รีวิว Don't Breathe : เมื่อการมองเห็นไม่ช่วยอะไร






หลังเป็นที่รู้จักในฐานะของ “เด็กปั้น” ของแซม ไรมี ที่มอบหมายให้รีเมคหนังสยองขวัญขึ้นหิ้งของตัวเองอย่าง Evil Dead เมื่อสามปีก่อน และได้รับคำวิจารณ์แบบเสมอตัว และถูกพูดถึงในระดับหนึ่งถึงความดุดันและสมจริง แต่ผลงานนั้นเหมือนจะพิสูจน์ฝีมือไม่ได้มากนัก เพราะยังไงก็เป็นการทำตามรูปแบบพิมพ์เขียวที่ตัวแซม ไรมี สร้างขึ้นมาก่อนหน้า เพราะยังไงก็เป็นการรีเมคหนังเรื่องเดิม
มาในปีนี้ผู้กำกับชาวอุรุกวัย อย่าง เฟเด อัลวาเรซ ก็ได้แสดงให้เห็นถึงฝีมือและเซนส์ทางด้านการทำหนังเขย่าขวัญให้เป็นที่ประจักษ์โดยที่ไม่ต้องพึ่งบารมีของแซม ไรมี อีกแล้ว

Don’t Breathe เป็นเรื่องราวของกลุ่มโจรวัยรุ่นที่มีชีวิตที่ตกต่ำ ยากจน อยู่ในสภาพสังคมที่ไม่ดี จนอยากไปหาชีวิตใหม่ที่เมืองอื่น โดยวิธีการนั้นคือการปล้นของเพื่อหาเงินสักก้อนและย้ายไปเริ่มชีวิตใหม่ และเป้าหมายล่าสุดคือการเข้าไปปล้นบ้านคนแก่คนหนึ่งเป็นทหารผ่านศึกที่ตาบอด แต่มีเงินเก็บไว้นับแสนเหรียญเพราะได้เงินค่าชดเชยจากเหตุการณ์ที่ลูกสาวของเขาถูกเศรษฐีขับรถชนจนเสียชีวิต การปล้นคราวนี้ดูเหมือนง่าย เพราะเป็นการจัดการกับคนตาบอดที่ดูไม่มีพิษสงใด ๆ แต่พวกเขาคิดผิด เมื่อเขาประเมินความสามารถของคนแก่คนนี้ต่ำไป และนำมาซึ่งเหตุการณ์เอาชีวิตรอดที่จะลืมไม่ลง


การผสมของหนังรูปแบบเดิม ๆกับเงื่อนไขตัวละครใหม่ ๆ
สิ่งแรกที่ต้องพูดถึงคือการที่อัลวาเรซนั้นทำหนังที่เป็นหนังรูปแบบเดิม ๆ ที่เราเคยเห็นกันไม่รู้กี่เรื่องต่อกี่เรื่องแล้วให้ดูใหม่ได้ โดยการหยิบองค์ประกอบของหนังหลาย ๆจุดมาผสมกัน โดยเฉพาะในแง่ของตัวร้ายอย่างคนแก่เจ้าของบ้าน ที่มีเงื่อนไขตัวละครคือ ตาบอด นี่เป็นรูปแบบที่น่าสนใจในการนำมาใส่ในหนังสยองขวัญ เพราะเงื่อนไขนี่ยากมากกับการสร้างพิษสงของตัวละครให้คนดูรู้สึกหวาดกลัวได้ และหากทำได้จะทำให้รู้สึกว่าเป็น “ของใหม่” ในทันที เพราะเราไม่เคยเห็นตัวร้ายที่ดูจนตรอกด้วยเงื่อนไขตั้งแต่แรกแบบนี้ในหนังสยองขวัญมาก่อน ซึ่งจุดนี้อัลวาเรซสามารถทำได้จริง

เพราะเงื่อนไขของความตาบอดของตัวร้าย เปิดโอกาสให้อัลวาเรซสามารถเล่นกับพื้นที่จำกัดภายในบ้านของลุงคนแก่ (ที่รู้จักทุกซอกทุกมุมของบ้านเป็นอย่างดี) ได้อย่างคุ้มค่ามาก และหมัดเด็ดที่อัลวาเรซใช้อีกอย่างก็คือ ความมืด ที่คนปกติจะตกเป็นรองในทันทีจากที่เคยเป็นต่อ เพราะเมื่อถึงจุดที่ทัศนวิสัยมืดมิดจนมองไม่เห็นอะไร แค่นี้ชายแก่ผู้ตาบอดที่คุ้นชินกับความมืดและการใช้หูในการสังเกตแทนตามาตลอด (แถมอยู่ในสถานที่บ้านของตัวเอง) ก็เป็นผู้ถือไพ่เหนือกว่าทุกด้าน ชนิดที่คนดูต้องเอาใจช่วยเหล่าวัยรุ่นให้รอดพ้นจากเหตุการณ์นรกนี้ไปให้ได้


การเล่าเรื่องที่ทำได้ถึง และเรื่องราวที่เหนือความคาดหมาย
หนังเรื่องนี้มีความยาวเพียง 88 นาที ไม่ถึงชั่วโมงครึ่งด้วยซ้ำ แต่ไม่ทำให้รู้สึกว่าหนังสั้นเกินไปเลยแม้แต่นิด กลับรู้สึกว่าเกือบจะเหนื่อยเกินกว่าจะเอาใจช่วยตัวละครเหล่านี้แล้วด้วยซ้ำ นั้นเพราะอัลวาเรซใช้เวลาปูเรื่องราวและแบ็กกราวตัวละครทั้งหมดด้วยเวลาไม่ถึง 10 นาที และหลังจากนั้นก็เริ่มเรื่องราวหลักทันที ด้วยเวลาอีกประมาณ 78 นาที ที่อัลวาเรซนั้นเล่นกับคนดูอยากหนัก ซึ่งจุดนี้ต้องยกเครดิตกับความสามารถในการเล่าเรื่องของอัลวาเรซที่กำหนด ”จังหวะ” ให้กดดันคนดูได้ต่อเนื่องนับตั้งแต่เริ่มแผนการปล้นไปจนจบเรื่อง ทั้งการลำดับสถานการณ์ที่ค่อย ๆทวีความระทึกและน่ากลัวมากขึ้นเรื่อย ๆ และขณะเดียวกันนั้น อัลวาเรซก็ได้เปิดเผยเรื่องราวที่คาดไม่ถึงเพิ่มขึ้น ให้คนดูได้ขบคิดและสงสัยเพิ่มอีก !

นี่คือความฉลาดอีกอย่างหนี่ง เพราะอัลวาเรซรู้ดี ว่าถ้าหากเขาเล่าเรื่องเหตุการณ์เดียวไปจนจบ ถามว่าสนุกมั้ย ก็คงตอบได้ว่าสนุก แต่มันจะเป็นความสนุกที่เมื่อไฟในโรงเปิดขึ้นมา ก็จะจบกันแค่นั้น เพราะเรื่องราวไม่มีอะไรให้จับต้องได้ ฉะนั้นอัลวาเรซจึงมีเรื่องราวที่เกี่ยวข้องและเกินความคาดหมายให้คนดูตามเรื่องได้อีกหนึ่งจุด เรื่องราวนี้นอกจากจะช่วยให้เพิ่มความน่าสนใจนอกเหนือจากประเด็นการเอาชีวิตรอดแล้ว ยังช่วยให้เราเห็นถึงจิตใจตัวละครลุงคนแก่ได้ลึกมากขึ้น ซึ่งสามารถบอกได้ว่าอัลวาเรซนั้นไม่ประนีประนอมในการตีแผ่ความวิปริตที่เกินคาดของชายแก่คนนี้ให้คนดูได้เห็นในช่วงไคลแมกซ์ (ซึ่งจุดนี้คืออะไร คงต้องไปติดตามกันเองในโรงภาพยนตร์นะครับ)


เมื่อผู้กำกับสนุกกับการเล่นกับตัวละครเกินเหตุ?
การกระทำของอัลวาเรซตอบโจทย์ในแง่หนังเขย่าขวัญจริง แต่ข้อเสียก็ไม่ใช่ไม่มี ซึ่งแผลใหญ่ ๆก็คือความไม่สมเหตุสมผลของเหตุการณ์และสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเอง ซึ่งจริง ๆเข้าใจว่าหนังแบบนี้อาจไม่จำเป็นต้องนึกถึงความสมเหตุสมผลอยู่แล้วก็ได้ เพราะจุดหมายคือการเอนเตอร์เทนคนดู แต่บางครั้งก็รู้สึกว่ามันเกินไปหน่อย (จนแอบรู้สึกว่า โห้ เอาแบบนี้เลยเหรอ 555) และบทสรุปสุดท้ายที่โดยส่วนตัว รู้สึกคาใจอยู่พอสมควร


หนังสยองขวัญแบบเดิม แต่ไปได้สุด
โดยรวมแล้ว หนังเรื่องนี้ไม่ใช่หนังสยองขวัญแบบใหม่ ที่จะมาเป็นหมุดหมายสำคัญใด ๆ ของวงการในอนาคต เพราะเป็นหนังในรูปแบบที่เราเห็นกันมาไม่รู้กี่รอบแล้ว แต่ส่วนที่ดีของหนังคือองค์ประกอบภายในของหนังที่ทำให้หนังน่าสนใจและเป็นมุขใหม่ที่ทำให้หนังน่าสนใจและดูสนุกตั้งแต่ต้นจนจบ นอกจากนั้นคำถามในฝีมือของอัลวาเรซในการทำหนังสยองขวัญแบบเรื่องก่อนหน้าก็คงหมดไป เมื่อเขาสามารถทำหนังสยองขวัญแบบเดิม ๆแต่สามารถพามันไปได้สุดทางที่ควรจะเป็นได้

เพราะในยุคสมัยนี้ การหาความแปลกใหม่ในภาพยนตร์นั้นยากเต็มที และการหาของเดิมแต่ทำได้ดีในแบบควรจะเป็นก็หายากไม่ต่างกัน
ซึ่งหนังเรื่องนี้ตอบโจทย์ในแบบหลัง .

ขอบคุณภาพประกอบจาก Sony Pictures
หากอ่านแล้วชอบ ติดตามบทความ รีวิวหนังได้ที่เพจ https://www.facebook.com/thelastseatsontheleft/ นะครับ ยิ้ม
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่