JJNY : เศรษฐกิจดี๊ดี...เอกชนขาดเชื่อมั่นไม่ลงทุน ชี้เศรษฐกิจไทยเสี่ยง/ลุ้นเลือกตั้งรอฟอร์มรัฐบาลใหม่

กระทู้คำถาม
ตลาดคาดบอร์ดกนง.ประสานเสียงยืนอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.50% ในรอบก.ย.นี้ ชี้เศรษฐกิจไทยยังเสี่ยง เอกชนขาดเชื่อมั่นไม่ลงทุน ลุ้นเลือกตั้งฟอร์มรัฐบาลใหม่ “ทีเอ็มบี”เล็งหาก “ทรัมป์” ชนะเลือกตั้งสหรัฐฯ ปลายปีอาจมีเงินทุนไหลกลับภูมิภาคเอเชีย ด้าน “อีไอซี” ฟันธงเฟดขึ้นดอกเบี้ยปลายปีนี้ 0.25% และปีหน้าอีก 2 ครั้งไม่ส่งผลจีดีพีไทย ชูรัฐลงทุนโครงการขนาดใหญ่ กลุ่มซื้อรถคันแรกผ่อนชำระครบจะเป็นกำลังซื้ออีกรอบช่วงครึ่งหลังปี 60 ค่าย “กรุงไทย” ยํ้าจังหวะปัจจัยเปลี่ยนเร็วทั้งผู้ส่งออก-นำเข้าป้องกันเสี่ยงไว้ดีที่สุด ส่วน “กสิกรไทย” ห่วงนํ้าท่วมฉุดบริโภคกลุ่มเกษตรยังไม่ขยายตัว

ตลาดฟันธงผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (fed fund rates) ในการประชุมรอบที่จะถึงวันที่ 20-21กันยายนนี้ เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาที่ออกมาทั้งอัตราจ้างงานและอัตราเงินเฟ้อยังห่างจากเป้า โดยจะไม่ส่งผลต่อการพิจารณาดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ซึ่งเชื่อว่า กนง.จะยืนอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.50% ต่อปีในการประชุมวันที่ 14 กันยายน 2559

นายนริศ สถาผลเดชา ผู้อำนวยการอาวุโส ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) (บมจ.) หรือ ทีเอ็มบี เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า ในการประชุมรอบนี้เชื่อว่าเสียงคณะกรรมการกนง. จะไม่แตก โดยภาพรวมปัจจัยที่จะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายไม่เพียงพอ เหตุผลสนับสนุนมาจาก 2 ปัจจัยหลักคือ อัตราเงินเฟ้อที่ยังอยู่ระดับต่ำ 0.3% ซึ่งเป็นขอบล่างของเงินเฟ้อเป้าหมาย(เป้าหมายเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยทั้งปี 2.5 บวกลบ 1.5%)โดยเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำไปจนถึงกลางปี2560 และปัจจัยทางเศรษฐกิจที่ยังเติบโตอยู่บนเส้นด้าย โดยจะเห็นได้จากที่ผ่านมาอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ(จีดีพี)ของไทยสามารถเติบโตได้ด้วยการลงทุนและการใช้จ่ายของภาครัฐ ซึ่งมีสัดส่วนเพียง 5%ของจีดีพี และภาคการท่องเที่ยวมีสัดส่วน 15%ของจีดีพี ทั้งนี้ ที่ผ่านมาไตรมาส 2 จีดีพีขยายตัวได้ 3.5% ก็มาจากทั้ง 2 ปัจจัยคือ ภาครัฐและการท่องเที่ยวซึ่งเป็นการเติบโตที่กระจุกตัว

อย่างไรก็ตาม หากติดตามดูตัวเลขการบริโภคภาคเอกชน ซึ่งมีสัดส่วน 50%ของจีดีพีและการลงทุนภาคเอกชนที่มีสัดส่วน 20% ของจีดีพีนั้น ขณะนี้ทั้ง 2 ส่วนยังไม่สะท้อนการฟื้นตัวที่ชัดเจน ส่วนใหญ่การลงทุนภาคเอกชนจะออกไปต่างประเทศ หากมองในมุมของเศรษฐกิจจึงมีแรงกดดันสูง สมมติเกิดเหตุการณ์นอกเหนือความคาดหมาย ดังนั้น ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจไทยยังมีน้ำหนัก ประกอบกับปัจจัยทางการเมืองที่ยังไม่นิ่ง แม้จะมีสัญญาณว่าจะเกิดการเลือกตั้งในปีหน้า แต่ระหว่างที่ยังไม่ฟอร์มรัฐบาลใหม่เชื่อว่าการลงทุนภาคเอกชนยังไม่กลับมาเต็มที่ และหากครึ่งปีหลังภาคการส่งออกยังไม่ฟื้น เหล่านี้จึงเป็นปัจจัยสนับสนุนให้เชื่อว่ากนง. มีโอกาสคงดอกเบี้ยนโยบายมากที่สุดและทีเอ็มบีมองโอกาสที่กนง.จะลดดอกเบี้ยนโยบายมีมากกว่าการจะปรับเพิ่ม

“หากเกิดปัจจัยเสี่ยง ไม่ว่าจากภาครัฐหรือการท่องเที่ยว หรือเศรษฐกิจช็อกนั้น เชื่อว่า กนง.ยังมีพื้นที่นโยบายเป็นกระสุนไว้ออกใช้ยามจำเป็นและอัตราดอกเบี้ยไทยยังมีรูมจะปรับลดได้หากเทียบกับ มาเลเซีย อินโดนีเซีย”


อย่างไรก็ตามในระยะข้างหน้าอัตราดอกเบี้ยเฟดยังกำหนดทิศทางค่าเงินบาท โดยแนวโน้มความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนยังมีอีกมาก โดยเฉพาะเมื่อเข้าเดือนตุลาคมตลาดจะเริ่มกังวลเรื่องเงินทุนเคลื่อนย้ายช่วงปลายปี เพราะขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัยคือ หากเฟดปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะเห็นเงินไหลออกตามที่ตลาดคาดการณ์ไปก่อนหน้า แต่ปัจจัยการเลือกตั้งในสหรัฐอเมริกายังมีความไม่แน่นอนด้านตัวผู้ชนะ เพราะหากเป็น โดนัลด์ ทรัมป์ พรรครีพับลิกันเงินทุนอาจไหลกลับภูมิภาคเอเชียช่วงปลายปีได้

นายพชรพจน์ นันทรามาศ ผู้อำนวยการเศรษฐกิจมหภาค ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจไทยพาณิชย์(อีไอซี) กล่าวว่า ที่ผ่านมากนง.ส่งสัญญาณจะเก็บกระสุนไว้ที่เดิม เพราะมองเศรษฐกิจไทยไม่แย่แม้ชะลอตัว โดยแนวโน้มไตรมาส 3 เศรษฐกิจอาจชะลอตัว เพราะไม่มีปัจจัยชั่วคราวเช่นไตรมาส 2 ที่มีการบริโภคซื้อรถยนต์เข้ามา แต่การลงทุนเอกชนยังอยู่ในโหมดชะลอ เพราะยังมีกำลังการผลิตเพียงพอ แต่ในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัวในภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำ และผู้ประกอบการมีเงินสะสมเริ่มเห็นการต่อยอดธุรกิจทั้งการซื้อกิจการภายในและต่างประเทศ แต่ทั้งปีอีไอซีปรับจีดีพีไทยเติบโตได้ 3%จากเดิมคาดไว้ที่ 2.8%

ทั้งนี้ หากมองเศรษฐกิจปี 2560 ขึ้นอยู่กับการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของรัฐที่จะออกมาพัฒนาอย่างจริงจัง ซึ่งน่าจะเห็นการลงทุนของภาคเอกชนที่เกิดความเชื่อมั่นและลงทุนตาม อีกทั้งกลุ่มผู้ซื้อรถคันแรกที่ผ่อนชำระหมดโดยมีเงินเหลือ 6,000 – 1 หมื่นบาท ซึ่งจะกลับมาเป็นกำลังซื้ออีกรอบตั้งแต่ครึ่งหลังปี 2560 โดยจะค่อยๆ เพิ่มกำลังซื้อเข้ามา

“ เรามองเฟดจะปรับดอกเบี้ยในเดือนธ.ค.ในอัตรา 0.25%และสิ่งที่จะเกิดขึ้นในปี 2560 เฟดอาจเพิ่มอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้งๆ ละ 0.25% ซึ่งหากเฟดทยอยปรับขึ้นดอกเบี้ยตามนี้ แนวโน้มที่เงินทุนไหลเข้าคงชะลอลงพอสมควรโดยจะเห็นเงินทุนค่อยๆไหลออก แต่ขณะเดียวกันสหรัฐฯอาจยังมีความเสี่ยงทางการเมืองภายหลังการเลือกตั้ง ไม่ว่าใครจะขึ้นเป็นผู้นำรัฐบาลไม่น่าจะมีนโยบายชัดเจน เพราะสภาคองเกรสมีการแบ่งขั้วจึงอาจทำให้นโยบายหาเสียงเดินไม่ได้”

สอดคล้องกับนายรชตพงศ สุขสงวน ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ผู้บริหารฝ่าย ฝ่ายวิจัยความเสี่ยงธุรกิจ บมจ.ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ครึ่งปีหลังเศรษฐกิจน่าจะฟื้นตัว แม้เดือนกรกฎาคมชะลอตัวจากก่อนหน้าแต่เชื่อว่าเดือนสิงหาคมและกันยายนน่าจะตีกลับได้ ดังนั้นความจำเป็นในการลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจจึงน้อยลง ทางกนง.คงรอดูธนาคารกลางแต่ละประเทศโดยเก็บกระสุนไว้ใช้เพราะนโยบายการคลังมีความต่อเนื่องโดยรัฐบาลไม่มีประเด็นเรื่องงบประมาณ เพราะมีการเร่งเบิกจ่ายงบการลงทุนและเร่งใช้งบประมาณปี 2560 จึงไม่จำเป็นต้องใช้นโยบายการเงิน แต่ค่าเงินยังเคลื่อนไหว 2 ทิศทางทั้งอ่อนและแข็ง แม้ธปท.จะพยายามดูแลให้อยู่ในระดับเดียวกับสกุลเงินภูมิภาค แต่จังหวะปัจจัยเปลี่ยนเร็วทั้งผู้ส่งออกและนำเข้าควรประกันความเสี่ยงไว้ดีที่สุด

ด้านนายกอบสิทธิ์ ศิลปชัย ผู้บริหารงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน บมจ.ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า หากกนง.มีการลดอัตราดอกเบี้ยลง เชื่อว่าจะไม่ส่งผลต่อเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวดีขึ้น เพราะที่ผ่านมาการลดดอกเบี้ยไม่ได้มีผลมากนัก แต่สิ่งที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ จะเป็นนโยบายการคลังที่จะต้องทำเพิ่มเติม เนื่องจากจะเป็นตัวสร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคเอกชน เพราะตอนนี้ภาคเอกชนไม่มีการลงทุน เพราะขาดความเชื่อมั่น เห็นได้จากดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลค่อนข้างสูง สะท้อนภาวะการนำเข้าที่น้อยลง ส่วนหนึ่งมาจากภาคเอกชนไม่มีการลงทุน /นำเข้าวัตถุดิบหรือเครื่องจักรเข้ามาผลิต อีกทั้งเอกชนต้องการความชัดเจนเรื่องการเลือกตั้ง รวมถึงทิศทางการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ แม้ว่าเรื่องของภัยแล้งจะหมดไป แต่จะมีเรื่องน้ำท่วมเข้ามา ทำให้เกษตรกรจำนวน 1 ใน 3 ของประชากรทั้งหมดยังคงได้รับผลกระทบ ทำให้การบริโภคยังขยายตัวไม่ดีนัก

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,192 วันที่ 15 – 17 กันยายน พ.ศ. 2559
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่