืน เพราะมันหันมากัดผมเข้าให้แบบไม่ทันตั้งตัว ทำเอาผมอายจนหน้าชา ป๋องพูดถึงเรื่องครั้งเมื่อผมเป็นตัวตั้งตัวตีในการไปเยือนบ้านผีสิงที่ค้นเจอในอินเตอร์เน็ต พวกเรานัดแนะเวลาสถานที่กันเป็นดิบดี แต่สุดท้ายผมเกิดอาการอาหารเป็นพิษกะทันหันก่อนถึงเวลานัดเพียงไม่กี่ชั่วโมงจนที่บ้านต้องหามส่งโรงพยาบาล
เจ้าพวกนี้ก็รู้ว่าผมป่วยจริงเพราะวันถัดมายังพากันไปเยี่ยมผมถึงเตียงพักฟื้น แต่พวกมันก็ยังถือโอกาสเอามาพูดแซวให้ผมได้อายกันอยู่จนถึงทุกวันนี้
หลังจากถกเถียงกันพอประมาณจนได้ข้อสรุปแล้ว ก็ตกลงกันว่าเราจะไปเล่นด้วยกันเป็นกลุ่ม โดยวิธีใส่เส้นผมหรือเล็บของทุกคนลงในตัวตุ๊กตาพร้อมกันครั้งเดียวเลย ส่วนสถานที่เล่นก็เป็นบ้านผีสิงตามที่ป๋องเสนอมา
“เสียงคนร่ำลือมาว่าเดิมทีบ้านหลังนี้เป็นเรือนหอของสามีภรรยาคู่หนึ่ง ปรากฏว่าแค่คืนแรกที่เข้ามาอยู่หลังส่งตัวเข้าห้องหอ กลางดึกคืนนั้น ในขณะที่ทุกคนหลับกันหมดแล้วก็มีขโมยแอบย่องขึ้นบ้านเพื่อหวังขโมยทรัพย์สิน
ตัวสามีที่บังเอิญสะดุ้งตื่นขึ้นมาได้ยินเสียงผิดปกติที่เกิดขึ้นตัดสินใจลงมาตรวจสอบให้แน่ใจ แต่โชคร้ายที่คืนนั้นเป็นคืนสุดท้ายของชีวิต เขาถูกคนร้ายแทงตายในห้องรับแขกหลังจากยื้อแย่งมีดกันอยู่พักหนึ่ง
ส่วนภรรยาที่ตื่นขึ้นมาตอนเช้าโดยที่ไม่ได้รับรู้เรื่องราวเมื่อคืนเลยก็เสียใจมากเพราะคิดว่าอาจจะช่วยอะไรได้บ้างหากเมื่อคืนเธอไม่สลบไสลจนไม่ได้สติแบบนี้ ด้วยความเศร้าโศกเลยตัดสินใจผูกคอตายตามสามีที่ใต้ต้นไม้หน้าบ้านนั่นเอง”
ป๋องเล่าประวัติบ้านที่จะใช้เป็นสถานที่เล่นให้ทุกคนฟัง เพื่อเป็นการเพิ่มอรรถรสในการไปเยือนบ้านผีสิงในคืนนี้
“หลังจากคืนนั้น วิญญาณรักยังคงไม่ไปไหน ถ้าบังเอิญมีคนดวงตกเดินผ่านไป วันดีคืนดีก็จะเห็นผู้หญิงใส่ชุดขาวนั่งแกว่งขาบนกิ่งไม้หน้าบ้านแล้วส่งยิ้มมาให้ หรือถ้าแย่กว่านั้นเธอจะผูกคอห้อยโตงเตง ตาเหลือก ลิ้นจุกปาก ให้ได้เห็นกันเลยทีเดียว
ส่วนในตัวบ้านก็จะเห็นเป็นเงาผู้ชายเดินไปเดินมาเหมือนกับตามหาอะไรอยู่ บางครั้งจะได้ยินเสียงร้องโหยหวนลอยตามลมออกมาให้ได้ยินกันอีกด้วย”