"เรื่องเล่าแอร์โฮสเตสตะวันออกกลาง ตอนที่ 13 : อวสานโลกสวย ✈️✨"

สวัสดีค่ะ วันนี้เจ้าของกระทู้ขอมาอัพเดทภาคต่อเรื่องเล่าแอร์โฮสเตสตะวันออกกลาง ตอนที่ 13 แล้วนะคะ เช่นเคย เขียนแต่ละตอนทิ้งช่วงนานเลย ต้องขออภัยด้วยจริงๆนะคะ 🙏😰
สำหรับคุณผู้อ่านที่ยังรอกัน เจ้าของกระทู้ต้องขอขอบคุณมากๆเลยค่ะ มาตอนนี้ถึงจุดพลิกผันก็เป็นแนวเครียดอีกแล้ว แต่เราพยายามเกลาภาษาให้อ่านแล้วไม่เครียดตามนักนะคะ ยังไงก็ขอบคุณจริงๆที่ยังรอกันค่ะ
สำหรับตอนที่ 13 นี้มีชื่อว่า
" อวสานโลกสวย ✈️✨ " ต่อจากตอนที่แล้วค่ะ

"ความตื่นเต้นและกดดัน หากมันได้เกิดขึ้นครั้งหนึ่งไปแล้ว ใจคนเรามักจะมีภูมิต้านทานที่สูงขึ้นโดยอัตโนมัติ มันคือความจริง!
หลังจากที่มีครั้งแรก ครั้งที่สอง สาม สี่ ย่อมไม่น่ากลัวเท่า ต่อให้เราจะต้องเสิร์ฟบุคคลระดับโลกขนาดไหน ทั้งประธานาธิบดี ทั้งเซเลบดารา และแม้แต่ CEO ของสายการบินเราเองก็ตาม
ด้วยความที่ผ่านพ้นเหตุการณ์สุดระทึกมาบ่อยครั้ง ภูมิต้านทานความกลัวจึงได้ถูกฉีดฝังเข้าเส้นเลือดเราเป็นที่เรียบร้อย
“บอกเลยนะ.. จุดนี้ ศรีทำได้!”

4 เดือนนี้ เราได้ไปๆกลับๆอยู่แต่กับแค่ไม่กี่ไฟลท์ เพราะที่ที่จะได้ไปก็ต้องเป็นไฟลท์ที่ใช้เครื่องบินที่มีชั้นเฟิร์สคลาสรุ่นใหม่เท่านั้น ตารางบินจึงวนเวียนซ้ำอยู่แต่กับแค่ไฟลท์ลอนดอน ซิดนีย์ และปารีส
จนบางครั้ง เวลาไปเจอเรื่องตลกโปกฮาจนท้องคัดท้องแข็ง หรือเรื่องตื่นเต้นน่ากลัวมากมายจนเส้นเลือดปุด เราก็ทำได้แค่เพียงเก็บเอาไว้กับตัวเองและจัดการทุกสิ่งให้ผ่านไป แม้จะอยากเล่าให้ครอบครัวฟังสักเพียงใดก็ตาม
เรียกง่ายๆว่า สถานการณ์ช่างหล่อหลอมให้เราทน แกร่ง และสมจริงไม่แพ้กระเบื้องตราช้างเลยทีเดียว

“ไม่มีกรุงเทพเลยเว้ยเฮ้ย!” และเช่นเคย ตารางบินเดือนถัดไปก็ตามคาด ต้องมีถึง 6 เดือนกว่าแล้วที่เราไม่ได้กลับบ้าน
นับตั้งแต่ได้นั่งจั๊มป์ซีททรมานทรกรรมสังขารในครานั้น รวมถึงตกไฟลท์ไปอีกหนึ่งครั้งเพราะแม้แต่จั๊มป์ซีทก็ยังเต็ม เราจึงปฏิญาณกับตัวเองไว้เลยว่า “ต่อให้เหงาจนสติไม่สมประดีสักเพียงใดก็ตาม เราก็จะไม่เสี่ยงซื้อตั๋วกลับบ้านอีกเป็นอันขาด”
เพราะมันช่างทรมานทั้งสังขารของเรา และบิดามารดรยิ่งนักที่ต้องตีรถไปกลับนครปฐมตั้งแต่ตีห้าและนั่งลุ้นตัวเกร็งอีกชั่วโมงกว่า ว่าเราจะได้ไปหรืออด เดี๋ยวนั่งไปเดี๋ยวนั่งกลับสุวรรณภูมิเป็นว่าเล่นเลยทีเดียว
ไม่สนุกเลยจ้า!
“ถ้ามันว่างนัก ก็จะนั่งพับถุงกระดาษขายมันซะเลย พอวันไหนกลับไทยจะได้หอบไปขายได้ตังค์” นั่นแน่ะ.. เอาจริงนะ ความคิดดี เรานี่มักจะผุดไอเดียใหม่เก๋ๆอยู่เสมอเลย
แต่พอมานั่งคำนวณค่ากาวน้ำพับถุงจากกรุงอาบูดาบีแล้ว ทุนน่าจะเข้าเนื้อแรงมากถ้าขายได้ราคา 4 ใบบาท โครงการนี้จึงต้องถูกพับเก็บไปโดยปริยาย

แล้ววันนี้.. เราก็มีไอเดียใหม่บรรเจิดอีกเช่นเคย
“ กลับมาเปิดใช้บัญชีเฟสบุ๊คอีกดีฝ่า!! ”
ในเมื่อกลับบ้านไม่ได้ เราก็ไม่ควรจะเอาแต่อยู่คนเดียวนะ เดี๋ยวมันจะยิ่งบ้าไปกันใหญ่.. เอางี้! คุยกับเพื่อนๆที่เมืองไทยไง เมื่อก่อนยังไปมาหาสู่กันบ่อยๆ คอยสอบถามความเป็นไปกัน แล้วตอนนี้ทำไมถึงไม่ได้คุยกันไปได้ล่ะนี่!?
ว่าแล้ว.. เราก็รีบเอื้อมมือไปเปิด Laptop ข้างกายเพื่อ Sign in เข้าสู่ Facebook ในทันที หลังจากที่พุทธิปัญญาบังเกิดขึ้นในหัวเข้าอย่างจัง

ปิดทิ้งไปตั้ง 3 ปีแล้วสินะ.. อ่ะ คลิกสิคะ! อย่าได้รอ
ผ่าง! “ยินดีต้อนรับกลับสู่ Facebook” – เรากลับมาแล้วนะคะทุกคน!
อยากจิกราบสวัสดีทุกๆคนอย่างเป็นทางการ แต่ก็ไม่รู้ว่ายังจะมีใครจำเราได้มั้ย ลิสต์เพื่อนเก่าๆยังคงอยู่ร้อยกว่าคน หลายๆคนรูปสวยหล่อขึ้นเป็นกอง และบางคนเราก็ถึงกับจำไม่ได้ นี่เธอคือใคร แล้วเราไปอยู่ที่ไหนมา ไม่รู้ข่าวสาร ไม่รู้ความเป็นไปของใครเลย รู้แต่ตารางบินของตัวเอง

เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เราจึงขอตัดเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งการส่องเฟซบุ๊คของเพื่อนๆหลายๆคนเป็นการประเดิม ด้วยความอยากรู้อยากเห็นส่วนตัวและความคิดถึงเบาๆ
..ก่อนที่เราจะได้พบกับความน่าตกอกตกใจอย่างคาดไม่ถึง

โอ้โห! 3 ปีผ่านไป เพื่อนๆชีวิตเจริญกันดีแท้ แต่ละคนตอนนี้มีตำแหน่งเป็นทั้งระดับหัวหน้า เป็นทั้งเจ้าของกิจการ เป็นทั้งรองประธานบริษัท และหลายคนก็พ่วงใบปริญญาโทมาจากอังกฤษ และมาตั้งบริษัทเป็นของตัวเอง
ช่างเป็นพัฒนาการที่ก้าวกระโดดอย่างน่าสะพรึง ..เล่นเอาเราถึงกับตะลึงไปหลายนาที

ย้อนเวลากลับไปเมื่อเกือบสี่ปีก่อน ตอนที่เราเพิ่งจะได้ตำแหน่งที่ขึ้นชื่อว่าเป็น “นางฟ้าตะวันออกกลาง”
ทุกสิ่งทุกอย่างมันช่างดูเลิศเลอสุดเพอร์เฟคต์..
เรียกได้ว่าสวยขึ้นมาในทันที ชีวิตเหมือนเป็นเซเลบท้องถิ่น จากคนที่ไม่รู้จักก็กลายเป็นรู้จัก บ้านใกล้เรือนเคียงต่างพากันมาทักทาย สร้างชื่อให้พ่อแม่ภาคภูมิใจ เพื่อนฝูงก็ต่างพากันตกตะลึงที่คิงคองได้เป็นแอร์

ในขณะที่ทุกๆคนรับเงินเดือนกันที่หมื่นต้นๆ แต่เรารับเงินเดือนเรือนแสน และมีชุดยูนิฟอร์มสวยๆ บินไปจิบกาแฟที่มิลาน กิน Breakfast ที่สวิสอยู่บ่อยครั้ง
มันช่างไม่ธรรมดาเอาซะเลย!
และตั้งแต่นั้นมา เราก็เอาแต่ปิดหูปิดตา และคอยบอกตัวเองเสมอว่า “ชีวิตเรานี่ดีเหนือใคร”

“นี่ตูคงปิดหูกับตานานเกินไปสินะ!” คนอื่นเขาไปถึงไหนกันแล้ว ส่วนเราก็ยังเหมือนเดิมเด๊ะ เมื่อสามปีที่แล้วมีอะไร ตอนนี้ก็ยังมีเท่าเดิม
ยิ่งในแวดวงวงการหุ้นตอนนี้ น้องสาวเรามักเล่าว่า คนรุ่นเราหลายๆคนได้เงินเดือนเยอะกว่าเราเสียอีก เป็นเท่าตัวก็ยังมี เพราะเป็นช่วงที่หุ้นบูมมาก บวกกับฐานเงินเดือนที่สูงขึ้นลิบลับตามประสบการณ์และความชำนาญที่สั่งสม
เรียกง่ายๆว่า ยิ่งวัยเข้าใกล้เลข 30 อะไรๆมันก็ยิ่งดูมั่งคง ดีงามไปตามอายุ

เรานั่งสะอึก กลืนน้ำลายอยู่นาน ก่อนจะไล่กดดูตาม Feeds ต่อไป
มีสถานที่ท่องเที่ยวน่ารักๆผุดขึ้นมามากมายในเมืองไทยที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน หลายเทรนด์ หลายกระแส การแต่งตัวก็น่ารักขึ้น และเริ่มมีการเช็คอินร้านอาหารที่น่านั่งพร้อมถ่ายรูปสวยๆมาลงอวดกัน ช่างเป็นไลฟ์สไตล์ที่ยิ่งดูยิ่งหวือหวา และน่าสนุกสนาน
และที่เหนือยิ่งไปกว่านั้น คือทุกคนได้อยู่กับบ้าน ได้ดูแลครอบครัว ได้อยู่กับพ่อแม่ บางคนก็แต่งงานแล้ว ไม่ก็กำลังจะใกล้แต่งงาน ดูลงหลักปักฐานกันดีจัง

เราเริ่มเงยหน้าขึ้นมาจากคอม และมองออกไปนอกกำแพงกระจกใส..
แลเห็นเด็กแขกกำลังไกวชิงช้าอย่างเมามันจากฝั่งสวนหลังตึก เห็นราวตากผ้ามากมายจากตึกฝั่งตรงกันข้าม และก้มมองลงมา ก็เห็นคนที่เดินอยู่ข้างล่างในชุดสีขาวไม่ก็สีดำ ปะปนกับชุดชาวปากีสถานและส่าหรี

หันกลับมามองข้างในรอบๆห้อง ก็เห็นตู้กดน้ำร้อนคู่ใจ ถัดไปก็เป็นมุมซองกาแฟสารพัดกาแฟ และก็เป็นเตียงนอน ตู้เสื้อผ้า และกระเป๋าเดินทาง
“ทำไมมันถึงดูมีชีวิตชีวาจังนะชีวิตตู” เราถึงกับขำในอารมณ์ขันของตัวเองพักหนึ่ง ก่อนจะมองกลับมาที่หน้าจอคอมต่อ

รูปเพื่อนๆเวลาไปเที่ยวนี่ถ่ายส๊วย สวยนะ ดูมุมก็สวย วิวก็ดี มีศิลปะ
“เอ.. แต่เราก็มีรูปทีเด็ดนะ ถึงจะไม่ได้ไปร้านเด็ด ร้านดัง เช็คอินเฮฮากับใครเขา แต่เราก็มีรูปกับหอไอเฟล บิ๊กเบน และ Jet D’eau นะเฟ้ย!”
ลองเอามาโพสต์ดีกว่า! เป็นการประเดิมการกลับมาในเฟสบุ๊ค
เราพลันเปลี่ยนหน้าจอเข้าไปในแฟ้มรูปอันแสนภาคภูมิ ที่เราตั้งชื่อว่า Around The World ในทันที

เยี่ยม! เน้นงานธรรมชาติมากๆ ลืมไปว่าชอบไปเที่ยวคนเดียวเลยไม่เคยได้คิดจะแต่งหน้าแต่งตา แล้วไม่ว่าจะไปมากี่ประเทศ ก็จะเห็นแค่วิวรำไรเพราะโดนหัวบัง
จะหอไอเฟลก็เห็นแค่ครึ่งเพราะหัวบัง จะบิ๊กเบนก็เห็นแค่ด้านข้างเพราะหัวเราบังเช่นกัน จะยืดมือให้สุดแค่ไหน หน้าก็ยังใหญ่เป็นกะโล่บังวิว
เราเลื่อนรูปแล้ว เลื่อนรูปอีกไปประมาณเกือบหมดแฟ้ม ก่อนจะปิดลงมันทั้งแฟ้ม และทั้งคอม

“อนาถว่ะ.. อย่าลงเลย” คนกดไลค์นี่คงไม่รู้ว่าจะชม หรือจะสงสารดี เพราะดูก็รู้ว่าไปคนเดียวและถ่ายเอง หน้าเลยอืดเต็มเฟรมขนาดนี้

กระโดดลงเตียง ยังติดขำหัวเราะเอิ๊กอ๊ากกับรูปตัวเองแต่ละรูปอยู่ มันช่างดูตลกเสียนี่กระไร..
ไม่มีรูปไหนที่ยิ้มได้เต็มปากเลยสักรูป และไม่เคยมีทริปไหน ที่หัวเราะได้เหมือนตอนไปกับครอบครัว
“นั่นสิเนอะ.. หน้าตานี่ไม่ได้ดูมีความสุขเลย” เราเริ่มนอนก่ายหน้าผาก และชักขำไม่ค่อยออก

ทุกวันนี้ บางทีก็วิ่งปูเตียงจนปวดหลัง คอยแต่รับใช้คนอื่นตลอดมา มันไม่ใช่แค่เสิร์ฟน้ำเสิร์ฟท่าอีกต่อไป แต่ตอนนี้ยังต้องคอยเช็ดพื้น เก็บเสื้อผ้า วิ่งเอาชุดไปแขวน คอยเก็บเตียง และสารพัดที่จะต้องดูแลเอาใจ
“อีกหน่อย เพื่อนๆก็คงจะมาเป็นลูกค้าในชั้นเฟิร์สคลาสของเราสินะ ในขณะที่เราก็ยังคงต้องเป็นคนเสิร์ฟอยู่เหมือนเดิม”
ความคิดที่อยู่ในหัวเรามันเริ่มฟุ้งซ่านไปไกล พลางเห็นภาพชีวิตสมัยตอนก่อนมา ครั้งที่ยังคงเป็น “อาจารย์”
ไม่ว่าจะเดินไปทางไหน ก็จะมีแต่ลูกศิษย์ไหว้ ให้ความเคารพ แต่ทุกวันนี้ สิ่งที่เราได้รับ ..มันคืออะไร?

จากนอนขำรูปตัวเอง บรรยากาศก็กลับเริ่มเปลี่ยนไป มันเริ่มวิตก มันเริ่มกังวลกับวัยใกล้30 แล้วความคิดอะไรก็ไม่รู้ก็ผุดขึ้นเต็มหัวไปหมด
“ช่วงชีวิตที่ขาดหาย เงินซื้อไม่ได้นะ ทั้งโอกาสที่จะได้สร้างรากฐานความมั่นคง และช่วงเวลาที่จะได้อยู่กับครอบครัวด้วย”
ทั้งกิจการ ชีวิตคู่ และการได้ดูแลพ่อแม่ ดูเหมือนเพื่อนหลายๆคนจะได้เติมเต็มในส่วนนี้กันหมดแล้วสินะ ในขณะที่เรายังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย ยังคงเป็นเหมือนต่างด้าวที่ย้ายประเทศเข้ามาทำงาน
..มีแต่ปีกสวยๆ ที่ถ้าวันหนึ่ง เราตัดสินใจหักมันออกมา เราก็อาจจะต้องมาเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่เลย

ขอบคุณ Facebook นะที่ทำให้เราได้เปิดตา เพราะว่ามันมืดสนิทมานานเต็มที เพียงแต่ตอนนี้
“แล้วเราจะเดินไปยังไงต่อดีกับชีวิต?..”

จบแล้วสำหรับตอนที่ 13 นะคะ จะรีบปั่นตอนที่ 14 ต่อมาให้อ่านกันเพลินนะคะ ขอบคุณที่อ่านและติดตามกันค่ะ 🙏 ^ ^

ส่วนใครที่อยากอ่านงานเขียนเรื่องเล่าของเจ้าของกระทู้ย้อนหลัง เราลงลิงค์ไว้ให้ด้านล่างนี่เลยนะคะ :
" แกคือคนสุดท้ายในรุ่นที่ชั้นจะคิดว่าได้เป็นแอร์ " ..จากคำสบประมาท สู่ฝันแอร์โฮสเตสสายการบินตะวันออกกลาง
http://www.pantip.com/topic/34273378

" เรื่องเล่าแอร์โฮสเตสตะวันออกกลาง ตอนที่ 1 : ฝันที่เป็นจริงหรือภาพลวงตา ✈️✨ "
http://www.pantip.com/topic/34504171?

" เรื่องเล่าแอร์โฮสเตสตะวันออกกลาง ตอนที่ 2 : หรือฉันจะไม่ใช่นางฟ้า ?.. ✈️✨ "
http://www.pantip.com/topic/34536596?

" เรื่องเล่าแอร์โฮสเตสตะวันออกกลาง ตอนที่ 3 : นี่หรือ.. ที่เขาเรียกกันว่า ชีวิตนางฟ้า ✈️✨ "
http://www.pantip.com/topic/34568986

" เรื่องเล่าแอร์โฮสเตสตะวันออกกลาง ตอนที่ 4 : ใครๆก็บอกว่า.. เราบินได้ ✈️✨ "
http://www.pantip.com/topic/34635697

" เรื่องเล่าแอร์โฮสเตสตะวันออกกลาง ตอนที่ 5 : สวิสในฝัน ฉันมาถึงแล้ว✈️✨ "
http://www.pantip.com/topic/34675852

" เรื่องเล่าแอร์โฮสเตสตะวันออกกลาง ตอนที่ 6 : ความทรงจำสีจางใจกลางกรุงเจนีวา ✈✨ "
http://www.pantip.com/topic/34728863

" เรื่องเล่าแอร์โฮสเตสตะวันออกกลาง ตอนที่ 7 : จุดเปลี่ยนแรกชีวิตแอร์ ✈️✨ "
http://www.pantip.com/topic/34785569

" เสียงลือเสียงเล่าอ้าง : ว่าด้วยเรื่องผีในเครื่องบิน "
http://www.pantip.com/topic/34814284

" อยากเป็นแอร์ตอนนี้ยังทันไหม! : 10 ข้อเท็จจริงที่คุณควรรู้ก่อนเปลี่ยนเส้นทางเดินชีวิต "
http://www.pantip.com/topic/34853513

" เรื่องเล่าแอร์โฮสเตสตะวันออกกลาง ตอนที่ 8 : ยุทธการหักปีกครั้งที่ 1 ✈️✨
http://www.pantip.com/topic/34910615

" เรื่องเล่าแอร์โฮสเตสตะวันออกกลาง ตอนที่ 9 : ผีในมโนจากมิลาน ✈️✨ "
http://www.pantip.com/topic/34997703?

"เรื่องเล่าแอร์โฮสเตสตะวันออกกลาง ตอนที่ 10 : ชั่วเจ็ดที ดีเจ็ดหน ✈️✨"
http://www.pantip.com/topic/35164801?

" เรื่องเล่าแอร์โฮสเตสตะวันออกกลาง ตอนที่ 11 : เส้นทางเพื่อความก้าวหน้า (อันแสนขรุขระ) ✈️✨ "
http://www.pantip.com/topic/35241509?

"เรื่องเล่าแอร์โฮสเตสตะวันออกกลาง ตอนที่ 12 : ชีวิตฟ้าหลังฝน ✈️✨"
http://www.pantip.com/topic/35449010?

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่