
ขอบคุณภาพจาก Wikipedia, the free encyclopedia
แดนแต่งเพลงนี้ในวันคล้ายวันเกิดปีที่ 33 ที่รัฐเมน
อยู่ในอัลบัม High Country Snows ในปี พ.ศ. 2528
หลังจากกลับจาก Telluride Bluegrass Festival
เขาตั้งใจที่จะเขียนเพลงที่เป็นความเป็นมาของบางเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอเมริกา ที่เคยคิดจะทำนานแล้ว
เคยคุยกับคนไอริช เมื่อทราบว่าเราชอบเพลงไอริช เขาก็เล่าว่า
คนไอริช สก็อต อังกฤษ จะเล่าประวัติศาสตร์ผ่านทางเพลงเช่นเพลง The Skye boat song
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://pantip.com/topic/31531061
ราวคริสตศตวรรษที่ 16 มีคนจากไอร์แลนด์ สก็อตแลนด์ และอังกฤษได้อพยพเข้าไปในอเมริกา
พวกเขาได้นำเพลงพื้นบ้านของพวกเขาติดตัวมาด้วย ... อันเป็นรากเหง้าของดนตรีที่รู้จักกันในปัจจุบันว่า bluegrass music
คนเหล่านี้จะเล่าชีวิตของเขาในแต่ละวันในแผ่นดินใหม่ออกมาเป็นเพลง
การที่พวกเขาอยู่ในที่ที่ห่างไกล
อยู่ในทุ่ง เพลงจะสะท้อนชีวิตในทุ่งคือ country music
อยู่ภูเขา เพลงก็จะสะท้อนชีวิตในป่าเขาคือ mountain music
การประดิษฐ์แผ่นเสียง และ การกระจายเสียงวิทยุ จึงเป็นการนำเพลงออกจากภูเขา ทุ่งหญ้า เข้ามาสู่บ้านผู้คนทั่วสหรัฐอเมริกา เมื่อต้นคริสต์ศักราช 1900
ค.ศ. 1920-1930 พี่น้องตระกูลมอนโร ได้ตั้งวงดนตรีขึ้น
โดยใช้ กีตาร์ และแมนโดลิน , ทั้งคู่ร้องเพลงประสานกัน
เพราะเป็นคนพื้นเพที่แคนทักกี้ ที่มีสมญาตามสีของหญ้าว่า the Bluegrass State
จึงตั้งชื่อวงว่า Bill Monroe and the Blue Grass Boys เป็นจุดเริ่มต้นของ คันทรีมิวสิกแบบดั้งเดิม
Bill Monroe จึงได้รับสมญาว่า Father of Bluegrass
คนตรี Bluegrass คือดนตรีที่ใช้เครื่องดนตรีดั้งเดิม ร้องประสานเสียงกัน
เนื้อร้อง และ ทำนอง อาจมาจากจากวงสตริง เพลงสรรเสริญพระเจ้า เพลงของคนผิวสี เพลงพื้นบ้าน เพลงบลู
นำมาร้อง ประสานเสียงกัน กับเครื่องดนครี mandolin, banjo, fiddle, guitar, and bass มาผสมกัน
แดน ฟอเกลเบิร์ก ได้จับเอาจิตวิญญาณของคนอเมริกันใส่ลงไปในอัลบัมนี้
Sutter's Mill เป็นเพลงที่ดีที่สุดในอัลบัม
เล่าเรื่องของ เฒ่า John Sutter ผู้บุกเบิกทำป่าไม้ โดยมี James Marshall เป็นผู้สร้างโรงเลื่อยโดยอาศัยพลังน้ำให้

ขอบคุณภาพจาก Wikipedia, the free encyclopedia
ทำให้ได้พบทองในแคลลิฟอร์เนียในปี ค.ศ. 1848 - 1849 (พ.ศ.2391-2392) อันเป็นจุดเริ่มต้นยุคตื่นทอง
ในปี 1849 เป็นปีที่มีผู้เข้าไปสำรวจขุดทองมากที่สุด เรียกนักขุดทองที่เข้าไปในปีนี้ว่า "forty-niners"
อันเป็นชื่อของทีมอเมริกันฟุตบอล San Francisco 49ers หรือทีม นักขุดทอง

YouTube / Uploaded by JMEagle101
In the spring of Forty-seven
So the story it is told
Old John Sutter went to the mill site
And found a piece of shining gold
Well, he took it to the city
Where the word like wildfire spread
And old John Sutter soon came to wish he'd
Left that stone in the river bed
For they came like herds of locusts
Every woman, child and man
In their lumbering Conestogas
They left their tracks upon the land
Some would fail and some would prosper
Some would die and some would kill
Some would thank the Lord for their deliverance
And some would curse John Sutters mill
Well, they came from New York City
And they came from Alabam
With their dreams of finding fortunes
In this wild, unsettled land
Well, some fell prey to hostile arrows
As they tried to cross the plains
And some were lost in the Rocky Mountains
With their hands froze to the reins
Well, some pushed on to California
And others stopped to take their rest
And by the spring of Eighteen-sixty
They had opened up the West
And then the railroad came behind them
And the land was plowed and tamed
When Old John Sutter went to meet his maker,
He'd not one penny to his name
And some would curse John Sutters Mill
Some men's thirsts are never filled
เนื้อเพลง Sutter's Mill เพื่อประโยชน์ในการศึกษาเท่านั้น
สิทธิ์ในเนื้อเพลงยังคงเป็นของผู้ประพันธ์หรือผู้ถือสิทธิ์เช่นเดิม
ในฤดูใบไม้ผลของปี 47 (1847)
เกิดเรื่องราวที่ถูกเล่าขาน
เฒ่าจอน ซัทเทอร์ ไปยังโรงเลื่อย
และได้พบชิ้นวัตถุที่ส่งประกายสีทอง
แล้วเขาจึงนำมันเข้าไปในเมือง
ข่าวจึงแพร่กระจายดุจไฟไหม้ป่า
และไม่ช้าเฒ่าจอน ซัทเทอร์ เริ่มคิดได้
ว่าเขาไม่น่าเก็บหินก้อนนั้นมาเลย
เพราะพวกเขาต่างมาอย่างกับฝูงตั๊กแตน
ทั้งผู้หญิง เด็ก ผู้ชาย
กองเกวียนของเขาเหล่านั้น
ได้ทิ้งรอยล้อไปจนทั่วแดน
บ้างก็ล้มเหลว บ้างก็สำเร็จ
บ้างก็ตาย บ้างก็ฆ่า
บ้างก็ขอบคุณพระเจ้าในสิ่งที่พระองค์มอบให้
บ้างก็สาปแช่งโรงสีของจอน ซัทเทอร์
พวกเขามาจากมหานครนิวยอร์ค
มาจากอลามาบา
พร้อมความฝันที่จะแสวงโชค
ในดินแดนป่าเถื่อนรกร้าง
บ้างตกเป็นเหยื่อธนูของเจ้าถิ่น
ขณะที่พยายามจะข้ามที่ราบกว้างใหญ่
และบ้างก็สูญหายในเทือกเขาร็อกกี้ทั้ง
ที่มือจับแข็งกุมสายบังเหียน
บ้างก็มุไปยังแคลลิฟอร์เนีย
บ้างก็ค่อยๆ เดินทางไป
แล้วราวฤดูใบไม้ผลิของปี 1860
พวกเขาได้เข้ามาสู่ดินแดนตะวันตก
แล้วทางรถไฟก็ตามมา
แล้วแผ่นดินก็ถูกหักร้างถางพง
แล้วเมื่อเฒ่าจอน ซัทเทอร์ตายลง
เขากลับไม่มีเงินติดตัวเลย
และบ้างก็สาปแช่ง
โรงเลื่อยของจอน ซัทเทอร์
ความโลภของคนนั้นไม่เคยถมเต็มได้
Sutter's Mill - Dan Fogelberg ... ความหมาย
ขอบคุณภาพจาก Wikipedia, the free encyclopedia
แดนแต่งเพลงนี้ในวันคล้ายวันเกิดปีที่ 33 ที่รัฐเมน
อยู่ในอัลบัม High Country Snows ในปี พ.ศ. 2528
หลังจากกลับจาก Telluride Bluegrass Festival
เขาตั้งใจที่จะเขียนเพลงที่เป็นความเป็นมาของบางเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอเมริกา ที่เคยคิดจะทำนานแล้ว
เคยคุยกับคนไอริช เมื่อทราบว่าเราชอบเพลงไอริช เขาก็เล่าว่า
คนไอริช สก็อต อังกฤษ จะเล่าประวัติศาสตร์ผ่านทางเพลงเช่นเพลง The Skye boat song [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ราวคริสตศตวรรษที่ 16 มีคนจากไอร์แลนด์ สก็อตแลนด์ และอังกฤษได้อพยพเข้าไปในอเมริกา
พวกเขาได้นำเพลงพื้นบ้านของพวกเขาติดตัวมาด้วย ... อันเป็นรากเหง้าของดนตรีที่รู้จักกันในปัจจุบันว่า bluegrass music
คนเหล่านี้จะเล่าชีวิตของเขาในแต่ละวันในแผ่นดินใหม่ออกมาเป็นเพลง
การที่พวกเขาอยู่ในที่ที่ห่างไกล
อยู่ในทุ่ง เพลงจะสะท้อนชีวิตในทุ่งคือ country music
อยู่ภูเขา เพลงก็จะสะท้อนชีวิตในป่าเขาคือ mountain music
การประดิษฐ์แผ่นเสียง และ การกระจายเสียงวิทยุ จึงเป็นการนำเพลงออกจากภูเขา ทุ่งหญ้า เข้ามาสู่บ้านผู้คนทั่วสหรัฐอเมริกา เมื่อต้นคริสต์ศักราช 1900
ค.ศ. 1920-1930 พี่น้องตระกูลมอนโร ได้ตั้งวงดนตรีขึ้น
โดยใช้ กีตาร์ และแมนโดลิน , ทั้งคู่ร้องเพลงประสานกัน
เพราะเป็นคนพื้นเพที่แคนทักกี้ ที่มีสมญาตามสีของหญ้าว่า the Bluegrass State
จึงตั้งชื่อวงว่า Bill Monroe and the Blue Grass Boys เป็นจุดเริ่มต้นของ คันทรีมิวสิกแบบดั้งเดิม
Bill Monroe จึงได้รับสมญาว่า Father of Bluegrass
คนตรี Bluegrass คือดนตรีที่ใช้เครื่องดนตรีดั้งเดิม ร้องประสานเสียงกัน
เนื้อร้อง และ ทำนอง อาจมาจากจากวงสตริง เพลงสรรเสริญพระเจ้า เพลงของคนผิวสี เพลงพื้นบ้าน เพลงบลู
นำมาร้อง ประสานเสียงกัน กับเครื่องดนครี mandolin, banjo, fiddle, guitar, and bass มาผสมกัน
แดน ฟอเกลเบิร์ก ได้จับเอาจิตวิญญาณของคนอเมริกันใส่ลงไปในอัลบัมนี้
Sutter's Mill เป็นเพลงที่ดีที่สุดในอัลบัม
เล่าเรื่องของ เฒ่า John Sutter ผู้บุกเบิกทำป่าไม้ โดยมี James Marshall เป็นผู้สร้างโรงเลื่อยโดยอาศัยพลังน้ำให้
ขอบคุณภาพจาก Wikipedia, the free encyclopedia
ทำให้ได้พบทองในแคลลิฟอร์เนียในปี ค.ศ. 1848 - 1849 (พ.ศ.2391-2392) อันเป็นจุดเริ่มต้นยุคตื่นทอง
ในปี 1849 เป็นปีที่มีผู้เข้าไปสำรวจขุดทองมากที่สุด เรียกนักขุดทองที่เข้าไปในปีนี้ว่า "forty-niners"
อันเป็นชื่อของทีมอเมริกันฟุตบอล San Francisco 49ers หรือทีม นักขุดทอง
YouTube / Uploaded by JMEagle101
In the spring of Forty-seven
So the story it is told
Old John Sutter went to the mill site
And found a piece of shining gold
Well, he took it to the city
Where the word like wildfire spread
And old John Sutter soon came to wish he'd
Left that stone in the river bed
For they came like herds of locusts
Every woman, child and man
In their lumbering Conestogas
They left their tracks upon the land
Some would fail and some would prosper
Some would die and some would kill
Some would thank the Lord for their deliverance
And some would curse John Sutters mill
Well, they came from New York City
And they came from Alabam
With their dreams of finding fortunes
In this wild, unsettled land
Well, some fell prey to hostile arrows
As they tried to cross the plains
And some were lost in the Rocky Mountains
With their hands froze to the reins
Well, some pushed on to California
And others stopped to take their rest
And by the spring of Eighteen-sixty
They had opened up the West
And then the railroad came behind them
And the land was plowed and tamed
When Old John Sutter went to meet his maker,
He'd not one penny to his name
And some would curse John Sutters Mill
Some men's thirsts are never filled
เนื้อเพลง Sutter's Mill เพื่อประโยชน์ในการศึกษาเท่านั้น
สิทธิ์ในเนื้อเพลงยังคงเป็นของผู้ประพันธ์หรือผู้ถือสิทธิ์เช่นเดิม
ในฤดูใบไม้ผลของปี 47 (1847)
เกิดเรื่องราวที่ถูกเล่าขาน
เฒ่าจอน ซัทเทอร์ ไปยังโรงเลื่อย
และได้พบชิ้นวัตถุที่ส่งประกายสีทอง
แล้วเขาจึงนำมันเข้าไปในเมือง
ข่าวจึงแพร่กระจายดุจไฟไหม้ป่า
และไม่ช้าเฒ่าจอน ซัทเทอร์ เริ่มคิดได้
ว่าเขาไม่น่าเก็บหินก้อนนั้นมาเลย
เพราะพวกเขาต่างมาอย่างกับฝูงตั๊กแตน
ทั้งผู้หญิง เด็ก ผู้ชาย
กองเกวียนของเขาเหล่านั้น
ได้ทิ้งรอยล้อไปจนทั่วแดน
บ้างก็ล้มเหลว บ้างก็สำเร็จ
บ้างก็ตาย บ้างก็ฆ่า
บ้างก็ขอบคุณพระเจ้าในสิ่งที่พระองค์มอบให้
บ้างก็สาปแช่งโรงสีของจอน ซัทเทอร์
พวกเขามาจากมหานครนิวยอร์ค
มาจากอลามาบา
พร้อมความฝันที่จะแสวงโชค
ในดินแดนป่าเถื่อนรกร้าง
บ้างตกเป็นเหยื่อธนูของเจ้าถิ่น
ขณะที่พยายามจะข้ามที่ราบกว้างใหญ่
และบ้างก็สูญหายในเทือกเขาร็อกกี้ทั้ง
ที่มือจับแข็งกุมสายบังเหียน
บ้างก็มุไปยังแคลลิฟอร์เนีย
บ้างก็ค่อยๆ เดินทางไป
แล้วราวฤดูใบไม้ผลิของปี 1860
พวกเขาได้เข้ามาสู่ดินแดนตะวันตก
แล้วทางรถไฟก็ตามมา
แล้วแผ่นดินก็ถูกหักร้างถางพง
แล้วเมื่อเฒ่าจอน ซัทเทอร์ตายลง
เขากลับไม่มีเงินติดตัวเลย
และบ้างก็สาปแช่ง
โรงเลื่อยของจอน ซัทเทอร์
ความโลภของคนนั้นไม่เคยถมเต็มได้