วรรณกรรมพันปี ของดีถิ่นชาเขียว เลาะเลี้ยวเที่ยวเมืองเก่า เรื่องเล่านกกาน้ำ
บางครั้งการใช้เวลาหนึ่งวัน ในเมืองที่ไม่ค่อยรู้จัก ไม่ต้องมีแผนการอะไรมากมาย ออกนอกเส้นทางสายหลักบ้าง มันก็เป็นการเดินทางที่ตื่นเต้นประทับใจดีนะ

อุจิ (Uji) เป็นเมืองเล็กๆ ตั้งอยู่ในทิศตะวันออกเฉียงใต้ในเขตเมืองเกียวโต ชื่ออุจินั้น แวบผ่านเข้ามาในความทรงจำของผมเป็นเวลานานแล้ว จากการดื่มชาเขียว Uji cha ชาเขียวที่มีกลิ่นหอมของชาเขียวขนานแท้และดั้งเดิม คนไทยรู้จักกันดีในส่วนผสมของขนมของฝากชื่อดังของเกียวโต หรือของญี่ปุ่น คือ คิทแคท ชาเขียวในตำนาน Uji-Matcha Kitkat ที่ใครไปญี่ปุ่นก็ต้องซื้อกลับมาฝากเพื่อนฝูง ข้อมูลเพิ่มเติม
https://nestle.jp/brand/kit/inbound/en/limited/05.html

ใครๆ ก็ต่างรู้จักอุจิในชื่อของ”เมืองแห่งชาเขียว. ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์ อุจินั้นเป็นเมืองที่ปลูกชาเขียวแห่งแรกของประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่ยุคคามะคุระ ทำให้การันตีได้เลยว่าเมืองนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ และถ้าหากเราทำการบ้านเพิ่มเติมอีกสักนิด จะพบว่าอุจิ ก็ยังมีแหล่งท่องเที่ยวสำคัญๆที่เป็นมรดกของชาติอยู่ และยังเป็นเมืองที่วิวทิวทัศน์สวยงาม อีกทั้งเดินทางก็สะดวก เหมาะแก่การเดินเที่ยวชมแบบ one day trip ได้อีกด้วย

ผมตื่นนอนในยามเช้าของฤดูร้อนในวันที่อากาศร้อนอบอ้าว แถมท้องฟ้าขมุกขมัว แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคอะไรมากนักสำหรับการเดินทางไปยังจุดหมายของผมในวันนี้
ผมเลือกที่พัก Piece hostel Kyoto เพราะสะดวกสบาย ราคาประหยัดและอยู่ใกล้กับสถานีเกียวโตมาก ทำให้เดินทางไปสถานที่ต่างๆได้รวดเร็ว

หลังจากทำกิจวัตรยามเช้าเรียบร้อย ผมเลือกใช้บริการ JR Nara Line Local for NARA ซึ่งเป็นรถไฟต่อเดียว สบายๆนั่งตั้งแต่ต้นสาย ไม่หลงแน่นอนครับ โชคดีที่ตอนนี้เป็นเวลาเช้า ผมก็ได้ใช้เวลาเพลิดเพลินไปกับการดู ประกอบกับการสังเกตพฤติกรรม เพื่อนร่วมทางซึ่งเป็นนักเรียนญี่ปุ่นจำนวนมาก ที่เดินทางร่วมกันกับผมในรถขบวนนี้ โดยผมสังเกตว่าเด็กนักเรียนเค้าดูซุกซนตามประสาวัยรุ่นแต่ท่าทางดูมีวินัย ไม่เกเร ไม่รุกล้ำสิทธิผู้โดยสารท่านอื่น หรือทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนเลยแม้แต่น้อย

รถไฟแบบ Local Train หวานเย็น ฉึกฉักๆ จอดส่งนักเรียนไปตามสถานีต่างๆเหมือนรถไฟชานเมืองของบ้านเรา ผมนั่งดูวิวข้างทางที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ จนเพื่อนเด็กนักเรียนผู้ร่วมทางของผมทยอยลงไปตามสถานีต่างๆจนเกือบหมดตู้แล้ว ใช้เวลาประมาณ25นาทีก็มาถึงยังสถานีรถไฟ JR Uji แล้วครับ

ผมเดินออกจากสถานี Uji(JR) พร้อมกับเพื่อนคู่ใจ Google Map มุ่งตรงไปสู่ วัดที่เป็นมรดกโลก วัดชื่อดังที่สุดของเมืองอุจิ หากคุณมีเหรียญ 10 เยน ติดกระเป๋าอยู่นำมันออกมาครับ พลิกด้านหลังแล้วสังเกตดีๆนะ อาคารหลังนั้นแหละ ผมจะพาไปดูของจริงกัน ที่นี่…วัดเบียวโดอิน
วัดเบียวโดอิน Byodo-in Temple

มรดกโลกของเมืองอุจิ เดิมทีเดียวเป็นที่พำนักฤดูร้อนของเครือข่ายขุนนางฟูจิวาระ แล้วเปลี่ยนมาเป็นวัดในภายหลัง หากเราเดินจากสถานี Uji(JR) เมื่อเข้าใกล้บริเวณวัด เราจะพบดอกบัว สัญลักษณ์ของฤดูร้อนที่สวยงามตั้งเรียงรายตกแต่งเหมือนกำลังยืนคำนับต้อนรับผู้ที่กำลังเข้ามาเยือน

หลังจากผ่านพิธีการซื้อตั๋วเรียบร้อย เราจะก็ได้รับแผนที่เพื่อเดินชมวัด ภายในวัด มีส่วนของอาคารต่างๆ มีสวนญี่ปุ่น และมีส่วนของพิพิธภัณฑ์อีกด้วย ในส่วนหลักที่สำคัญที่สุดก็คือ อาคารวิหารฟินิกซ์ (Phoenix Hall) หากคุณมีเหรียญ 10 เยนอยู่ในมือ ด้านหลังของเหรียญนั่นแหละครับ อาคารวิหารฟินิกซ์ นกอมตะ นัยแห่งการเวียนไหว้ตายเกิด

ผมไม่ได้เข้าชมภายใน โถง แต่ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการชมสวนสวยของวัด ตัวอาคารและบ่อน้ำถูกออกแบบมาเป็นอย่างดี เงาสะท้อนจากอาคารฉายให้เกิดภาพสะท้อนสวยงามได้ระนาบ จากบันทึกกล่าวว่าอาคารวิหารฟินิกซ์ เป็นอาคารดั้งเดิมที่มีเพียงไม่กี่แห่งในเกียวโต ที่ไม่เคยถูกทำลาย หรือถูกเพลิงไหม้เสียหายเลย ที่เราเห็นทุกวันนี้ยังเป็นของดั้งเดิมแท้ๆตั้งแต่ พ.ศ.1600 ผมเดาเล่นๆว่าอาจเป็นเพราะอาคารแห่งนี้ชื่อเป็นอมตะเหมือนนกฟินิกซ์ หรืออาจเป็นเพราะสร้างใกล้บ่อน้ำก็เป็นได้

สวนญี่ปุ่นในฤดูร้อน ดอกบัว ถือเป็นนางเอกของวัด ในฤดูกาลนี้เลยทีเดียว

นกฟินิกซ์ทองคำบนหลังคาของวิหาร คือต้นกำเนิดชื่อของวิหารแห่งนี้ ใครมีธนบัตร 10,000เยนอยู่ในมือ พลิกด้านหลังนะครับ ใช่ตัวเดียวกันรึเปล่า?

สวนญี่ปุ่นของวัดจัดในรูปแบบที่เรียบง่าย แต่สวยงาม ไม่รกตาจนเกินไป ทำให้องค์อาคารโดดเด่นสวยงามและกลมกลืนไปกับสวน ไม่ขาดไม่เกิน
หลังจากการชมสวน บันทึกภาพ ดื่มด่ำกับบรรยากาศเป็นเวลาหนึ่งแล้ว เราก็ถูกบังคับให้เดินไปเรื่อยๆ เป็นทางเดินแบบ one way ซึ่งจะผ่านพิพิธภัณฑ์ส่วนที่เก็บสมบัติของวัดและตระกูลฟูจิวาระ (Hoshokan) แต่น่าเสียดายภายใน ห้ามบันทึกภาพ
เมื่อผมเข้าชมศิลปกรรมอันเป็นสมบัติของวัด ผมรู้สึกขนลุกในความละเอียดอ่อน และความอ่อนช้อยของงานช่างในสมัยเฮอันมาก ภายในมีนกฟินิกซ์คู่เก่าที่ถูกอ๊อกซิเดชั่นจนเป็นสีเขียวแต่ความงดงามยังคงอยู่ ผมเข้าไปยืนดูใกล้ๆ แม้แต่ขนเกล็ดเล็กๆของตัวนกยังลงรายละเอียดได้สวยงาม ซึ่งนกฟินิกซ์คู่นี้เป็นต้นแบบด้านหลังธนบัตร 10,000เยนในปัจจุบัน
หากใครมีเวลามากพอ ขออนุญาตแนะนำว่าไม่ต้องรีบเดินผ่านๆนะครับ ลองเข้าไปชมไปพิเคราะห์ใกล้ๆ จะเห็นถึงความละเอียด ความมีจินตนาการของช่างศิลป์สมัยก่อน ไม่แปลกใจเลยนะครับ ที่วัดแห่งนี้ จะถือเป็นหนึ่งในมรดกโลกในเขตเกียวโต
หลังจากเดินออกจากวัดแล้วด้วยความไม่มีแผน ผมจึงออกเดินไปศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ที่ตั้งอยู่ติดริมแม่น้ำอุจิ ซึ่งอยู่บริเวณใกล้เคียงกับวัดนั่นเอง โดยทางเดินก็จะติดกับถนนสายชาอันมีชื่อเสียง และถนนริมน้ำที่ผ่านหน้าศูนย์บริการนักท่องเที่ยวนั้นผมชอบมาก มีความชิล ในรูปแบบชานเมืองริมน้ำของญี่ปุ่น เหมาะกับการเดินเล่นมากๆเลยครับ

เจ้าหน้าที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวหลายต่อหลายแห่งน่าสนใจ ซึ่งเมื่อฟังแล้ว อยากจะขออยู่ต่ออีกซักคืน แต่คงทำไม่ได้ เดี๋ยวจะเลือกไปตามที่เพื่อนแอดมินจากเพจดังเกียวโตสี่ฤดูแนะนำให้ก็แล้วกัน แต่ก่อนอื่น ไหนๆเราก็มาอุจิและจะให้ถึง ต้องลองชิมอุจิมัทฉะ
บ้านชาไทโฮอัน (Taihoan Tea House)

ซึ่งบ้านชาไทโฮอัน (Taihoan Tea House) ตั้งอยู่ในพื้นที่เดียวกันกับศูนย์บริการนักท่องเที่ยว เป็นบ้านชาสาธารณะที่ให้นักท่องเที่ยวได้มีโอกาสชมพิธีชงชา ได้รับความรู้เกี่ยวกับมารยาทการชงชาที่ถูกต้อง ซึ่งค่าบริการไม่แพง และเนื้อหาค่อนข้างครบถ้วนดี มีบรรยายภาษาอังกฤษ สามารถซื้อตั๋วชำระค่าบริการได้ที่เคาน์เตอร์ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวได้เลย

ขนมหวานชั้นดีถูกนำมาเสริฟก่อน

อุปกรณ์ชงชา

การชงชาด้วยจังหวะและท่วงท่าที่สงบแต่เชี่ยวชาญของเซนเซย์

อุจิมัทฉะที่ผมรอคอย

นี่ถือเป็นอีกครั้งที่ผมได้เข้าพิธีชงชา จากครั้งที่แล้ว
http://pantip.com/topic/34866395 ครั้งนี้ก็ประทับใจเช่นกัน มันมีความสงบและผ่อนคลาย ส่วนอุจิมัทฉะเอาเข้าจริงผมว่ารสชาติออกมาคล้ายคลึงกับที่เคยดื่มในเกียวโตนะ ก็แน่ล่ะครับ ร้านค้าหรือบ้านชาส่วนใหญ่ในเกียวโตก็จะสั่งชาเขียวที่เป็นอุจิมัทฉะไว้บริการลูกค้าเหมือนกันหมด แต่ที่แน่ๆ ครั้งหนึ่งในชีวิตผมได้มาลองดื่มอุจิมัทฉะ ที่อุจิแล้วครับ

ผมบอกลาบ้านชาไทโฮอัน เพื่อที่จะออกเดินทางต่อ ผมใช้เส้นทางเดินผ่านสวนสาธารณะกลางเกาะเล็กๆบนแม่น้ำอุจิ Tounosima and Tachibana Island เพราะว่าเย็นนี้ผมมีแผนจะกลับมาที่นี่อีกครั้ง เพื่อที่จะมารับชมการจับปลาด้วยนกกาน้ำ ซึ่งเป็น highlight ของอุจิในฤดูร้อนเลยทีเดียว จึงต้องศึกษาเส้นทางไว้ก่อน

เป้าหมายต่อไปของผม ได้รับคำแนะนำมาจากเพื่อนแอดมินเพจเกียวโตสี่ฤดู กล่าวว่าฤดูร้อนต้องไปที่เย็นๆ และไปชมดอกไม้สวยๆ ก็เลยแนะนำให้ไปชมวัดแห่งดอกไม้ วัดมิมูโระโทจิ Mimurotoji Temple
ผมออกเดินตามเส้นทางเรียบริมแม่น้ำอุจิ เพื่อขึ้นไปทางทิศเหนือของเมือง อากาศร้อนเหลือทน มันทำให้คิดถึงการเดินอยู่แถวๆ เยาวราชตอนกลางวันในวันที่แดดจัดเหลือเกิน คิดไปพลางเหงื่อแตกพลั่ก กระหายน้ำจนคอแห้งผาก สายตาก็เหลือบไปเห็นตู้กดน้ำอัตโนมัติ ใช่ครับมันคือตู้กดน้ำชา…อุจิชา

ผมดีใจระคนประทับใจ ว่าเมืองเล็กๆแบบนี้ เค้าตั้งใจทำให้มีจุดขายที่ขายได้ชัดเจน เค้าขายชาเขียว มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน น่าคิดนะครับ บ้านเราน่าจะมีเมืองแห่งน้ำกระเจี๊ยบ สร้างประวัติขึ้นมาเลยเราปลูกกระเจี๊ยบตั้งแต่สมัยขอม(อะไรก็ช่างไม่มีใครรู้หรอก) กระเจี๊ยบของเราจึงแซ่บ ทำน้ำกระเจี๊ยบออกมาแล้วรสเลิศ อะไรประมาณนี้ก็น่าจะสนับสนุนและขายได้เช่นกันนะครับ

130เยน ของผมถูกหยอดลงไปในตู้อย่างรวดเร็ว ได้มาแล้วชาเขียวเย็นเจี๊ยบ ซดรวดเดียวผ่านลำคอดับกระหายคลายร้อน กลิ่นหอมอ่อนๆ โชยขึ้นมาแตะจมูกช่วยให้สดชื่นขึ้นได้มากครับ
ผมเดินต่อไปถึงสะพานอุจิ สะพานใหญ่ทอดยาวข้ามแม่น้ำอุจิ ทางสัญจรที่ถือเป็นถนนเส้นหลักในเมืองแห่งนี้ ผมเห็นร้านขายผลิตภัณฑ์จากชาเขียว การมาญี่ปุ่นสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้เลยในทุกๆครั้ง คือการรับประทาน ซอฟครีมชาเขียว ไหนๆก็มาถึงถิ่นชาเขียวแล้วก็ต้องลองเช่นกัน

ผมได้ทดลองชิม ซอฟครีมชาเขียว 2 ร้านที่อยู่ตรงข้ามกัน ผลออกมาว่ารสชาติต่างกันครับ เพราะแต่ละร้านมีสูตรและสัดส่วนไม่เหมือนกัน แม้จะใช้ชาเขียวจากแหล่งเดียวกันก็ตาม กรรมวิธีการผลิตและตัวชาก็อาจแตกต่างกัน ดังนั้นผมว่า อยู่ที่ความชอบและโชคของแต่ละบุคคลละครับว่าจะชิมแล้วติดอกติดใจร้านไหน ผมว่าร้านที่ไม่ดัง อาจจะอร่อยก็ได้นะลองดูครับ

เดี๋ยวมาเล่าต่อนะครับ...
[CR] หนึ่งกล้องกับสองเท้า เดินช้า พาเยือนถิ่นชาเขียว อุจิ เกียวโต
บางครั้งการใช้เวลาหนึ่งวัน ในเมืองที่ไม่ค่อยรู้จัก ไม่ต้องมีแผนการอะไรมากมาย ออกนอกเส้นทางสายหลักบ้าง มันก็เป็นการเดินทางที่ตื่นเต้นประทับใจดีนะ
อุจิ (Uji) เป็นเมืองเล็กๆ ตั้งอยู่ในทิศตะวันออกเฉียงใต้ในเขตเมืองเกียวโต ชื่ออุจินั้น แวบผ่านเข้ามาในความทรงจำของผมเป็นเวลานานแล้ว จากการดื่มชาเขียว Uji cha ชาเขียวที่มีกลิ่นหอมของชาเขียวขนานแท้และดั้งเดิม คนไทยรู้จักกันดีในส่วนผสมของขนมของฝากชื่อดังของเกียวโต หรือของญี่ปุ่น คือ คิทแคท ชาเขียวในตำนาน Uji-Matcha Kitkat ที่ใครไปญี่ปุ่นก็ต้องซื้อกลับมาฝากเพื่อนฝูง ข้อมูลเพิ่มเติม https://nestle.jp/brand/kit/inbound/en/limited/05.html
ใครๆ ก็ต่างรู้จักอุจิในชื่อของ”เมืองแห่งชาเขียว. ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์ อุจินั้นเป็นเมืองที่ปลูกชาเขียวแห่งแรกของประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่ยุคคามะคุระ ทำให้การันตีได้เลยว่าเมืองนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ และถ้าหากเราทำการบ้านเพิ่มเติมอีกสักนิด จะพบว่าอุจิ ก็ยังมีแหล่งท่องเที่ยวสำคัญๆที่เป็นมรดกของชาติอยู่ และยังเป็นเมืองที่วิวทิวทัศน์สวยงาม อีกทั้งเดินทางก็สะดวก เหมาะแก่การเดินเที่ยวชมแบบ one day trip ได้อีกด้วย
ผมตื่นนอนในยามเช้าของฤดูร้อนในวันที่อากาศร้อนอบอ้าว แถมท้องฟ้าขมุกขมัว แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคอะไรมากนักสำหรับการเดินทางไปยังจุดหมายของผมในวันนี้
ผมเลือกที่พัก Piece hostel Kyoto เพราะสะดวกสบาย ราคาประหยัดและอยู่ใกล้กับสถานีเกียวโตมาก ทำให้เดินทางไปสถานที่ต่างๆได้รวดเร็ว
หลังจากทำกิจวัตรยามเช้าเรียบร้อย ผมเลือกใช้บริการ JR Nara Line Local for NARA ซึ่งเป็นรถไฟต่อเดียว สบายๆนั่งตั้งแต่ต้นสาย ไม่หลงแน่นอนครับ โชคดีที่ตอนนี้เป็นเวลาเช้า ผมก็ได้ใช้เวลาเพลิดเพลินไปกับการดู ประกอบกับการสังเกตพฤติกรรม เพื่อนร่วมทางซึ่งเป็นนักเรียนญี่ปุ่นจำนวนมาก ที่เดินทางร่วมกันกับผมในรถขบวนนี้ โดยผมสังเกตว่าเด็กนักเรียนเค้าดูซุกซนตามประสาวัยรุ่นแต่ท่าทางดูมีวินัย ไม่เกเร ไม่รุกล้ำสิทธิผู้โดยสารท่านอื่น หรือทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนเลยแม้แต่น้อย
รถไฟแบบ Local Train หวานเย็น ฉึกฉักๆ จอดส่งนักเรียนไปตามสถานีต่างๆเหมือนรถไฟชานเมืองของบ้านเรา ผมนั่งดูวิวข้างทางที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ จนเพื่อนเด็กนักเรียนผู้ร่วมทางของผมทยอยลงไปตามสถานีต่างๆจนเกือบหมดตู้แล้ว ใช้เวลาประมาณ25นาทีก็มาถึงยังสถานีรถไฟ JR Uji แล้วครับ
ผมเดินออกจากสถานี Uji(JR) พร้อมกับเพื่อนคู่ใจ Google Map มุ่งตรงไปสู่ วัดที่เป็นมรดกโลก วัดชื่อดังที่สุดของเมืองอุจิ หากคุณมีเหรียญ 10 เยน ติดกระเป๋าอยู่นำมันออกมาครับ พลิกด้านหลังแล้วสังเกตดีๆนะ อาคารหลังนั้นแหละ ผมจะพาไปดูของจริงกัน ที่นี่…วัดเบียวโดอิน
วัดเบียวโดอิน Byodo-in Temple
มรดกโลกของเมืองอุจิ เดิมทีเดียวเป็นที่พำนักฤดูร้อนของเครือข่ายขุนนางฟูจิวาระ แล้วเปลี่ยนมาเป็นวัดในภายหลัง หากเราเดินจากสถานี Uji(JR) เมื่อเข้าใกล้บริเวณวัด เราจะพบดอกบัว สัญลักษณ์ของฤดูร้อนที่สวยงามตั้งเรียงรายตกแต่งเหมือนกำลังยืนคำนับต้อนรับผู้ที่กำลังเข้ามาเยือน
หลังจากผ่านพิธีการซื้อตั๋วเรียบร้อย เราจะก็ได้รับแผนที่เพื่อเดินชมวัด ภายในวัด มีส่วนของอาคารต่างๆ มีสวนญี่ปุ่น และมีส่วนของพิพิธภัณฑ์อีกด้วย ในส่วนหลักที่สำคัญที่สุดก็คือ อาคารวิหารฟินิกซ์ (Phoenix Hall) หากคุณมีเหรียญ 10 เยนอยู่ในมือ ด้านหลังของเหรียญนั่นแหละครับ อาคารวิหารฟินิกซ์ นกอมตะ นัยแห่งการเวียนไหว้ตายเกิด
ผมไม่ได้เข้าชมภายใน โถง แต่ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการชมสวนสวยของวัด ตัวอาคารและบ่อน้ำถูกออกแบบมาเป็นอย่างดี เงาสะท้อนจากอาคารฉายให้เกิดภาพสะท้อนสวยงามได้ระนาบ จากบันทึกกล่าวว่าอาคารวิหารฟินิกซ์ เป็นอาคารดั้งเดิมที่มีเพียงไม่กี่แห่งในเกียวโต ที่ไม่เคยถูกทำลาย หรือถูกเพลิงไหม้เสียหายเลย ที่เราเห็นทุกวันนี้ยังเป็นของดั้งเดิมแท้ๆตั้งแต่ พ.ศ.1600 ผมเดาเล่นๆว่าอาจเป็นเพราะอาคารแห่งนี้ชื่อเป็นอมตะเหมือนนกฟินิกซ์ หรืออาจเป็นเพราะสร้างใกล้บ่อน้ำก็เป็นได้
สวนญี่ปุ่นในฤดูร้อน ดอกบัว ถือเป็นนางเอกของวัด ในฤดูกาลนี้เลยทีเดียว
นกฟินิกซ์ทองคำบนหลังคาของวิหาร คือต้นกำเนิดชื่อของวิหารแห่งนี้ ใครมีธนบัตร 10,000เยนอยู่ในมือ พลิกด้านหลังนะครับ ใช่ตัวเดียวกันรึเปล่า?
สวนญี่ปุ่นของวัดจัดในรูปแบบที่เรียบง่าย แต่สวยงาม ไม่รกตาจนเกินไป ทำให้องค์อาคารโดดเด่นสวยงามและกลมกลืนไปกับสวน ไม่ขาดไม่เกิน
หลังจากการชมสวน บันทึกภาพ ดื่มด่ำกับบรรยากาศเป็นเวลาหนึ่งแล้ว เราก็ถูกบังคับให้เดินไปเรื่อยๆ เป็นทางเดินแบบ one way ซึ่งจะผ่านพิพิธภัณฑ์ส่วนที่เก็บสมบัติของวัดและตระกูลฟูจิวาระ (Hoshokan) แต่น่าเสียดายภายใน ห้ามบันทึกภาพ
เมื่อผมเข้าชมศิลปกรรมอันเป็นสมบัติของวัด ผมรู้สึกขนลุกในความละเอียดอ่อน และความอ่อนช้อยของงานช่างในสมัยเฮอันมาก ภายในมีนกฟินิกซ์คู่เก่าที่ถูกอ๊อกซิเดชั่นจนเป็นสีเขียวแต่ความงดงามยังคงอยู่ ผมเข้าไปยืนดูใกล้ๆ แม้แต่ขนเกล็ดเล็กๆของตัวนกยังลงรายละเอียดได้สวยงาม ซึ่งนกฟินิกซ์คู่นี้เป็นต้นแบบด้านหลังธนบัตร 10,000เยนในปัจจุบัน
หากใครมีเวลามากพอ ขออนุญาตแนะนำว่าไม่ต้องรีบเดินผ่านๆนะครับ ลองเข้าไปชมไปพิเคราะห์ใกล้ๆ จะเห็นถึงความละเอียด ความมีจินตนาการของช่างศิลป์สมัยก่อน ไม่แปลกใจเลยนะครับ ที่วัดแห่งนี้ จะถือเป็นหนึ่งในมรดกโลกในเขตเกียวโต
หลังจากเดินออกจากวัดแล้วด้วยความไม่มีแผน ผมจึงออกเดินไปศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ที่ตั้งอยู่ติดริมแม่น้ำอุจิ ซึ่งอยู่บริเวณใกล้เคียงกับวัดนั่นเอง โดยทางเดินก็จะติดกับถนนสายชาอันมีชื่อเสียง และถนนริมน้ำที่ผ่านหน้าศูนย์บริการนักท่องเที่ยวนั้นผมชอบมาก มีความชิล ในรูปแบบชานเมืองริมน้ำของญี่ปุ่น เหมาะกับการเดินเล่นมากๆเลยครับ
เจ้าหน้าที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวหลายต่อหลายแห่งน่าสนใจ ซึ่งเมื่อฟังแล้ว อยากจะขออยู่ต่ออีกซักคืน แต่คงทำไม่ได้ เดี๋ยวจะเลือกไปตามที่เพื่อนแอดมินจากเพจดังเกียวโตสี่ฤดูแนะนำให้ก็แล้วกัน แต่ก่อนอื่น ไหนๆเราก็มาอุจิและจะให้ถึง ต้องลองชิมอุจิมัทฉะ
บ้านชาไทโฮอัน (Taihoan Tea House)
ซึ่งบ้านชาไทโฮอัน (Taihoan Tea House) ตั้งอยู่ในพื้นที่เดียวกันกับศูนย์บริการนักท่องเที่ยว เป็นบ้านชาสาธารณะที่ให้นักท่องเที่ยวได้มีโอกาสชมพิธีชงชา ได้รับความรู้เกี่ยวกับมารยาทการชงชาที่ถูกต้อง ซึ่งค่าบริการไม่แพง และเนื้อหาค่อนข้างครบถ้วนดี มีบรรยายภาษาอังกฤษ สามารถซื้อตั๋วชำระค่าบริการได้ที่เคาน์เตอร์ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวได้เลย
ขนมหวานชั้นดีถูกนำมาเสริฟก่อน
อุปกรณ์ชงชา
การชงชาด้วยจังหวะและท่วงท่าที่สงบแต่เชี่ยวชาญของเซนเซย์
อุจิมัทฉะที่ผมรอคอย
นี่ถือเป็นอีกครั้งที่ผมได้เข้าพิธีชงชา จากครั้งที่แล้ว http://pantip.com/topic/34866395 ครั้งนี้ก็ประทับใจเช่นกัน มันมีความสงบและผ่อนคลาย ส่วนอุจิมัทฉะเอาเข้าจริงผมว่ารสชาติออกมาคล้ายคลึงกับที่เคยดื่มในเกียวโตนะ ก็แน่ล่ะครับ ร้านค้าหรือบ้านชาส่วนใหญ่ในเกียวโตก็จะสั่งชาเขียวที่เป็นอุจิมัทฉะไว้บริการลูกค้าเหมือนกันหมด แต่ที่แน่ๆ ครั้งหนึ่งในชีวิตผมได้มาลองดื่มอุจิมัทฉะ ที่อุจิแล้วครับ
ผมบอกลาบ้านชาไทโฮอัน เพื่อที่จะออกเดินทางต่อ ผมใช้เส้นทางเดินผ่านสวนสาธารณะกลางเกาะเล็กๆบนแม่น้ำอุจิ Tounosima and Tachibana Island เพราะว่าเย็นนี้ผมมีแผนจะกลับมาที่นี่อีกครั้ง เพื่อที่จะมารับชมการจับปลาด้วยนกกาน้ำ ซึ่งเป็น highlight ของอุจิในฤดูร้อนเลยทีเดียว จึงต้องศึกษาเส้นทางไว้ก่อน
เป้าหมายต่อไปของผม ได้รับคำแนะนำมาจากเพื่อนแอดมินเพจเกียวโตสี่ฤดู กล่าวว่าฤดูร้อนต้องไปที่เย็นๆ และไปชมดอกไม้สวยๆ ก็เลยแนะนำให้ไปชมวัดแห่งดอกไม้ วัดมิมูโระโทจิ Mimurotoji Temple
ผมออกเดินตามเส้นทางเรียบริมแม่น้ำอุจิ เพื่อขึ้นไปทางทิศเหนือของเมือง อากาศร้อนเหลือทน มันทำให้คิดถึงการเดินอยู่แถวๆ เยาวราชตอนกลางวันในวันที่แดดจัดเหลือเกิน คิดไปพลางเหงื่อแตกพลั่ก กระหายน้ำจนคอแห้งผาก สายตาก็เหลือบไปเห็นตู้กดน้ำอัตโนมัติ ใช่ครับมันคือตู้กดน้ำชา…อุจิชา
ผมดีใจระคนประทับใจ ว่าเมืองเล็กๆแบบนี้ เค้าตั้งใจทำให้มีจุดขายที่ขายได้ชัดเจน เค้าขายชาเขียว มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน น่าคิดนะครับ บ้านเราน่าจะมีเมืองแห่งน้ำกระเจี๊ยบ สร้างประวัติขึ้นมาเลยเราปลูกกระเจี๊ยบตั้งแต่สมัยขอม(อะไรก็ช่างไม่มีใครรู้หรอก) กระเจี๊ยบของเราจึงแซ่บ ทำน้ำกระเจี๊ยบออกมาแล้วรสเลิศ อะไรประมาณนี้ก็น่าจะสนับสนุนและขายได้เช่นกันนะครับ
130เยน ของผมถูกหยอดลงไปในตู้อย่างรวดเร็ว ได้มาแล้วชาเขียวเย็นเจี๊ยบ ซดรวดเดียวผ่านลำคอดับกระหายคลายร้อน กลิ่นหอมอ่อนๆ โชยขึ้นมาแตะจมูกช่วยให้สดชื่นขึ้นได้มากครับ
ผมเดินต่อไปถึงสะพานอุจิ สะพานใหญ่ทอดยาวข้ามแม่น้ำอุจิ ทางสัญจรที่ถือเป็นถนนเส้นหลักในเมืองแห่งนี้ ผมเห็นร้านขายผลิตภัณฑ์จากชาเขียว การมาญี่ปุ่นสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้เลยในทุกๆครั้ง คือการรับประทาน ซอฟครีมชาเขียว ไหนๆก็มาถึงถิ่นชาเขียวแล้วก็ต้องลองเช่นกัน
ผมได้ทดลองชิม ซอฟครีมชาเขียว 2 ร้านที่อยู่ตรงข้ามกัน ผลออกมาว่ารสชาติต่างกันครับ เพราะแต่ละร้านมีสูตรและสัดส่วนไม่เหมือนกัน แม้จะใช้ชาเขียวจากแหล่งเดียวกันก็ตาม กรรมวิธีการผลิตและตัวชาก็อาจแตกต่างกัน ดังนั้นผมว่า อยู่ที่ความชอบและโชคของแต่ละบุคคลละครับว่าจะชิมแล้วติดอกติดใจร้านไหน ผมว่าร้านที่ไม่ดัง อาจจะอร่อยก็ได้นะลองดูครับ