ทำไมลูกคนมีฐานะหลายคนถึงเรียนภาคอินเตอร์มากกว่าต่อต่างประเทศคะ?

ท้าวความก่อนนะคะ
ตัว จขกท เองจบมัธยมแห่งหนึ่งใน กทม ซึ่งทำให้รู้จักหลายๆคนที่มีฐานะ (ใช้กระเป๋าแบรนด์เนม เที่ยวต่างประเทศเป็นเรื่องธรรมดาอะค่ะ) แต่ส่วนใหญ่ที่ตัว จขกท รู้จักเนี่ย เรียนมหาวิทยาลัยรัฐบาลภาคอินเตอร์หรือไม่ก็เอกชนหลักสูตรนานาชาติซะส่วนมาก แต่ทำไมไม่ศึกษาต่อต่างประเทศเลยละคะ ทั้งๆที่มหาวิทยาลัยหลายแห่งในต่างประเทศมี ranking ติดลำดับโลก ซึ่งส่วนของค่าเทอม ทางผู้ปกครองของหลายคนน่าจะสนับสนุนได้ (เปรียบเทียบกับมหาลัยที่ จขกท เรียนอยู่นะคะ) และส่วนมากคิดจะต่อโทต่างประเทศแทน ซึ่งเสี่ยงที่จะ overqualified โดยเฉพาะถ้าหากสนใจทำงานต่างประเทศ
จึงอยากทราบความเห็นของคนที่ตัดสินใจเรียนไทย ถึงแม้ว่าสามารถที่จะเรียนต่อต่างประเทศได้ค่ะ
ขอแทคครอบครัว อยากทราบความเห็นของผู้ปกครองนะคะ

edit ส่วนมหาลัยของ จขกท ออกนะคะ
มีคำถามหลังไมค์ได้นะคะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 37
การเรียนในไทย ก็มีประโยชน์หลายอย่าง แบบที่หลายความเห็นด้านบนพูดไปแล้ว
คือ
- มีคอนเนคชั่น หรือหาคอนเนคชั่นได้ง่าย หรือ รู้ว่า ถ้าจะต้องการคอนเนคชั่นต้องติดต่อใคร
- ค่าใช้จ่ายประหยัดกว่า (คิดแบบ total package แล้วนะคะ)
- พ่อแม่ลูกได้อยู่กันใกล้ชิด ตัดปัญหาความห่างเหิน หรือ เจ้าของกิจการบางคนก็อาจฝึกลูกให้ทำงานไปด้วยได้ซะเลย
ตั้งแต่ช่วงมหาวิทยาลัย

แต่การเรียนต่างประเทศจริง ๆ ก็มีข้อดีหลายอย่าง
- ฝึกให้ลูก ๆ รู้จักช่วยเหลือตัวเอง  บ่มเพาะความแข็งแกร่ง และความรับผิดชอบ
- อยู่ในสภาพแวดล้อมทางภาษาวัฒนธรรมที่ต่างออกไป เปิดโลกทัศน์  และฝึกภาษาได้อย่างจริง ๆ จัง ๆ
- ภาคอินเตอร์ในไทย ... มักจะเป็นแหล่งรวมคุณหนู หรือ ลูกคนมีฐานะดี  ก็มีทั้งขยันบ้าง ขี้เกียจบ้าง
เที่ยวเก่งบ้าง  แบรนด์เนมทั้งตัวบ้าง  บางคนก็ไม่ชอบที่จะให้ลูกอยู่ในสภาพสังคมหรูเฟ่แบบนั้น
นัยว่า อาจทำให้เด็ก ๆ เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ

   ขอคอมเมนต์ตรง ๆ จากที่ได้เคยเจอมานะคะ

   ช่วงสิบยี่สิบปีก่อน  ตอนนี้ไม่ทราบว่า พัฒนากันไปถึงไหนแล้ว
มหาวิทยาลัย โปรแกรมอินเตอร์ในไทยหลายที่ (เท่าที่เคยเรียนและสัมผัสมา)  ไม่อินเตอร์จริง
ในความหมายที่ว่า
ใช้ text นอก หรือ บางทีก็เป็น text ที่อาจารย์เขียนเองบ้าง  copy paste ตัดแปะจากไหนมาให้ไม่รู้
คือ content ดีค่ะ  แต่การบันทึก footnote เพื่อผู้อ่านสามารถ track หา reference หรือ อะไรเพิ่มเติม  หลายเล่มพบว่า
อ่อนมาก  text นอกเหนือกว่าเยอะ  
   อาจารย์หลายท่าน ก็ยังบรรยายเป็นภาษาอังกฤษได้ไม่คล่องนัก  ฟังแล้วเหนื่อยทั้งครูทั้งนักเรียน
ทั้งอาจารย์ และ นักศึกษา ที่เป็น native speaker ตัวจริงมีน้อยมาก  ทำให้ได้ภาษาอังกฤษที่เป็นภาษาพูดแบบ เอิ่มมม...แปลก ๆ

ในดีมีเสีย ในเสียมีดีค่ะ
   นักศึกษาก็ได้ tune หูไปโดยปริยาย  ในชีวิตจริงเวลาออกมาติดต่อทำธุรกิจภายนอก
จะเป็นชาติไหนภาษาอังกฤษประหลาดชนิดที่เจ้าของภาษาหัวเราะหรือเกาหัวอย่างไร
ก็ฟังรู้เรื่องหมด
   อันนี้ ถ้าจะคิดแบบขำ ๆ ก็ต้องบอกว่า  นี่สิ "อินเตอร์" ของจริง


ส่วนเรื่อง connection  โดยส่วนตัว เราคิดว่าเป็นเรื่อง "เฉพาะตัว" นะคะ
ถ้าลูกเป็นคนแบบเด็กไทยปกติ  คือ ค่อนข้างขี้อาย ไม่กล้าเข้าหาใครก่อน
กลัวหน้าแตก  ไม่ใช่แนวหัวหมู่ทะลวงฟัน
   เด็กประเภทนี้ ถ้าต่อไปจะมี connection ก็จำเป็นต้องบ่มเพาะตั้งแต่สมัยเรียนหนังสือค่ะ
ไปเมืองนอก คงไม่ได้คอนเนคชั่นทางนี้

   แต่เด็กบางคน กล้าแสดงออก  กล้าพูด กล้าคุย  กล้าเข้าหา
คนประเภทนี้ จะจบจากที่ไหนมา  ยังไง ๆ ก็หากลุ่ม หาพวก หากเพื่อนได้อยู่แล้วค่ะ
แล้ว connection ที่ยั่งยืน และ มีคุณภาพ  บางครั้งก็อยู่ที่ลักษณะนิสัยเฉพาะตัวมากกว่า
แน่นอนว่า การเคยเรียน เคยเล่นด้วยกันมา อาจทำให้การเริ่มต้นการสนทนาติดต่อง่ายขึ้น
แต่ในระยะยาว  ถ้าความสนใจ และ นิสัยไปคนละด้าน  
ยังไง ๆ ก็สู้ connection สร้างใหม่ที่มาจาก การสานประโยชน์ในทางบวก กับนิสัยที่ไปกันได้   ไม่ได้หรอกค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่